เริ่มเรื่อง ที่หมู่บ้านชุ่ยกวนชนบทอันไกลโพ้นของประเทศจีน ผู้ใหญ่บ้านกำลังเดินพาเด็กสาว ตัวน้อยไปที่โรงเรียน ประจำหมู่บ้านที่ทั้งเล็กและโทรม (มีแค่ห้องเรียนเดียว) พอมาถึงโรงเรียนผู้ใหญ่บ้านก็ถามหาอาจารย์เกากับเด็กๆ บอกว่าตนได้พาคนที่จะมาสอนแทนอาจารย์เกามาให้ แล้วผู้ใหญ่ก็รีบขอตัวกลับทันทีเด็กสาวที่ดูจะเป็นเด็กนักเรียนมากกว่าคนจะมาสอนแทน ทำเอาอาจารย์เกา งงเป็นไก่ตาแตก เค้ารีบถามถึงอายุ และการศึกษา พอทราบว่า เธอชื่อ เหว่ยหมิงฉี มีอายุเพียง 13 ปี และจบชั้นประถมจากโรงเรียนประจำหมู่บ้านเท่านั้น อาจารย์เกาถึงกับเหวอไปเลย อาจารย์จึงรีบถามเหว่ยหมิงฉี กลับไปว่า ผู้ใหญ่บ้านเค้าบอกอะไรกับเธอเหรอ (คงอยากรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านไปหลอกเด็กที่ไหนมาเฝ้าโรงเรียนฟ่ะ) เหว่ยหมิงฉีตอบอย่างซื่อๆใสๆว่า ผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่า แม่อาจารย์เกาน่ะล้มป่วย แล้วอาจารย์ต้องไปเยี่ยมทำให้ต้องหยุดสอน 1 เดือน ก็เลยจ้างตนมาสอนแทน อาจารย์เกาอึ้งไปเล็กน้อย แล้วบอกว่า เรามีเด็ก เกรด 1 ถึง เกรด 4 อยู่ 28 คนนะ(คงประมาณว่าหนูจะไหวเหรอไม่ใช่เลี้ยงเด็กแค่ 1-3คนนะ)
หลังจากนั้น อาจารย์เกา ก็รีบพาคุณครูจำเป็นอย่างเหว่ยหมิงฉี ไปหาผู้ใหญ่บ้าน ด้วยอารมณ์ พ่อไม่ปลื้ม.... ผู้ใหญ่บ้านก็ให้เหตุผลไปว่า หมู่บ้านนี้มันไกลอ่ะไม่มีใครอยากมาหรอก หาคนน่ะยากนะ อาจารย์เกา ก็บอกว่า เราเคยมีนักเรียน 40 คนแล้วตอนนี้ก็ลาออกไป 10 คนแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ใครจะมาเรียน เด็กคนนี้จะสอนไหวเหรอ ผู้ใหญ่บ้านก็ได้แต่ตอบไปว่า มันก็แค่เดือนเดียวเอง และบอกปัดไปว่าเดี๋ยวผมหาทางให้อีกทีนะ แต่ตอนนี้อยากให้อาจารย์กลับไปก่อน อาจารย์เกาเลยต้องกลับอย่างกังวลใจ พอมาถึงที่พักโรงเรียน(มันก็คือห้องเรียนเก่าๆนั่นแหละ) อาจารย์เกาได้ถาม ครูตัวน้อย เหว่ยหมิงฉี ว่าเธอทำอะไรได้บ้าง เธอตอบแบบเอียงอายตามประสาเด็กๆว่า ร้องเพลงได้ อาจารย์เกาบอกให้ลองร้องเพลงให้ฟัง หน่อย เหว่ยหมิงฉี จึงขับขานพร้อมรีวิวประกอบเพลงอย่างเงอะๆงะๆ เพลงที่เธอร้องเป็นเพลงในแนวชาตินิยม (ประมาณเชิดชูท่านผู้นำเหมาเจ๋อตุง ) อาจารย์เกาเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับชี้แนะว่าท่าเต้นต้องขึงขังกว่านี้(มันเพลงปลุกใจนะไม่ใช่เพลงร่ายรำ)แถมเธอยังร้องผิดอีก อาจารย์เกาบอกให้เธอไปร้องเพลงให้ถูกแล้วก็ให้สอนนักเรียนแล้วกันแต่จะให้สอนร้องเพลง อย่างเดียวทั้งเดือนได้ยังไง อาจารย์เกาเลยให้เหว่ยหมิงฉีคัดบทความตามหนังสือลงกระดานดำ ให้นักเรียนลอกตาม โดยให้คัดวันละบท พอแดดส่องถึงเสา ค่อยให้เด็กกลับบ้านได้(ประมาณนาฬิกาไม่มีดูแดดเอาแล้วกัน) ....