Group Blog
พฤษภาคม 2560

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
--- เ มื่ อ พ่ อ ต้ อ ง เ ข้ า โ ร ง พ ย า บ า ล อี ก ค รั้ ง . . . ---













หลังจากเรียนรู้เรื่องโลกธรรมแปดจากเหตุการณ์ 'ค ว า ม สั ม พั น ธ์ เ ป็ น สิ่ ง มี ชี วิ ต 'ไปแล้ว ก็เหมือนจะเดินตรงทางขึ้น ไม่พกพานิวรณ์ห้าให้หนักหัวตั้งใจทำหน้าที่การงาน ดูแลสัตว์เลี้ยงที่ป่วยด้วยความเอ็นดูและเข้าใจเขามาก ๆ ในขณะที่เรายังแข็งแรงอยู่

ช่วงหลัง อองออ เดินไม่ได้แล้ว ขาหลังลีบและเอาแต่นอน ร้องครวญครางเพราะเจ็บอะไรสักอย่างที่บอกไม่ได้ หรือเพราะอยากอึ อยากฉี่แต่ลุกไปทำธุระด้วยตัวเองไม่ได้ หรือเพียงละเมอ หรืออะไรต่อมิอะไรที่เราไม่รู้แม้จะพยายามแล้วก็ตาม

บ่อยครั้งที่เราต้องคอยพลิกตัวเพื่อเขาจะได้ไม่นอนทับฉี่หรืออึของตัวเอง บางทีเขาร้องเรียกเราตอนเรามาทำงาน เทียวไปเทียวมาจากร้านและบ้านก็อาจไม่ทันการณ์ เราไม่ได้ใส่แพมเพิร์สให้เขา จึงต้องเหนื่อยกับการทำความสะอาดเนื้อตัว นึกถึงใจเขาใจเรา หากนอนเฉอะแฉะทับฉี่ก็คงไม่สบายตัวเช่นกัน

เราไม่รู้ว่าเขาจะทรมานแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ทำได้แค่ดูแลให้สุดกำลังของเรา นึกถึงยามเขาสุขภาพดี เราก็มีความสุขกับเขาด้วย


ฉันเพิ่งเขียนบันทึกวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านไปเมื่อต้นเดือนมานี้ ดีใจที่ได้ฉลองวันเกิดพ่อได้อีกสองปี หลังจากที่เขามีอาการสโตรกก่อนหน้านี้ ความรักดึงพ่อกลับมาในสภาพค่อนข้างดี แม้จะสื่อสารกันไม่ได้เหมือนเดิม แต่นับว่าดีกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ พ่อมีความสุขกับทุกวันและรับรู้เรื่องการสอบเรียนมหาวิทยาลัยของหลาน ๆ ได้ถามไถ่ถึงคนนั้นคนนี้ ได้แจกเงินให้หลาน ๆ ทุกวันเกิด เป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พ่อเคยทำและยังทำอยู่


ตั้งแต่ฉันพาพ่อไปไหว้พระครั้งที่แล้วเมื่อเดือนก่อน เขามีความสุขที่ได้กินอาหารอร่อย ๆ กับลูก นั่งรถรับลมเล่น ดูดอกไม้ข้างทาง ไหว้พระและกินข้าวหลามที่เผาขายข้างทาง ซื้อมะขามเทศไว้กินเพราะไม่ได้กินนานแล้ว พ่อสดใสทุกครั้งเมื่อเราไปหา ลูกคนไหนไปเยี่ยม พ่อก็จะใส่เสื้อตัวที่ลูกซื้อให้ เขาไม่ลืมว่าตัวนี้ใครซื้อให้ งานอะไร แต่หลังจากฉันกลับ พ่อก็ป่วยเป็นไข้อยู่ทั้งอาทิตย์ เข้าโรงพยาบาลเพราะปอดติดเชื้อ ฉันไม่ค่อยสบายใจเพราะเป็นต้นเหตุให้พ่อไม่สบาย อาไม่เล่าให้ฟังเพราะเกรงใจเรา และเข้าใจเจตนาดีที่อยากพาพ่อออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกบ้าง


หลังจากป่วยครั้งนั้น ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง วันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ฉันไม่ได้ไปหาพ่อเพราะต้องพาลูกสาวไปมอบตัวที่มหาวิทยาลัย แต่น้องสาวกับเจ้าคนโตไปดูแลพ่อแทน พาพ่อกินข้าว ซื้อของขวัญไปให้ เราจะติดต่อ พูดคุยกันผ่านทางเฟซไทม์ เทคโนโลยีทำให้เราใกล้ชิดกันขึ้น


