บ้านของคนบ้า
บ้านของคนบ้า
โกเมศ มาสขาว



แดดสุดท้ายค่อย ๆ ลามเลียเข้าไปในซอกตึกสีเทาทึม ในย่านที่ผู้คนกำลังเดินกันขวักไขว่บนถนนสายเล็ก ๆ ที่คราคร่ำไปด้วยยวดยานส่งเสียงคำรามเหมือนเสียงของเหล่านักรบยามบาดเจ็บจากสงครามกลางเมือง ถนนสายนี้ทอดยาวสู่ถนนสายหลักที่หมอกหนาปกคลุม
ในยามนี้ ผมเดินไปตามฟุตบาทอย่างผู้แสวงหา ผ่านผู้คนและเรื่องราวมากมายทั้งที่อยากจดจำและที่อยากสลัดมันทิ้งออกไปจากความทรงจำ ผ่านซากปรักหักพังของตึกโบราณอันเป็นนิวาสสถานของเหล่าคนจรและผู้ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า สายตาของผมมุ่งจับจ้องไปข้างหน้า สอดส่ายหาสิ่งที่น่าสนใจ อันน่าจะเป็นแก่นสารของชีวิต สรรพสิ่งผ่านมาและล่วงเลย ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าจดจำมากนักสำหรับผม
ในย่านนี้ ผมดุ่มเดินไปอย่างมุ่งหวัง แม้ว่าจะยังไม่รู้จุดหมายปลายทางก็ตาม การเดินก้มหน้าและเพ่งสายตาออกไปไม่ไกลนัก มันทำให้ไม่ต้องคำนึงถึงระยะทางที่ทอดยาวออกไป มีบางสิ่งที่ผมกำลังต้องการ ในสังคมที่มากมายไปด้วยผู้คนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตาในเมืองที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกจากท่อไอเสียรถยนต์ ส่งกลิ่นคลื่นเหียนคละคลุ้งและแสบร้อนในโพรงจมูกเมื่อสูดดมเข้าไป ท้องของผมกำลังหิว ส่งเสียงร้องตลอดเวลาที่ก้าวขาย่างเดิน ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เมื่อวาน คล้ายวิญญาณเร่ร่อนไร้ที่สถิตย์สิง ไร้พี่น้องญาติมิตรใส่บาตรหยาดพก ผมรู้…เสรีเป็นสิ่งเดียวที่ผมกำลังมีและพยายามที่จะใช้มันให้ฟุ่มเฟือยที่สุด มันเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ไปได้ไม่รู้จักหมดสิ้น ผมมีเสรี…เสรีที่ติดตามตัวผมไปตลอดระยะการเดินทางของชีวิตและเป็นสิ่งเดียวที่ผมภาคภูมิใจ
แดดสุดท้ายถูกย่ำค่ำขับไล่หายเข้าไปในซอกตึก ความหม่นเศร้าก็ฉาบระบายเข้ามาในหัวใจของผม ผมเห็นร้านรวงมากมายตั้งอยู่ทั้งสองข้างถนน บนฟุตบาทสายที่กำลังย่ำเดิน ทุกครั้งที่ลมเมืองโชยกลิ่นไก่ย่างหอมกรุ่นออกจากเตา ผมจะพยายามสูดมันให้ลึกเข้าไปในปอด และจินตนาการถึงอาหารนั้น เหมือนว่ามันกำลังกลั้วอยู่บนปลายลิ้นที่หิวกระหาย ไม่ทันได้กลืนกินจินตนาการ แม่ค้าหน้าหวานก็ลุกขึ้นขับไล่ผมออกจากหน้าร้าน ราวกับว่าผมเป็นตัวอะไรที่น่ารังเกียจซักอย่าง ผมยิ้มเฝื่อน ๆ เดินออกจากหน้าร้านของหล่อนอย่างเสียมิได้ แม้ตัวผมเองจะไม่มีเกียรติภูมิอะไรที่มีค่าซักอย่าง แต่ผมก็ไม่กล้าหรอกที่จะฉกฉวยหรือขโมยใครเขากิน ให้ตายเถอะ มันไม่ใช่คุณธรรมอะไรหรอก แต่รสชาติความเจ็บปวดในหนหลังมันคอยกระทุ้งหัวใจให้รู้จักคำว่า อย่า อยู่ตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อความหิวคุกคามตัวผมอย่างร้ายกาจ ถึงขนาดที่มันครอบงำสำนึกดีของผมให้ภินฑ์พังลง ในเช้าที่ฝนตกปรอย ๆ ของวันอันแสนเศร้า ความหิวช่างล่อใจดีแท้ มันทำให้นึกไปว่า ไส้กรอกที่กรุ่นอยู่บนเตาหน้าร้านของคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ ผมรวบมันมาตั้งพวงโดยไม่ต้องรีรอให้เจ้าของร้านออกมายืนยิ้มต้อนรับ ไม่ได้สนราคา และไม่ได้กล่าวคำขอบคุณ ถึงกระนั้น พวกเขาตอบแทนความกล้าหาญของผมด้วยกระบองไม้ท่อนใหญ่ มันช่างแสบสันดีแท้
จนทุกวันนี้เวลาที่ผมเดินผ่านหน้าร้านของคนอื่น ผมไม่กล้าแม้จะเหลือบไปมองไส้กรอกของใครอีก ประสบการณ์มันสอนให้ผมรู้ว่า ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะได้กินอะไรที่เป็นของคนอื่น ถ้าเขาไม่ได้พิศวาสหยิบยื่นให้ หรือผมไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยน



ขอบฟ้าทุกด้านเริ่มมืดสนิท แต่สรรพสิ่งก็ยังคงดำเนินไปใต้แสงไฟสีหมากสุก บนเสาสูงชะรูดเรียงแนวยาวไปตามเกาะกลางถนน ยามนี้ผมรู้สึกถึงความเหงาเป็นที่สุด มันค่อย ๆ กัดกินหัวใจของผมอย่างช้า ๆ จนกระทั่งคุกคามเข้าควบคุมโพรงสมองของผมเกือบทั้งหมด โลกมันช่างอ้างว้างเหลือเกิน เสรีที่มีก็ไม่อาจมากความหมายอย่างที่คิด มันว่างวายและไร้ซึ่งแก่นสาร เปลี่ยวดายจนกระทั่งดึงความเหงาออกมาพูดคุย “ บ้าน ” สิ่งเดียวที่ยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึก จำไม่ได้แล้วแหละว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ภาพความอบอุ่นของมันยังคงแจ่มบรรเจิด หลายคืนมาแล้วที่ผมฝันเห็นเมียและลูกชายของผม ทั้งที่หลายปีดีดักไม่เคยมีเรื่องราวเหล่านี้เข้ามาอยู่ในความคิด มันนานเหลือเกิน นานจนผมหลงลืมมันไปเกือบจะหมดสิ้น จำไม่ได้แม้กระทั่งเค้าโครงของใบหน้าหล่อน ผู้หญิงคนนั้น…เมียของผม…ได้แต่วาดฝันเอาเองว่า มันช่างเป็นใบหน้าที่พริ้มเพรา น่าทะนุถนอม เวลาที่หล่อนแย้มยิ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มจะเผยอขึ้นเล็กน้อย มองเห็นไรฟันสีขาวเชิญชวนให้ค้นหา ผมเห็นลูกชายของผมกระโดดโลดเต้นอยู่ในทุ่งหญ้าที่มีผีเสื้อบินว่อน หน้าตาละม้ายกับผมในวัยเด็กเหมือนกับถอดพิมพ์เดียวกันมา ผมจำไม่ได้หรอก ในวัยเด็กหน้าตาของผมเป็นยังไง เพียงแต่หลับตาแล้ววาดภาพเอาเองเท่านั้น
ผมเริ่มจำอะไรได้ราง ๆ ว่า ผมมีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ในไร่ข้าวโพดสีเขียวอ่อนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีนกอินทรีตัวใหญ่บินวนอยู่ในท้องฟ้าทุก ๆ ยามเช้า ในยามที่คิดถึงบ้าน ผมจะรับรู้ได้ถึงความสุขอย่างที่สุด ผมมีความสุขและมีความหวังว่าจะได้กลับบ้านอีกสักครั้ง แต่ในขณะนี้ท้องของผมกำลังหิว ลำไส้ปวดแสบเหมือนกำลังถูกบิดทึ้ง ความหิวเป็นโรคประจำตัวของผม โรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ มันติดตามไปเหมือนเงาเฝ้าติดตาม จะวิ่ง นั่ง หรือเดิน ก็ไม่อาจจะหลุดพ้น