แล้วถ้าวันที่แดดไม่มีอ่ะ เหว่ยหมิงฉีถามแบบซื่อๆ อาจารย์เกาก็ตอบว่าถ้าฝนจะตกก็ให้กลับเร็วได้ แต่ถ้าตกหนักเธอต้องไปส่งนักเรียนนะ เหว่ยหมิงฉี ถามต่ออย่างตั้งใจว่าถ้าเด็กคัดลายมือเสร็จเร็วจะทำไง อาจารย์เกาแนะว่าให้ไปเล่นข้างนอกได้แต่อย่าให้ทะเลาะกัน พร้อมทั้งให้ชอร์คเขียนกระดานไว้เท่าจำนวนวันที่ไม่อยู่คือ 26วัน โดย เหว่ยหมิงฉี จะต้องใช้ชอร์คได้เพียงวันล่ะ 1 แท่งเท่านั้น (แถมท้ายบอกว่าอย่าเขียนตัวเล็กเกินไปเด็กจะตาเสีย ตัวใหญ่เกินก็ไม่ได้ เพราะมันเปลืองชอร์คพร้อมบ่นพึมพำว่าโรงเรียนจนต้องประหยัด) หลังจากนั้นก็พามาดูที่ใช้หลับนอน(ห้องพักครู) พร้อมแนะนำเด็กๆที่นอนอยู่โรงเรียนและที่ทำอาหาร เหว่ยหมิงฉี ถาม อาจารย์เกาว่า ผู้ใหญ่บอกเธอว่าเธอจะได้ค่าจ้าง 50 หยวน จากการทำงานนี้ อาจารย์เกาบอกว่าตัวอาจารย์เองไม่ได้เงินเดือนมา 6 เดือนแล้วจะเอาเงินจากไหนมาให้เธอ ถ้าอยากได้ ก็รอรับเงินที่ผู้ใหญ่บ้านแล้วกัน เช้ารุ่งขึ้น อาจารย์เกาต้องเดินทาง เหว่ยหมิงฉี วิ่งตามถามถึงค่าจ้างอีก อาจารย์เกา บอกให้เธอว่าจะให้หลังจากกลับมา และระหว่างที่เขาไม่อยู่ เธอจะต้องดูแลไม่ให้นักเรียนในชั้นลดจำนวนลงแม้แต่คนเดียว และถ้าสามารถทำได้ตามนั้นเขาสัญญาจะให้เงินเพิ่มอีก 10 หยวน
ด้วยความเป็นเด็กและด้อยประสบการณ์ของเหว่ยหมิงฉี การดูแลเด็กนักเรียนในวันแรกจึงทุลักทุเล โดยเธอปล่อยให้เด็กๆเล่นกันเองที่ลานหน้าห้องเรียน จนกระทั่งเที่ยงวันผู้ใหญ่บ้านมาเห็นเข้าและจัดแจงพาเด็กๆเข้าแถวซ้ายหันขวาหันร้องเพลงชาติ เข้าห้องเรียนให้ พร้อมทั้งแนะนำตัว ครูคนใหม่ให้แทน
เหว่ยหมิงฉี เคร่งครัดตรวจสอบรายชื่อนักเรียนในชั้น โดยเธอมอบหมายให้นักเรียนในชั้น คัดลอกบทเรียนจากกระดานดำใส่สมุด (อย่างที่อาจารย์เกาบอก) เธอดูไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจอะไรเลยว่าพวกเขาจะเรียนรู้อะไร แค่ขอให้พวกเขาอยู่ครบตามรายชื่อก็พอ หลังจากที่เธอเขียนเนื้อหาขึ้นกระดานแล้ว เหว่ยหมิงฉีก็จะออกไปนั่งนอกห้องเฝ้าระแวดระวัง ไม่ให้มีนักเรียนในชั้นแอบหนีออกไปได้แม้แต่คนเดียว
มีครั้งนึง ผู้ใหญ่บ้านพาคนคัดตัวนักกีฬาเยาวชน มาดูตัวนักเรียนในโรงเรียน คนค้ดตัวถูกใจในตัวนักเรียนหญิงในกลุ่มคนนึง แล้วตกลงจะนำเด็กคนนี้ไปแข่ง พอเช้าวันรุ่งขึ้นเหว่ยหมิงฉี ก็แอบเอานักเรียนหญิงคนนั้นไปซ่อน ครั้นพอเจ้าหน้าที่เจอเด็กและแอบพาเด็กขึ้นรถไป เหว่ยหมิงฉี ก็วิ่งตามอย่างไม่ลดละฝุ่นตลบโดยใจมุ่งมั่นคิดว่าเด็กต้องอยู่ครบโดยไม่สนใจว่าเด็กจะไปดีหรือเปล่า ในที่สุด เหว่ยหมิงฉี ก็ต้องเสียนักเรียนคนนั้นไป หลังจากนั้น เธอมุ่งมั่นและตั้งใจในการเฝ้าระวังเด็กนักเรียนมากกว่าเดิม