เทศนาโดยพระเมธีธรรมาภรณ์ คำถามคือ เมื่อเราไปเกิดใหม่ในภพภูมิต่อไปนั้น อะไรในตัวเราไปเกิดใหม่ คำตอบก็คือจิตหรือวิญญาณเกิดใหม่ เราต้องเข้าใจว่า จิตหรือวิญญาณที่ดับในภพภูมิก่อนกับจิตหรือวิญญาณที่ไปเกิดใหม่ไม่ใช่ดวงเดียวกัน คนที่เชื่อว่าพอคนเราตายลง วิญญาณหรือกายทิพย์จะออกจากร่างไปหาภพภูมิเกิดใหม่ พบที่เหมาะๆเมื่อใดก็ปฏิสนธิเกิดใหม่เมื่อนั้น ประหนึ่งว่าวิญญาณมีความคงที่เที่ยงแท้ตลอดกาล ความเชื่อนั้นผิดจากคำสอนในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนาเน้นเรื่องไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การที่บอกว่าวิญญาณเที่ยงแท้ (นิจจัง) และมีตัวตน(อัตตา)ถาวรจึงขัดกับคำสอนเรื่องไตรลักษณ์ คำสอนที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนาก็คือ เมื่อเราตายลงเขาจะเกิดใหม่ทันทีในภพภูมิใดก็ได้ที่เหมาะสมกับกรรมที่เขาระลึกถึงก่อนดับจิต จิตที่ดับในทันทีในภพภูมิก่อนกับจิตที่เกิดใหม่ในภพภูมิต่อมาไม่ใช่จิตดวงเดียวกัน จิตในชาติก่อนกับจิตที่เกิดใหม่ในชาติต่อมา จะเป็นจิตเดียวกันก็ไม่ใช่จะต่างกันก็ไม่เชิง ขออธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมดังนี้ ในขณะที่คนเรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน จิตของเราเกิด- ดับทุกขณะจิต เกิดดับ๑ขณะเรียกว่าจิตหนึ่งดวง จิตแต่ละดวงมี ๓ขณะย่อยคือเกิดขึ้น(อุปปาทะ) ตั้งอยู่(ฐิติ) ดับไป(ภังคะ) จิตแต่ละดวงเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะดำรงอยู่ชั่วเวลาสั้นมากแล้วก็ดับไป(ภังคะ) จิตได้ส่งผลกรรมที่เก็บสะสมไว้ไปเป็นปัจจัยให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้น(อุปปาทะ) ดังนั้นจิตดวงใหม่เกิดขึ้นเพราะอาศัยพลังกรรมของดวงจิตก่อนหน้าที่เพิ่งดับไป และจิตดวงที่เกิดตามมานี้ก็ตั้งอยู่ชั่วขณะแล้วดับไป ก่อนจะดับจิตนี้ก็ส่งปัจจัยต่อเนื่องให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้นอีก จิตเกิดดับต่อเนื่องเป็นสายโซ่อย่างนี้ท่านเรียกว่ากระแสจิต ภาวะที่จิตเกิดสืบต่อกันเป็นกระแส ท่านเรียกว่าสันตติ แม้จิตจะเกิดดับทุกขณะ แต่ผลกรรมก็ไม่สูญหายไปพร้อมกับการดับของจิตแต่ละดวง เพราะจิตจะส่งทอดผลกรรมให้จิตดวงใหม่เก็บรักษาต่อไปก่อนที่ตัวเองจะดับลง จิตดวงใหม่จึงเป็นทายาทรับมรดกกรรมของดวงจิตที่เพิ่งดับไป ความจำและประสบการณ์ก็ถูกส่งทอดต่อเนื่องกันไปอย่างนี้ จิตดวงเก่าที่เพิ่งดับไปกับจิตดวงใหม่ที่เกิดตามมา จะเป็นอันเดียวกันก็ไม่ใช่จะแตกต่างกันก็ไม่เชิง