ในท้องถนนรถรายังคงแผดเสียงอยู่เช่นเคย และเหมือนว่าความเหงาจะรุกรานตัวผมจนถึงที่สุด มันแทบจะไม่มีอะไรเลยในหัวใจของผม ว่างเปล่าเหมือนท้องฟ้าคืนไร้ดวงดาวและเปลี่ยวร้างเหมือนท้องทะเลยามไร้คลื่นมรสุม ความเหน็ดเหนื่อยได้กระชากพละกำลังของผมไปจนหมดสิ้น ถึงเวลาที่ผมควรจะหยุดพักเสียที ผมบอกกับตัวเองเมื่อเดินมาถึงศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง ณ ที่แห่งนี้มีผู้คนจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว สายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องไปที่ต้นถนน ซึ่งเป็นที่ที่รถเมล์จะวิ่งมา ถัดออกไปจากม้านั่ง มีแม่ค้าหาบเร่นั่งเหม่อลอยอยู่ริมฟุตบาท ในกระจาดมีตะแกรงไข่ปิ้งบนเตาถ่านที่ไร้ซึ่งแสงไฟ ผมมองเห็นความเปลี่ยวร้างในแววตาคู่นั้น มันสะท้านเข้ามาในหัวใจของผม เยียบเย็นเหมือนเตาไข่ปิ้งที่ตลอดทั้งวันไม่ได้จุดไฟ
เหมือนว่าแกเริ่มที่จะสังเกตเห็นว่าผมกำลังจ้องมองแกอยู่ แววตาคู่นั้นผ่อนคลายความเย็นชาลงเป็นความอ่อนละมุน
“ ไข่ปิ้งไหมจ๊ะ ช่วยซื้อหน่อยจ้า ” แกร้องขึ้น ผมได้แต่ยิ้มและส่ายหน้า ลูบท้องที่ยังคงคร่ำครวญไม่ได้หยุด กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ด้วยความหิวโหย ในใจก็นึกสมน้ำหน้าเหล่าพยาธิที่คอยสูบเลือดอยู่ภายใน
“ ช่วยซื้อหน่อยเถอะคุณ ” แกร้องขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เสียงของแกออดอ้อนยิ่งกว่าหนแรก แต่ชั่วพริบตาเดียวจึงเงียบกริบลงจนน่าใจหาย เมื่อผมนั่งลงบนม้านั่งและเบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่ได้ใส่ใจต่อเสียงนั้น นานที่ความตึงเครียดเข้ามาปกคลุมระหว่างคนแปลกหน้ากับคนแปลกหน้า แม่ค้าคนเก่านิ่งงัน ไม่มีทีท่าว่าแกจะเงยหน้าขึ้นมาแลมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลย ม้านั่งตัวที่ผมใช้เป็นที่ประทับก้นคงจะอยู่ใกล้แกเกินไป มันคล้ายกับว่าผมจงใจเข้าไปนั่งอยู่ตรงหน้าแกด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่าง ทั้งที่ความจริงก่อนจะหย่อนก้นลงผมไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรทั้งนั้น ชั่วขณะเวลาอย่างนี้ผมคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ มันมืดมนเหมือนท้องฟ้าเบื้องหน้าไม่ผิดเพี้ยน และก่อนที่บรรยากาศภายในศาลารอรถจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ ก็มีชายวัยผมสีดอกเลาเดินสะเปะสะปะเข้ามาหยุดลงตรงหน้าผม ผมไม่รู้หรอกว่าแกเดินมาจากทิศทางไหน แต่กลิ่นเหล้าในตัวของแกคลุ้งตลบเหมือนกับว่าแกไปนอนแช่มันมาจากที่ไหนสักแห่ง
“ จะไปไหน ” แกค่อย ๆ ค้อมตัวลงเอียงคอมาถาม จนใบหน้านั้นเกือบจะชนเข้ากับปลายจมูกของผม ผมได้แต่กลั้นหายใจส่ายหน้าจนกระทั่งแกยืดตัวยืนขึ้น