แต่เธอก็ยังจะไม่ใส่ใจกับการเรียนการสอนนักเรียนเหมือนเดิม จนเมื่อเธอมีโอกาสได้ฟังความในใจของนักเรียนหญิงหัวหน้าชั้นที่เขียนไว้ในสมุดบันทึก ว่าวันก่อนที่มีการทะเลาะกัน ชอร์คหล่นลงพื้น ทั้งเพื่อนนักเรียนหัวโจก และครูต่างเหยียบชอร์คที่หล่น เธอเสียใจที่ ครูเหว่ย ไม่รักษาชอร์ค เหมือน อาจารย์เกา อาจารย์เกาบอกเสมอว่าโรงเรียนเราจนมีชอร์คน้อย จึงต้องช่วยกันรักษา ตัวเธอเองยังไม่กล้าแม้แต่จะทิ้งชิ้นที่เล็กที่สุด พอเห็นสิ่งที่ครูเหว่ยและเพื่อนทำอย่างนั้นแล้ว เธอรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก จุดนี้เองคงจะสะท้อนใจ ครูตัวน้อยขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย ว่าเธอกำลังทำหน้าที่อะไร
อยู่มาวันหนึ่ง จางฮุ้ยเคอ นักเรียนชายในชั้นวัย 10 ขวบ ที่ดูจะทั้งฉลาดทั้งซน และเป็นหัวโจกประจำห้อง (จางฮุ้ยเคอ ชอบแกล้งเหว่ยหมิงฉี เสมอ) เค้าถูกพ่อแม่มารับตัวกลับบ้านไม่ให้มาเรียน จึงเป็นหน้าที่ของคุณครู เหว่ยหมิงฉี จะต้องไปตามให้มาเรียน และเธอก็มารู้ว่าครอบครัวลูกศิษย์มีปัญหาการเงิน จึงต้องให้จางฮุ้ยเคอ (เด็กแค่ 10ขวบ)ไปหาเงินมาจุนเจือครอบครัวที่ในเมือง เหว่ยหมิงฉีซึ่งในใจตอนนี้มีเพียงแต่คำฝากฝังของอาจารย์เกา ก็คิดหาทางที่พาตัว จางฮุ้ยเคอ กลับมาเรียนให้ได้ (โดยผู้ใหญ่บ้านคิดว่าเป็นเพียงเรื่องของครอบครัวเด็ก ไม่อยากเข้าไปยุ่ง) เด็กๆ กับคุณครูตัวน้อยจึงช่วยกันคิดหาเงินเพื่อให้ครูเดินทางเข้าเมืองไปตามจางฮุ้ยเคอ กลับมาเรียน เริ่มตอนนี้น่ารักมากเด็กๆช่วยกันคิดคำนวณ เงิน และช่วยกันหางานโดยไปขนอิฐ(ไม่แน่ใจว่าไปทำงานหรือไปป่วนงานกันแน่) เพื่อหวังเอาค่าแรงมาใช้เป็นค่าเดินทางและกินอยู่หลับนอน ด้วยความไร้เดียงสา น่ารักของเด็กและครูทำเอาเราอดอมยิ้มไม่ได้ในการทำภารกิจเหล่านี้
เหว่ยหมิงฉี ตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองโดยการแอบขึ้นรถ(แล้วก็โดนไล่ลงกลางทางอย่างน่าสงสาร) เธอต้องเดินด้วยเท้าเข้าเมือง โดย เธอมีเงินติดตัวไม่ถึง 20 หยวน นั่นหมายถึงเธอไม่มีเงินพอจะอยู่ได้ หลายวันเพื่อตามหาจางฮุ้ยเคอ และไอ้การตามหาใครซักคนในเมือง นี่มันก็ช่างแสนจะลำบาก เหว่ยหมิงฉี ต้องเดินถามคนตามท้องถนน เพื่อไปตามที่อยู่ที่เธอทราบมา (ไมไม่ไปหาตำรวจนะ) แต่พอเธอเจอที่อยู่คนที่พาลูกศิษย์เธอมา เธอก็ได้ทราบว่าพลัดหลงกันที่สถานีรถบัส เหว่ยหมิงฉีจึงต้องจ้างวานคนที่พาลูกศิษย์เธอมาให้ช่วยตามหา(เพราะความไม่คุ้นเมือง) เธอเฝ้าเพียรหาและประกาศทางประชาสัมพันธ์(ในสถานีรถบัส)ทั้งวัน แต่ดูจะไร้ผลแถมยังต้องเสียเงินให้กับคนที่พามาด้วย เธอได้รับคำแนะนำให้ ติดประกาศและเขียนใบปลิวตามหา