แต่หลังจากวันเกิดครบรอบ 80 ปีของพ่อไม่กี่วัน ฉันได้ข่าวจากน้องสาวว่า พ่อเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน คราวนี้ซีเรียสเพราะอาโทรฯมาบอกสั้น ๆ เท่านั้น โดยไม่สามารถให้รายละเอียดอะไรได้มากกว่านี้เพราะพ่อชัก


ฉันตั้งสติและทำใจอยู่สักพัก ไม่ถามอะไรนอกจากรอน้องสาวส่งข่าวเพราะตอนนี้อาฉุกละหุกกับการเรียก 1669 EMS รถพยาบาลด่วนมารับพ่อที่บ้านเพราะหลังจากชัก พ่อก็ตาลอย เรียกชื่อเขาแล้วไม่รู้ตัว ไม่ได้สติ

คนที่เคยมีอาการสโสตรกนั้น เสี่ยงกับการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็เตรียมใจว่าอาการนี้จะกลับมาได้ทุกเมื่อ ต่อให้เราระมัดระวังอย่างดีแล้วก็ตาม

คราวนี้พ่อเข้าห้องไอซียู ใส่เครื่องช่วยหายใจ พ่อตาลอยและไม่รับรู้อะไร น้องสาวล่วงหน้าไปก่อน ได้แต่บอกฉันว่า ไม่ต้องมา จะรายงานข่าวให้รู้ตลอดเพราะเราอยู่ไกล มาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนี้ถึงมือหมอแล้ว ขอให้วางใจหมอ


ฉันก็รอ เวลาแห่งความกังวลดูเหมือนยาวนาน นาทีเคลื่อนผ่านไปอย่างช้า ๆ การรอคอยดูไม่สิ้นสุดเพราะไม่ได้อยู่ร่วมสถานการณ์ ครั้นจะโทรฯถาม เขาก็อยู่ระหว่างหน้าสิ่วหน้าขวาน สามีฉันก็ออกหน่อย พอ.สว. ทำให้ต้องสงบใจ เพราะถึงบอกอะไรตอนนี้ก็ตัดสินใจยังไม่ได้


สักพัก น้องสาวโทรฯมาบอกว่า ไม่ต้องกังวล หมอยังบอกอะไรไม่ได้ ที่ต่อท่อหายใจเพราะกลัวคนไข้ไม่สามารถหายใจเองได้ สมองจะเสียไปอีก แต่หากพ่อรู้สึกตัวก็จะเจ็บมาก

แต่ฉันกำลังมองว่า อาการนี้อาจจะกลับบ้านยากสักหน่อย ดูไม่ธรรมดาเลย


ทั้งที่เตรียมใจไว้บ้างก็ยังใจหาย สองวันก่อน ฉันเพิ่งเล่าให้น้องสาวฟังว่า ฝันไม่ค่อยดี ฝันว่าตัวเองตายและโดนมีดปักลึกลงไปในคอ ไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ จนคิดว่าตัวเองตายไปแล้วหรือเปล่า แต่ก็ลุกจากเตียงได้ตอนที่คนทำร้ายเราได้ออกจากห้องไป ฉันร้องไห้และอยากไปหาพ่อ ไม่มีรถสักคันที่หยุดรับฉันให้หนีออกจากตรงนี้ ไม่มีโทรศัพท์จะติดต่อพ่อ ได้แต่ร้องไห้ คิดถึงพ่อมาก อยากไปหาเขา แม้แต่ตอนที่สะดุ้งตื่นก็ไม่ตกใจตื่นแม้รู้ว่า นี่คือความฝัน ฉันนอนนิ่ง ๆ คิดว่า จิตใต้สำนึกคงกังวลเรื่องพ่อนั่นเอง

เช้านั้น พ่อโทรฯมาหา ถามถึงหลานแฝด เหมือนเราสื่อถึงกัน เหมือนพ่อรู้ว่าฉันคิดถึงเขา ปกติจะไม่ค่อยโทรฯหาเขาตอนเช้าเพราะเราทำงาน ไม่อยากให้พ่อรอ เราอยากรอฟังพ่อพูดมากกว่า ให้เวลาและจับใจความว่าเขาอยากสื่ออะไร เขาพูดช้า การสื่อสารเขาเสีย เราต้องไม่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี นี่ไม่ใช่การรบกวนเวลาลูก โทรฯหาลูกได้ทุกเวลาตามที่พ่อต้องการ อยากฟังพ่อพูดแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม


แต่วันรุ่งขึ้น ก็ทราบว่าพ่อต้องเข้าโรงพยาบาลด่วนแล้ว


บอกตามจริงคือทำใจไว้แล้ว ไม่รู้ว่าจะได้พ่อกลับคืนมาหรือเปล่า ทั้งที่ทำใจแต่ก็เหมือนจะทำไม่ค่อยได้ จึงภาวนาขอให้พ่อพ้นขีดอันตรายก่อนเถอะ