“ อะไรวะ ” ชายที่ผมไม่คุ้นหน้าหันมานั่งลงข้าง ๆ บ่นคนเดียวอุบอิบ แม่ค้าขายไข่ปิ้งเงยหน้าขึ้นมามองครู่หนึ่ง หน่วยตาของแกแดงช้ำเหมือนกับผ่านการร้องไห้มานาน ผู้คนที่ผ่านไปมาเริ่มค่อย ๆ ลดจำนวนลง จนเหลือเพียงผม ชายแปลกหน้ากับแม่ค้าขายไข่ปิ้งเท่านั้นที่อยู่บริเวณนี้ ห่างออกไปนอกป้ายนาน ๆ ทีจะมีรถแท๊กซี่เข้ามาเทียบจอด และเมื่อไม่เห็นมีคนก็จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปปะปนกับสัตว์ยนต์หลากสี ที่ยังคงร้องคร่ำครวญอยู่ตลอดเวลา




ชายแปลกหน้าเป็นมิตรที่ดี แต่ผมไม่ค่อยชอบให้แกปฏิบัติอย่างนี้ต่อผม สิ่งที่แกกระทำ ฉุดความคิดของผมให้ดิ่งลึกลงสู่ห้วงอดีต และความปวดร้าวก็เริ่มทำร้ายความรู้สึกของผมอีกครั้ง ในห้องเล็ก ๆ บนชั้นสองของบ้านไม้หลังซอมซ่อ ผมจำได้ว่า ตอนเดินขึ้นมายังมีผู้คนนั่งพูดคุยกันอยู่ระหว่างสองข้างของบันได มันเป็นคืนดึกที่แปลกประหลาดมากสำหรับผม ก่อนจะมาถึงที่นี่ผมได้กินอาหารจนอิ่มท้องและร่ำดื่มจนเมามาย แน่ล่ะชายแปลกหน้าเป็นคนจ่ายเงิน ผมเรียกแกว่าลุงแปลก ซึ่งแกก็ดูจะพึงพอใจกับสมญานามที่ผมตั้งให้นี้ไม่น้อย ห้องที่ผมใช้หลับนอนเป็นห้องสุดท้ายของตัวบ้าน ข้าง ๆ เป็นห้องลักษณะเดียวกันอีกสองถึงสามห้อง ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนเดินเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ผมไม่รู้ว่าลุงแปลกนอนอยู่ในห้องไหน ถ้าไม่เป็นชั้นสองก็คงเป็นชั้นล่าง ข้าง ๆ ตัวผมมีหญิงวัยกลางคนเปลือยกายนอนหลับไหล ดูหล่อนไม่ค่อยจะยอมปริปากพูดกับผมสักเท่าไหร่ หลังเสร็จจากกามกิจต่างคนก็ต่างผล็อยหลับไป จนกระทั่งผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้าย ฝูงเหยี่ยวที่บินวนอยู่เหนือไร่ข้าวโพด ถลาโฉบลงมารุมจิกทึ้งร่างของลูกชายของผมจนแหลกกระจาย ไร่ข้าวโพดกลับกลายเป็นสีแดง ได้ยินเสียงร่ำไห้จากซากศพ ใบหน้านั้นไม่ต่างไปจากใบหน้าของผมเลย เมื่อตื่นขึ้นก็ยังไม่อาจจะแน่ใจได้ว่า ในความฝันนั้นเป็นผมหรือเป็นลูกชายของผมกันแน่ ครั้งใดที่นกเหยี่ยวใช้จะงอยปากเจาะเข้าไปในเบ้าตาและควักมันออกมากลืนกินเข้าไปในลำคอ ผมจะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด รอบข้างมืดสนิท ทั้งใบหน้าร้อนผ่าว มีน้ำอุ่น ๆ ไหลเป็นทางยาว ผมนั่งคิดอะไรคนเดียวเรื่อยเปื่อย นึกสงสารแม่ค้าขายไข่ปิ้งเมื่อตอนหัวค่ำจนใจคอไม่ค่อยดี ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะนึกสงสารคนอื่นและแกก็เป็นคนที่โชคดีที่เข้ามาอยู่ในสาระบบความคิดของผม ป่านนี้แกคงกลับถึงบ้านแล้ว ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่า ทำไม เมื่อตอนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แกถึงได้แต่นั่งก้มหน้า แกไม่ได้กลัวผมหรอก หากแต่กลัวว่าลุงแปลกจะไถเงินจากแกมากกว่า