ความเห็นที่เกี่ยวกับหนัง ส่วนใหญ่เป็นความรู้สึกที่ตัดสินจากหลังชม ว่าชอบ ไม่ชอบ และทำไม (ผมเชื่อว่าหนังแทบทุกเรื่องต้องมีทั้งส่วนที่เราชอบและไม่ชอบปนกันเสมอ) แต่ถ้าอยากอ่านแบบวิเคราะห์ หรือรายละเอียด ก็ลองคลิ๊กหน้า my life with movie ใกล้ๆกันนี่
ด้วยหน้าหนัง ทำให้คิดว่าจะได้ดูหนังที่มีความฉลาด คมคาย หลักแหลม ชิงไหวพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ดารานำอย่างเดปป์กับโจลี่ และผู้กำกับจาก Live of the Other ที่เป็นผลงานที่ทั้งฉลาด และซาบซึ้งกินใจ
First Class เล่าเรื่องของการเมือง อุดมการณ์ และความเป็นคนกลุ่มน้อยที่แปลกแยก ภายใต้ฉากหลังของความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษ ที่เป็นผลมาจากการแปรพันธุ์ ความขัดแย้งของกลุ่มตัวละครในเรื่องมีหลายระดับ
จากสิ่งที่หนังสื่อ ทำให้ X-men first class ถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เล่าเรื่องราวและวิเคราะห์สังคมได้อย่างถึงกึ๋นเช่นเดียวกับ The Dark Knight และ Watchmen มากกว่าซูเปอร์ฮีโร่ที่เน้นความสนุกสนานตื่นเต้น และพลังเหนือธรรมชาติทั่วๆไป
Super 8 หน้าหนังอาจเหมือนกับหนังสัตว์ประหลาดไซไฟมนุษย์ต่างดาวเรื่องหนึ่ง แต่เนื้อหาจริงๆคือเรื่องราว Nostalgia ของคนทำหนัง ที่หวนเล่าเรื่องความประทับใจในวัยเด็กของตัวเอง กับการเป็นมือทำหนังสมัครเล่น โดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเฉยๆ (ตรงนี้นึกถึงหนังอย่าง Hope and Glory ที่เล่าเรื่องชีวิตครอบครัวในวัยเด็กของผู้กำกับ โดยฉากหลังคือสงคราม ซึ่งมันกระทบวิถีการดำเนินชีวิตของครอบครัว แต่จริงๆมันคือเรื่องครอบครัว ไม่ใช่เรื่องสงคราม) บรรยากาศของหนัง เลยทำให้นึกถึงหนังย้อนอดีตที่เดินเรื่องโดยตัวละครเด็กๆ (ที่มีนัยว่าเป็นอดีตของผู้กำกับ หรือคนเขียนบท) ทำนองเดียวกับ Stand by me หรือแฟนฉัน ผสมกับเรื่องราวของการทำหนัง อุปสรรค์ การแก้ปัญหา ทำนองเดียวกับ The Player, Silent Movies หรือ Living in Oblivious โดยมีผลลัพท์คือหนังสั้นเรื่อง The Case ที่คนดูได้ดูหลัง end credit นั่นเอง ซึ่งคนที่ดูหนังเรื่องนี้ แต่ยังไม่ได้ดู The Case ถือว่าคุณยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ครับ และที่พูดมาทั้งหมด คือการตอกย้ำว่าเนื้อหา Super 8 ไม่ใช่เนื้อหาที่แปลกใหม่เลย แต่หนังสร้างความคาดหวังให้คนดูคิดว่าน่าจะแปลกใหม่เท่านั้น
Transformers: Dark of the Moon มาถึงภาค 3 ก็ยังไม่โดนใจเช่นเดิม กับตัวละครล่องลอย ไม่ชวนให้ผูกพัน ทำให้ฉากดราม่า หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครดูเฟคทั้งเรื่อง ฉากแอ็กชั่นที่ดีไซด์มาเป็นฉากๆ แต่ไม่มีความต่อเนื่องกับฉากอื่นๆ การไล่ระดับอารมณ์ของฉากแอ็กชั่นที่ไม่มี เพราะทุกฉากได้อารมณ์แบบเสมอต้นเสมอปลายและกระหน่ำด้วยเอฟเฟคและเสียงระเบิด
Harry Potter and the Deadly Hallows Part II จุดดีและจุดด้อยของพ่อมดน้อยภาคจบคือการตัดออกเป็น 2 ตอน ข้อดีคือจังหวะหนังดีขึ้น ไม่ตัดฉับเกินไป แต่ข้อเสียปรากฏให้เห็นในตอนสุดท้ายนี้ ที่พล็อตเรื่องไม่สมบูรณ์ ขาดบทเกริ่นนำ ขาดไคล์แม็กซ์ ขาดสรุป ซึ่งถ้าเอาไปดูต่อจาก 7.1 อาจไม่เจอปัญหานี้ แต่พอแยกดู 7.2 เดี่ยวๆ มันชัดเกิน เลยทำให้แฮรี่ตอนนี้ พล็อตง่อยที่สุดเท่าที่มีหนังมา 8 ตอน
ถ้า Toy Story เคยพาคนดูเจอกับของเล่นมากหน้าหลายตา ถ้า Shrek เคยพาคนดูเจอกับตัวละครและเรื่องราวจากหลากหลายเทพนิยาย ถ้า Enchanted เคยพาคนดูเจอกับตัวละครจากการ์ตูนเพลงของดีสนีย์
เดวิด ฟินเชอร์สมัย se7en และ Fight Club กลับมาแล้ว
หนังให้ความสำคัญกับความเป็นเพื่อนและมิตรภาพ ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะเด่นของ facebook ที่ระบบเพื่อน ทำให้มันกลายเป็นสังคมออนไลน์ที่แตกต่าง หนังใช้จุดนี้มาเป็นตัวผลักดันให้เรื่องเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งถึงฉากสุดท้าย
ในขณะเดียวกัน จุดเด่นของฟินเชอร์อย่างงานด้านภาพ ก็เล่นออกมาได้กำลังพอดี เทคนิคพิเศษก็นำมาแค่เสริมการเล่าเรื่องราว แต่ไม่ได้ใช้อย่างหนักมือจนเหมือนการโชว์ออฟเช่นในหนังหลายๆเรื่องของเขา
ในส่วนของบท เด่นทั้งการเล่าเรื่อง และบทสนทนาที่ใช้ในหนัง ที่ทั้งเสียดสี คมคาย และรัวมาก นึกถึงงานเควนติน เทอแรนติโน่หน่อยๆในแง่ชั้นเชิงการเขียนบท(การพล่ามของตัวละคร แล้วค่อยๆสอดแทรกประเด็นที่จะพูดอย่างแนบเนียน การตัดสลับเหตุการณ์คนละที่ คนละเวลา แต่บทสนทนาต่อเนื่องกัน) แต่เป็นมิตรกับคนดูมากกว่า และการแสดงที่ยกกันมาเป็นทีม แล้วสอดคล้องกลมกลืนกัน
นี่คือหนังที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ดูมาในปีที่แล้วครับ