เธอนั่งเขียนทั้งคืน จนหมึกที่เขียนจางวันรุ่งขึ้นเธอก็เดินตามหาอย่างสะเปะสะปะน่าสงสารมาก)แล้วเธอก็ได้รับคำแนะนำอีกว่าให้ไปประกาศที่สถานีโทรทัศน์สิ ครูวัยใสใจซื่อจึงไปที่สถานีโทรทัศน์ เธอถูกปฏิเสธอย่างไร้ความเห็นใจ ว่าเข้าไม่ได้ แถมโดนไล่อย่างไม่ไยดี (เหมือนหน่สยงานราชการในไทยเลย) หนักๆเข้าเจ้าหน้าที่หน้ายักษ์ก็บอกเธอว่าต้องได้รับอนุญาติจากเจ้าของสถานีก่อน เหว่ยหมิงฉี ครูซื่อผู้มีความมุ่งมั่น ก็เฝ้าวิ่งถามหาชายทุกคนที่เข้าออกจากสถานีว่าเป็นเจ้าของสถานีไหม (โห...อึดจริงๆน้องหนู)
เงินเธอหมดไปกับใบปลิว อาหารเธอก็ไม่มีกิน เด็กตัวน้อยที่ต้องเร่ร่อน ก็หลับไปด้วยความเพลีย โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ภายในสถานีมาเจอและพาเธอไปหา ผู้อำนวยการสถานี และตรงนี้เธอก็มีโอกาสได้พูดตามหาลูกศิษย์ ออกอากาศ จางฮุ้ยเคอซึ่งสภาพชิวิตก็แทบไม่ต่างกับเด็กเร่ร่อน บังเอิญชาวบ้านจำเค้าได้จึงพามาดูทีวีว่าใช้คุณครูของตนหรือไม่ ภาพที่สุดสะเทือนใจ คือครู(ในทีวี) พูดด้วยน้ำตานองหน้าตามหาลูกศิษย์ พอ ลูกศิษย์ เห็นคุณครูในทีวี ก็ร้องไห้โฮออกมา (ทั้งคู่คงคิดถึงบ้านเกิดกันมาก......) เรื่องราวจบลงอย่างมีความสุข ครูและลูกศิษย์ ได้เจอกันและกลับหมู่บ้านของตน
หนัง ซื่อๆใสๆไร้พิษภัยเรื่องนี้เป็นหนังในใจเรื่องนึงของเราเลยทีเดียว (ไม่รู้เป็นไงชอบผลงานรุ่นเก่าๆ อย่าง Road Home ,Not one less )ของอาจารย์ จางอี้โหม่วมากกว่ายุคหนังอลังการงานสร้างอย่างปัจจุบัน) คงเพราะความใส น่ารักของตัวละคร (เค้าบอกว่าทุกตัวละครเป็นชาวบ้านจริงๆ) หนังมีขบๆกัดๆรัฐบาลจีนที่สะท้อนปัญหาการศึกษาในชนบท(ที่คนหนีเข้าเมืองกันไปหมด) พอเข้ามาในเมืองก็เร่ร่อน นอนกันตามสถานี ตามเสาไฟกันเป็นเบือ ไร้ที่อยู่อาศัย ปัญหาความยากจนของชาวนาชาวไร่เพราะหนี้สิน หนังไม่ได้พูดตรงๆจนเครียดเกินไปแต่เป็นการดูแล้วเกิดคำถามขึ้นในใจแบบหยิกแกมหยอก ผ่านทางเนื้อหาของหนัง ส่วนตัวละครหลักอย่างเหว่ยหมิงฉี บทไม่ได้เชิดชูว่าเธอเป็นครูตัวอย่างผู้เสียสละน่านับถือน่ายกย่อง ในหนังเธอก็เป็นแค่เด็กที่ได้รับภารกิจ ให้เป็นครู และดูแลนักเรียนตัวน้อยให้ดีที่สุดก็เท่านั้น แต่หนังสะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นและตั้งใจของเธอ และความด้อยโอกาสทางการศึกษาของเด็กๆในชนบท ที่ทุกคนต่างมีสมองมีความคิด มีความมุ่งมั่นและตั้งใจไม่ต่างกับเด็กทั่วไปเพียงแต่ขาดโอกาส ขาดบุคลกร ขาดทรัพยากร (คุณครู) ไปอย่างน่าเสียดาย....
Create Date : 21 มกราคม 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 25 มกราคม 2550 17:45:50 น. |
Counter : 6414 Pageviews. |
|
|