ผมมารู้ว่าทั้งสองเป็นผัวเมียกันก็ต่อเมื่อลุงแกเข้าไปคว้าไข่ปิ้งในเตามายื่นให้ผม แล้วแกก็ถูกด่ากลับมาว่า “ ไอ้ผัวเฮงซวย” ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ รีบรับไข่ปิ้งมากะเทาะเปลือกแล้วกระเดือกลงคออย่างยากเย็น ( ความหิวมันทำให้ผมไม่มีกระจิตกระใจที่จะไปสนใจคิดคำนึงถึงเรื่องราวของคนอื่นหรอก) สุดท้ายลุงแกก็ได้เลือกผมเป็นเพื่อนร่วมราตรี ดื่มกินและสนทนา ล้วนแล้วแต่เรื่องไร้สาระที่ผมปรารถนามานาน
ผมมีความรู้สึกว่าอีกไม่นานรุ่งเช้าจะเดินทางมาถึงแล้ว ความสับสนก่อตัวเป็นเส้นใยบางเบาในจิตใจ เหมือนความเปลี่ยวร้างได้ฉาบระบายไปในทุกอณูของความรู้สึก ภาพของไร่ข้าวโพดสีเขียวล่องลอยวนเวียนเข้ามาในมโนคำนึง คล้ายภาพฝันที่ตอกย้ำลงไปในความฝัน เป็นเงาซ้อนที่ไม่อาจลบล้างให้เลือนหาย…ทำไม ผมถึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย เป็นคำถามที่เพิ่งผุดขึ้นมากลางใจ ช่วงขณะเวลาอย่างนี้ ผมควรที่จะได้นอนหลับพักผ่อนอยู่ในบ้านที่เป็นบ้านของผมเอง อยู่ท่ามกลางลูกและเมียผู้เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของผม บ้านของผมอยู่ที่ไหนกันล่ะ ผมพยายามที่จะนึก และเหมือนจะไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง หญิงวัยกลางคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ตัวผมพลิกตัวไปมาอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะควานหาผ้าห่มมาปิดหน้าอกของหล่อน แสงสว่างจากข้างนอกที่ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างคงจะทำให้หล่อนมองเห็นว่า ผมกำลังนั่งร้องไห้อยู่กระมัง หล่อนลุกขึ้นมาโอบหลังของผมเอาไว้และก็เริ่มต้นรินน้ำตาลงบนแผ่นหลังนั้น ผมนึกไปถึงเมียของผม จินตนาการว่าหล่อนกำลังโอบหลังผมอยู่




ดาวดวงนั้นเด่นอยู่ตรงกลางระหว่างรอยโหว่ของหลังคาสังกะสีพอดี ผมพบมันโดยบังเอิญเมื่อเงยหน้าขึ้น มันสุกใสเหมือนลูกแก้วสีส้มที่มีประกายวาว ส่งแสงระยิบ ผมเริ่มจำได้ว่า ในค่ำคืนที่ไร่ข้าวโพด ผมเคยเห็นดาวดวงนี้นานมาแล้ว มันส่องสว่างใสและใหญ่กว่าดาวดวงอื่น ๆ บนเนินหญ้าเล็ก ๆ หลังบ้าน มีฟากไม้ไผ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ผมมักจะหนีความอบอ้าวจากข้างในบ้าน ออกไปนอนรับลมอยู่บ่อย ๆ มีอยู่บางครั้งที่เมียของผมจะตามออกมาด้วย เรานอนคุยกันใต้ดาวดวงนั้นจนรุ่งเช้า พอคิดมาถึงตอนนี้แล้ว เนื้อตัวของผมเริ่มสั่นเทิ้ม ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังตุบ !ตุบ ! มีความรู้สึกว่าผมควรจะกลับบ้านเสียที ที่นี่ไม่ใช่บ้านของผม และผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่เมียของผมด้วย แต่ก่อนที่ผมจะออกไป ผมน่าจะได้เจอลุงแปลกเสียก่อน แกดีกับผมมาก เลี้ยงผมหมดไปตั้งหลายร้อย แล้วยังพาผมมานอนที่นี่อีก แกแปลกสมชื่อ ทำไมถึงไม่ยอมกลับบ้านก็ไม่รู้ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของแกซักหน่อย ผู้หญิงที่แกเลือกก็ไม่ใช่เมียของแกอีก นี่แกกำลังคิดอะไรอยู่นะ ผมได้แต่นึกแปลกใจ บางที แกอาจจะกำลังคิดเรื่องอะไรแปลก ๆ อยู่ก็ได้
