poivang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




Cursors scrollbar background bullet สีfont สีlink webpage ลบกรอบ ภาพcomment
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
19 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add poivang's blog to your web]
Links
 

 
วิปัสสนากรรมฐาน




กรรมฐานในพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ
หนึ่ง สมถกรรมฐาน คือ การทำจิตนิ่งสงบเป็นสมาธิ
สอง วิปัสสนากรรมฐาน คือ การทำจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ซึ่งผลของการปฏิบัติจะทำให้เกิดผล ๕อย่าง คือ

๑.ทำให้จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
๒.กำจัดเสียซึ่งความทุกข์กายทุกข์ใจ
๓.กำจัดเสียซึ่งความลำบากกายลำบากใจ
๔.เมื่อปฏิบัติแล้วจะเข้าใจความหมายของชีวิตอย่างถ่องแท้
๕.มุ่งสู่นิพพาน (ซึ่งต้องใช้เวลานานทีเดียว)

การปฏิบัติธรรมให้เจริญก้าวหน้านั้นต้องมีเรื่องของ “สัปปายะ” หรือความเกื้อกูลต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะฆราวาสจะต้องมี ๔ ประการ

๑. อากาศสัปปายะ คือ อากาศที่สบายไม่ร้อนไม่เย็นเกินไป
๒. สถานที่สัปปายะ คือ สะอาด สงบ และสะดวก เหมาะแก่การปฏิบัติ
๓. อิริยาบถสัปปายะ คือ อิริยาบถในการฝึกปฏิบัติ เช่นการเดิน นั่ง นอน ทำอย่างผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่เกร็งจนเกินไป
๔. บุคคลแวดล้อมสัปปายะ คือ แวดล้อมด้วยสังคมที่ดี เช่นเมื่อปฏิบัติธรรมร่วมกันที่วัด ต่างคนต่างปฏิบัติด้วยความตั้งใจ จะมีพลังแห่งความดีแผ่กระจายไปทั่ว ตัวเราซึ่งอยู่ในที่นั้นจะปฏิบัติตามไปได้ด้วยดี

และที่สำคัญการฝึกวิปัสสนากรรมฐานนั้นต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดี มิฉะนั้นจะมีโอกาสหลงทางมาก ดังนั้นวัดจึงเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกปฏิบัติกรรมฐาน เพราะเอื้อให้เกิดองค์ประกอบทั้ง ๔ ประการ

ต้นเหตุที่ทำให้วิปัสสนาไม่ก้าวหน้า

สิ่งเหล่านี้เป็นความสามารถและความชาญฉลาดของอาจารย์ผู้ฝึกปฏิบัติแต่ละท่าน ว่าจะแก้อารมณ์ผู้ปฏิบัติได้อย่างไร เพราะการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา เมื่อฝึกปฏิบัติไปแล้วผู้ปฏิบัติมักพบอุปสรรคซึ่งมีดังนี้

๑. แสงสว่าง เมื่อปฏิบัติได้สักระยะมักรู้สึกว่ามีแสงสว่างเกิดขึ้น คล้ายมีรัศมีออกจากตัว ศีรษะจะสว่าง ทำให้คิดนึกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ

๒. โลกียอภิญญา บางคนปฏิบัติไปแล้วอาจ เห็น เทวดา เห็นพรหม เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นทุกอย่างที่อยู่ในพระไตรปิฎก นี่ก็ทำให้ผู้ปฏิบัติยึดติด ทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง

๓. ปิติ จะเกิดกับผู้คนไม่เหมือนกัน บางคนอาจเกิดอาการขนลุกขนพอง บางคนคันตามร่างกาย บางคนรู้สึกซาบซ่าน บางคนสะดุ้งผวาเหมือนตกเหว บางคนนั่งแล้วตัวลอยได้ก็มี ซึ่งสามารถแก้ด้วยการกำหนดว่ารู้หนอ รู้หนอ

๔. ปัสสัทธิ เมื่อปฏิบัติจนจิตสงบกายสงบ จะรู้สึกดีมากจนยึดติดกับความสงบ ปฏิบัติทีไรจึงยึดติดอยู่ที่ความสงบนี้ทุกครั้ง ในที่สุดวิปัสสนาก็ไม่ไปถึงไหน

นี่เป็นคำตอบให้กับเราว่า บางทีการเริ่มต้นจะเรียนอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของจิตนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยสถานที่และเพื่อนพ้องที่มีความหวังดีต่อเรา ที่สำคัญคือครูบาอาจารย์ที่รู้จริงปฏิบัติจริง

ที่มา: เป็นบทความส่วนหนึ่งจากหนังสือชีวจิต









Create Date : 19 กรกฎาคม 2550
Last Update : 19 กรกฎาคม 2550 20:35:47 น. 3 comments
Counter : 875 Pageviews.

 

" พ่อ กระต่าย เเม่ กระต่าย
*// /ลูก กระต่าย
.. . ชั้นชอบชั้นชอบ 555"

มาเม้นทักทายค่ะ :)


โดย: BROSIS ))))) (macron ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2550 เวลา:21:35:50 น.  

 


โดย: ammataya วันที่: 19 กรกฎาคม 2550 เวลา:21:53:47 น.  

 
เจริญในธรรมค่ะ


โดย: poivang วันที่: 20 กรกฎาคม 2550 เวลา:10:07:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.