การขายหนังสือยุคนี้มันจะเป็นยังไง
สมมติว่ามีงานเขียนอยู่สามร้อยหน้า แล้วลองไปปรึกษากับโรงพิมพ์ว่าต้องพิมพ์จำนวนเท่าไหร่ถึงจะได้ราคาต้นทุนหกสิบบาท ถ้าเรามีทุนพอ เราก็จะควบคุมต้นทุนได้
สมมติว่าต้องพิมพ์อย่างน้อยพันเล่ม ต้นทุนก็ตกอยู่ที่ราวหกหมื่นบาทแล้วเราตั้งราคาขายไว้ที่สามร้อยบาทเพราะคนซื้อคิดว่าราคานี้มันน่าจะคุ้มกว่าการถ่ายเอกสารเอา
ราคาที่เราขายคือสามร้อยบาท จุดคุ้มทุนคือต้องขายให้ได้เท่ากับ หกหมื่นหารสามร้อย นั่นคือสองร้อยเล่ม
ถ้างานเขียนดีจริง ชื่อคนเขียนดึงดูด การทำพรีออร์เดอร์ทางอินเทอร์เน็ต สองร้อยเล่มจะยากไปไหม หนังสือจะเหลืออยู่ในคลัง สี่ร้อยเล่ม ถ้าขายส่วนนี้ได้ก็กำไรล้วนๆ จะมากน้อยอยู่ที่ฝีมือคนเขียนกับการตลาด
เมื่อเปรียบเทียบกับอีบุ๊คส์ มีความหมิ่นเหม่ต่อการโดนขโมยข้อมูลไปพิมพ์หรือแอบเอาไปอ่านฟรีได้ ยอดขายอีบุ๊คย่อมไม่กระเตื้องมากนัก แต่ก็ไม่ต้องลงทุนอะไรมากหากตั้งเป้ากำไรไว้ที่สิบเปอร์เซ็นของยอดขายเช่นเดียวกันกับหนังสือธรรมดาคือสองร้อยเล่ม ซึ่งธรรมดานักเขียนได้ส่วนแบ่งจากยอดราวสิบเปอร์เซ็นต์ คือราวๆหกพันบาท แต่ต้องมั่นใจว่าเจ้าของค่ายอีบุ๊คส์นั้นต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ดี
ถ้าตั้งราคาโหลดละร้อยบาทสำหรับหนังสือสามร้อยหน้าก้คงไม่แพงนัก หมายความว่าต้องมียอดโหลดอีบุ๊คส์อย่างต่ำหกสิบเล่มถึงจะได้ค่าตอบแทนหกพันบาทซึ่งไม่น่ายากเท่าไหร่
หากส่งงานผ่านสนพ.เพื่อพิมพ์เป็นเล่ม นักเขียนจะได้หกพันบาทนั้นต้องขายให้ได้หกหมื่นบาทนั่นคือสองร้อยเล่มเป็นอย่างต่ำในราคาเล่มละสามร้อยบาท ถ้าถามว่าการตลาดแบบไหนที่ง่ายกว่า ผมคิดว่าเป็นอีบุ๊คส์นะ ได้ผลตอบแทนไวด้วยหากไม่ถูกหักค่าใช้จ่ายอื่นๆมากนัก แถมไม่มีหนังสือเหลืออีก
หากมีใครต้องการหนังสือก็รับสั่งพิมพ์เป็นพรีออร์เดอร์ได้อีก
ที่สำคัญคือผมไม่รู้ต้นทุนของการพิมพ์นี่แหละ เคยพิมพ์ห้าสิบเล่มร้อยหกสิบหน้ารวมแล้วทุนตกแปดพันบาท แต่นั่นคือเมื่อสิบปีก่อน - -"
ได้ข่าวว่าสนพ.ใหญ่เริ่มบุกตลาดอีบุ๊คส์กันแล้วสิ ผลกระทบที่ผมคิดได้ในตอนนี้คือ
และถ้าทำอีบุ๊กส์กันเกร่อ โดยไม่สนใจคุณภาพและเนื้อหาของผลงาน ผมว่าก็แย่เหมือนกัน
Create Date : 16 พฤษภาคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2556 6:20:58 น. |
Counter : 2796 Pageviews. |
|
|
|