น้องสาวเล่าเรื่องอาให้ฟังระหว่างที่ดูแลพ่อ อาเรียกชื่อ เรียกสติให้พ่อ จะได้รู้สึกตัวบ้าง เหมือนเขาจะขยับตัวได้

อาน้ำตาไหล เช็ดเนื้อเช็ดตัว เรียกชื่อพ่อไป พ่อก็เหมือนจะรับรู้ว่า อาเป็นห่วงมาก เขายังไม่พร้อมที่จะไม่มีกันวันนี้ นาทีนี้


น้องสาวยังย้ำเหมือนเดิมกับฉันว่า ไม่ต้องมาหรอก มาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เชื่อสิ เพราะพ่อยังไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวเลย ให้หมอวินิจฉัยก่อน

ฉันคิดว่า อาจจะโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะเห็นพ่อในสภาพดี ๆ หลังจากนี้ ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกว่า จะเกิดอะไรขึ้น

ฉันนั่งไม่ติด ไม่อยากทำอะไร ใจโบยบินมาที่โรงพยาบาลแล้ว อยากมาดูพ่อถึงรู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้ อยากมาให้กำลังใจอา เพราะเขาเป็นคนดูแลพ่อ อาการพ่อขนาดนี้แล้ว ดูท่าจะได้กลับบ้านยาก แค่หายใจเองยังไม่ได้ รู้สึกอันตรายมาก

ฉันตัดสินใจเดินทางทันที เห็นใจสามีที่มีนิเทศก์งานวันจันทร์ แต่ฉันก็ไปเองไม่ได้


เราเดินทางท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำตกตลอดทาง ไม่รู้จะคิดอะไร อายุครึ่งค่อนคนแล้ว ไม่อยากจะฟูมฟายอะไรมากนัก ภาวนาให้อะไร ๆ ไปในทางที่ดี


เราแวะพัก แวะนอนที่ปั๊มน้ำมันสามแห่งเพราะเพลียกันทั้งคู่ ฉันนอนไม่หลับเพราะเราเดินทางแบบฉุกละหุก ไม่มีการเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทางไกล แล้วหากต้องเดินทางไกลกว่านี้ เราต้องเตรียมตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ วันนี้ หรือเมื่อสักสามปี หรือสิบปีที่แล้ว เพราะเราต่างต้องเดินทางไกล...


เราเหนื่อยกันมาก แต่คิดถึงใจคนที่ดูแลพ่อ เขาเหนื่อยกว่าเรามากแค่ไหน แต่เขาก็เป็นสามี ภรรยากันมิใช่หรือ พ่ออยู่กับเราในภาวะนี้ไม่ได้ ลูกทำงานทุกคน สองคนนั่นเป็นลูกจ้างเขาอยู่เลย ฉันก็อยู่ไกล หรือเป็นฉันที่ต้องเสียสละเดินทางมาดูแลพ่อช่วยอายามนี้

เราจ้างพยาบาลดูแลพิเศษรายวันไม่ได้หรือ อาดูแลอยู่ทุกวัน เราสลับกันไปทุกเสาร์อาทิตย์อยู่แล้ว เราทำอะไรได้มากกว่านี้ไหมนะ



ฉันมาถึงโรงพยาบาล น้องสาวบอกว่า พ่ออยู่ตึกเดิม ชั้น 4

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดซ้ำสอง ฉันอาจจะตั้งสติได้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ นึกสภาพพ่อไม่ออกว่า ตอนนี้เป็นอย่างไร


พ่อยังหลับอยู่ แต่เขาถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว แต่ใช้สายออกซิเจนอยู่ เห็นหมอให้ยากันชักทางสายและให้น้ำเกลือ สายออกซิเจนพะรุงพะรัง พ่อนอนหลับตา แก้มตอบเพราะถอดฟันปลอมออก ฉันลูบแขนพ่อเบา ๆ ผิวพ่อบาง เนื้อตัวอุ่น ๆ ผมโพลนขาว ฉันจับมือพ่อ พ่อลืมตาและยิ้มทักทาย พ่อจะพูดแต่ฉันบอกว่าไม่ต้องพูดหรอก รู้ว่าพ่อดีใจที่เห็นเรามา เลยบอกพ่อว่า แฝดไม่ได้มาด้วยนะ ต้องดูแลหมาป่วยที่บ้าน ให้แฝดเฝ้าบ้านแทน


สายตาพ่อไม่เลื่อนลอย แต่เขาเอามือกดที่แก้ม บีบขมับ ปวดหัว เจ็บคอ ไอเป็นเสลดติดคอ หมอบอกมีอาการแบล็กคอฟฟี่คือเลือดออกในกระเพาะ น่าจะเกิดจากอาการเครียด เราได้แต่ฟังนิ่ง ๆ

