ผู้พิมพ์ได้อ่านพบ เรื่องการถวายทานด้วยเครื่องบริโภคที่ถูกต้องตามพระวินัยแด่พระภิกษุสงฆ์ ที่คุณเมืองแก้วได้เขียนไว้ เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับบางท่านที่อาจจะยังไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน จึงได้พิมพ์มาฝากท่านผู้อ่านเผื่อจะได้ทราบเรื่องอาหารที่เราควรจะนำไปถวายพระภิกษุกัน อาหารที่ถวายพระนั้นถ้ามีเนื้อสัตว์ ก่อนจะถวายต้องทำให้สุกด้วยไฟเสียก่อน เช่นต้ม ทอด ย่าง ถ้าอาหารนั้นไม่สุกด้วยไฟ เช่นสุกด้วยมะนาวหรือยังดิบอยู่ หรือยังสุกๆ ดิบๆ หากพระฉันเข้าไปจะเป็นอาบัติทุกฎ อาหารบางอย่างเรามักนึกไม่ถึงว่ายังไม่สุกด้วยไฟ เช่น น้ำพริกปลาทู ก่อนจะนำกะปิมาตำน้ำพริก จะต้องนำมาห่อใบตองปิ้งให้สุกก่อน หรือไข่ดาวและไข่ต้ม จะต้องต้มหรือทอดให้ไข่ขาวและไข่แดงสุกแข็งทั่วกัน หากยังเหลวเป็นยางมะตูมอยู่ถือว่ายังไม่สุก หรือส้มตำใส่ปลาร้าหรือปูก็จะต้องต้มปูเค็มหรือต้มปลาร้าเสียก่อน เป็นต้น มีเนื้อ ๑๐ ชนิดที่ห้ามพระเณรฉันทุกกรณี ได้แก่ เนื้อมนุษย์ เนื้อสุนัข เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้องู เนื้อราชสีห์ เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี นอกจากนั้นฉันได้ทุกชนิดแต่ต้องไม่ประกอบด้วยสามเหตุคือ - ไม่เห็นว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน - ไม่ได้ยินว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน - ไม่สงสัยว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราเวลาประกอบอาหารถวายพระ ห้ามบอกพระล่วงหน้าว่าจะเอาอาหารชื่อนั้นชื่อนี้มาถวาย เพราะจะทำให้ท่านฉันไม่ได้ หากฉันเข้าไปจะเป็นอาบัติ อีกประการหนึ่งผักหรือผลไม้ที่จะนำมาถวายพระ หากมีเมล็ดแก่ที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้ อย่างส้ม แตงโม มะเขือสุก หรือมีส่วนอื่นที่นำไปปลูกได้ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ราก หัวก็ดี เช่น ผักบุ้ง ใบโหรพา หัวหอม จะต้องทำวินัยกรรมที่มักเรียกว่า กัปปิยะ เสียก่อน พระท่านจึงจะฉันได้ หากไม่ทำกัปปิยะก่อนแล้วพระฉันเข้าไปจะเป็นอาบัติทุกฎ เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากพระวินัยที่ห้ามภิกษุพรากของเขียว คือตัดต้นไม้ เด็ดใบไม้นั่นเอง ซึ่งรวมไปถึงผลไม้หรือลำต้นที่สามารถนำไปปลูกให้งอกได้ด้วย วิธีการทำกัปปิยะ คือ นำผักหรือผลไม้ที่ต้องทำกัปปิยะมาวางตรงหน้าพระ แล้วพระท่านจะถามว่า กัปปิยัง กโรหิ แปลว่า ทำให้สมควรแล้วหรือ โยมหรือเณรจะใช้เล็บหรือมีดเด็ดหรือตัดพืชนั้นเพียง ๑ ต้นหรือ ๑ ผล ให้ขาดออกจากกัน พร้อมกับพูดว่า กัปปิยัง ภันเต แปลว่า ทำให้สมควรแล้ว การทำกัปปิยะกับพืชหรือผลไม้เพียงต้นเดียวหรือลูกเดียว จะมีผลทำให้พระฉันพืชหรือผลนั้นได้ทั้งจานหรือทั้งถาด วินัยข้อนี้เห็นนิยมทำกันแต่เฉพาะในสายวัดป่าเท่านั้น เพราะหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนลูกศิษย์ลูกหาสืบกันมา ไม่ค่อยได้เห็นวัดในเมืองทำกันสักเท่าใด สมัยหนึ่งหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เที่ยวธุดงค์ไปพักที่วัดหนึ่งใน จ.สกลนคร เจ้าอาวาสวัดนั้นซึ่งมีพรรษามากแล้ว เห็นหลวงปู่เสาร์ให้โยมทำกัปปิยะก็ไม่เชื่อถือและกล่าวปรามาสท่าน หลวงปู่เสาร์ท่านก็อธิบายว่า ท่านทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้คิดขึ้นเอง ทันใดนั้นหลวงตาเจ้าอาวาสท่านก็ล้มลงชักกับพื้น ด้วยอำนาจกรรมที่กล่าวปรามาสพระธรรมและพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ฝ่ายพระลูกวัดก็พากันมาเขย่าตัวถามว่าเป็นอะไรไป ท่านจึงรู้สึกตัวขึ้นและกล่าวขอขมาหลวงปู่เสาร์ทันที และแต่นั้นมาท่านก็ทำตามหลวงปู่เสาร์มาจนตลอดชีวิต ครูบาอาจารย์บางรูปท่านสอนลูกศิษย์ว่าหากไปฉันในวัดที่เขาไม่ทำกัปปิยะก่อน ก็ควรเลี่ยงไม่ฉันพืชผลไม้นั้นและไม่ควรไปพูดตำหนิเขาด้วย แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ให้ฉันแต่เนื้อ ระวังอย่าเคี้ยวเมล็ดจนแตก