ที่ว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกันเพราะจิตดวงเก่าได้ดับไปแล้ว และมีจิตดวงใหม่เกิดขึ้นแทนที่ ที่ว่าไม่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็เพราะจิตดวงใหม่รับผลกรรมและประสบการณ์เป็นมรดกทั้งหมดมาจากจิตดวงก่อน และจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นมานั้นก็ส่งมรดกให้จิตดวงต่อมารับไปเช่นกัน จิตนับล้านๆดวงในกระแสจิตของชีวิตหนึ่งเกิดดับติดต่อสืบเนื่องกันไปอย่างนี้ ชั่วชีวิตหนึ่งจิตเกิดดับนับครั้งไม่ถ้วน และคนเราก็เกิดและตายนับครั้งไม่ถ้วนในชั่วชีวิตเดียวนี้แหละ จิตเกิดหนึ่งขณะก็เท่ากับเราเกิดหนึ่งครั้ง จิตดับ๑ขณะก็เท่ากับเราตาย๑ครั้ง เนื่องจากจิตของเราเกิดดับทุกขณะ คนเราจึงชื่อว่าเกิดและตายตามจำนวนครั้งของการเกิดดับของจิต ความตายชั่วขณะนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ ทุกวันที่ผ่านไปเราเกิดตายแบบขณิกมรณะนี้หลายครั้ง เราเกิดแล้วก็ตาย และตายแล้วก็เกิด สลับกันไปทุกขณะ จิตตายแล้วก็เกิดเพียงชั่วขณะเดียวด้วยวิธีการเช่นใด จิตตายแล้วเกิดใหม่แบบข้ามภพข้ามชาติก็ด้วยวิธีการเช่นนั้น อันที่จริงสภาวะที่จิตตายแล้วเกิดใหม่แบบข้ามภพข้ามชาติ ก็มีลักษณะการเช่นเดียวกับสภาวะที่จิตเกิดดับในชั่วชีวิตเดียว ความแตกต่างประการเดียวอยู่ตรงที่ว่า การตายแล้วเกิดแบบขณิกมรณะจำกัดอาณาบริเวณอยู่ในร่างกายเดียว แต่การตายแล้วเกิดใหม่แบบข้ามภพข้ามชาติเป็นการทิ้งร่างกายในภพภูมินี้ แล้วถือกำเนิดในร่างกายของภพภูมิหน้า ที่กล่าวว่าสภาวะที่ตายแล้ว เกิดใหม่แบบข้ามภพข้ามชาติ มีกระบวนการไม่ต่างจากการเกิดของจิตในชีวิตประจำวันของเรานั้น หมายความว่าจิตดวงสุดท้ายในชาตินี้ เรียกว่าจุติจิต เพราะเป็นจิตที่เคลื่อนย้ายภพ(จุติ) ออกจากร่างกายที่ปราศจากลมหายใจ ขณะที่จุติจิตดับลงมันได้ส่งพลังกรรมและผลรวมของประสบการณ์ในชาตินี้ ไปก่อให้เกิดจิตดวงใหม่ขึ้นในร่างกายใหม่ของชาติหน้า จิตที่เกิดใหม่ในร่างกายใหม่เรียกว่าปฏิสนธิจิต หมายถึงจิตที่เชื่อมโยง(ปฏิสนธิ) ระหว่างชาตินี้กับชาติหน้า ในกรณีนี้ จุติจิตที่ดับในชาตินี้กับปฏิสนธิจิตที่เกิดใหม่ในชาติหน้า จึงไม่ใช่จิตดวงเดียวกัน เพราะจุติจิตดับไปแล้ว เหลือแต่เพียงพลังกรรมที่ถูกส่งทอดไปเป็นมรดกที่ปฏิสนธิจิตเก็บรักษาต่อไป แต่จุติจิตกับปฏิสนธิจิตก็ไม่แตกต่างชนิดแยกขาดจากกัน ทั้งนี้เพราะปฏิสนธิจิตรับมรดกกรรมทุกอย่างมาจากจุติจิต และเก็บรักษาไว้เป็นอนุสัยสันดานสืบต่อไป ปฏิสนธิจิตกับจุติจิตจึงเป็นอันเดียวกันก็ไม่ใช่ จะแตกต่างกันก็ไม่เชิง
เมื่อเกิดแล้ว
สิ่งที่รู้คือ ต้องมีการตายมาด้วย
..