พ่อดูมีชีวิตชีวาขึ้น ดีใจที่เรามา ดูหน้าตาสดชื่น แต่เราบอกอะไรเขาก็ฟังอยู่เหมือนกันนะ บอกว่าอย่าดึงสายน้ำเกลือและออกซิเจนเพราะจำเป็นต้องใช้อยู่ หายแล้วจะได้กลับบ้านไว ๆ เขาก็เข้าใจ เราดูเหมือนจะโชคดีที่พ่อเข้าใจ อาการดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจมาก


เราขอให้พ่อนอนบ้าง จะได้พักสายตา พักสมองเพราะพ่อเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน อยู่กับพ่อพักใหญ่ ๆ ขอตัวลงไปกินข้าวและมาเฝ้า มองพ่อวันนี้แล้ว พูดไม่ออก สงสารเขา แต่ก็ต้องมีวันแบบนี้กันทุกคน เราหนีการเจ็บป่วยในวัยชราไม่ได้ เรานั่งมองกัน พ่อยังรับรู้อยู่ว่าเป็นพวกเรา แต่ไม่ได้คุยกัน เราขอตัวไปนอนสักชั่วโมง ปวดหัวหนึบเพราะขับรถกันทั้งคืน นั่งเฉย ๆ ยังเครียดยังเพลียอาจเป็นเพราะฉันกังวล ส่วนคนขับไม่ต้องพูดถึง เหนื่อยมาก


เรากลับมาดูพ่ออีกรอบ พ่อจำเราไม่ได้แล้ว เขามีอาการเหมือนตอนเข้าโรงพยาบาลครั้งแรก คือสมองสับสน จำคน จำเรื่อง จำใครไม่ได้ พูดจาเปะปะไปเรื่อย ยิ้มแบบเด็ก
ๆ ที่จะได้กลับบ้าน ยกมือไหว้หมอเหมือนจำได้ เหมือนรู้จัก แต่ก้พยักหน้า จำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ความทรงจำวูบไปแวบมาเป็นพัก ๆ

จากประสบการณ์ครั้งแรกทำให้เราปรับใจได้เร็วขึ้น คิดว่าถ้าหายใจเองได้ ไม่ชัก ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกนาน แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะโชคดีเหมือนเดิมหรือเปล่า ไม่กล้าคิดอะไรไปไกล ๆ เพราะอะไรจะเกิดขึ้นก็ได้


มองโดยรวมแล้ว ก็ต้องรอดูอาการพ่อ ซึ่งไม่รู้จะเกิดอะไร แล้วเราจะนั่งเฝ้าทั้งวันได้อย่างไร ทุกคนต้องแยกย้ายกลับบ้าน เราต้องทำงาน

เราทำหน้าที่ลูกแบบไหนถึงจะเรียกว่าดีหรือเหมาะสม ดูเหมือนเราไม่ดูดำดูดีพ่อเลย นึกไม่ออกว่า หากเป็นบ้านอื่น เขาทำอย่างไรในกรณีที่ลูกอยู่คนละทิศละทางและทำงานข้าราชการ อีกคนก็เป็นลูกจ้างเขา จะลางานตามอำเภอใจไม่ได้ อาก็ไม่ไว้วางใจพยาบาลพิเศษที่เราจำเป็นต้องจ่ายเพื่อผ่อนภาระเขา

จุกอกกันไปหมด ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาตรงนี้อย่างไรให้เหมาะ หรือฉันต้องปิดร้านไปเฝ้าพ่อ ฉันเพียงเห็นว่า เราต้องจ้างพยาบาลพิเศษ ในฐานะลูกก็ได้สลับกันไปทุกเสาร์อาทิตย์แบบที่เป็นมา

พูดไม่ออกเหมือนกันเพราะยังหาทางออกไม่ได้ หลังจากหันหลังเดินออกมา
ตอนนี้พ่อก็ไม่เป็นไปตามที่คิด อาการไม่ดีขึ้น อาจจะมีอะไรที่ต้องช่วยกันแก้ปัญหา
จะอย่างไรก็ตาม กรณีนี้ เราต้องมีสติและรักษากายใจเราด้วย

เมื่อวานแค่เหนื่อยกาย
แต่วันนี้เหนื่อยใจนิด ๆ เพราะยังหาทางออกไม่ได้
แต่เชื่อว่า น่าจะมีทางออกที่ดีสำหรับทุกคน















Create Date : 15 พฤษภาคม 2560
Last Update : 17 พฤษภาคม 2560 8:28:00 น.
Counter : 745 Pageviews.

0 comments

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com