ผมรีบใส่เสื้อผ้าเมื่อดาวดวงนั้นคล้อยลับรูโหว่ของหลังคาไป หญิงในร่างเปลือยนอนหลับไปแล้ว แต่ไม่วายที่จะทำจมูกฟิต – ฟิต เมื่อได้กลิ่นฉุนจากชุดของผม ดูหล่อนน่าสงสารทีเดียว แต่ผมจะช่วยอะไรได้ล่ะ ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าหล่อนจะคิดยังไง ผมไม่ได้ต้องการหล่อน แล้วหล่อนก็ไม่ได้ต้องการผม สิ่งที่ผมต้องการขณะนี้ก็คือความทรงจำของตัวเองเท่านั้น มันจะนำทางผมไปสู่อดีตอันแสนหวาน บ้านที่แสนอบอุ่น ไปพบกับลูกเมียอันเป็นที่รักของผม





ผมมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง หลังออกจากบ้านหลังนั้นได้ไม่นาน รอบข้างเห็นเงาตะคุ่มของไร่ข้าวโพดเรียงแนวในค่ำคืนสลัว หันกลับไปเบื้องหลัง มองเห็นแสงไฟสีทองของเมืองใหญ่ มีถนนสายเล็ก ๆ เป็นเส้นตรงเชื่อมสถานที่ทั้งสองให้ไม่รู้สึกว่าอยู่ไกลกันนัก ยิ่งก้าวขาเดินไปข้างหน้า ผมยิ่งรู้สึกว่ารุ่งเช้าได้จงใจวิ่งหนีผมไปนาน…ไม่มีทีท่าว่าจะได้เห็นแสงตะวัน
ผมพยายามวิ่งฝ่าเข้าไปในไร่นั้น เพื่อค้นหาบ้านหลังเล็กของผม กลับไม่พบสิ่งก่อสร้างใดเลยนอกจากรั้วลวดหนามทั้งสี่ด้าน ความหวังที่จะได้พบหน้าของลูกเมียได้ภินฑ์พังลงไปแล้ว ความเหงาเข้าคุกคามหัวใจของผมอีกครั้ง ผมเริ่มร้องไห้ จากที่มีเพียงน้ำตาไหลนิ่งเงียบก็เริ่มมีเสียงสะอื้น ดังขึ้น ดังขึ้น กระทั่งปล่อยโฮออกมาสุดเสียง เหมือนตัวเองได้กลับกลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง เนื้อตัวคันยิบ ๆ จากคายใบข้าวโพด ตามใบหน้าแขนขามีเลือดไหลซิบ เจ็บแสบสะท้านไปทั้งร่างกาย นานที่ผมนิ่งอยู่อย่างนั้น คิดถึงลุงแปลกขึ้นมาอีก ตอนออกมาจากบ้านหลังนั้น ผมไม่ได้บอกกล่าวอะไรกับแกเลยเพราะไม่รู้ว่าแกนอนอยู่ในห้องไหน ผู้หญิงคนนั้นอีก หล่อนนอนขี้เซาจนไม่ยอมสนใจว่าใครจะเข้าจะออกในห้องบ้าง บางครั้งผมรู้สึกว่าหล่อนมีหน้าตาละม้ายกับเมียของผมเหลือเกิน เป็นความรู้สึกที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
ผมล้มตัวลงนอนในร่องที่แบ่งระหว่างแถวของต้นข้าวโพด พยายามเรียบเรียงความคิดที่กำลังกระจัดกระจายไปให้เข้าที่เข้าทาง บ้านของผมคงจะอยู่ที่ไหนซักแห่งซึ่งผมค้นหาไม่เจอรึบางทีมันอาจจะไม่เคยมีสถานที่นั้นอยู่บนโลกเลยก็เป็นได้ ผมเหงาเหลือเกิน เหงาจนจับใจ อ้างว้างและสับสนเต็มทีแล้ว ผมคงต้องเดินทางค้นหาบ้านของผมไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบหรือหมดแรงเดินล้มลงที่ไหนสักแห่งหนึ่ง…
มองลอดเงาตะคุ่มของพุ่มใบข้าวโพดขึ้นไปบนท้องฟ้า ผมได้พบกับดาวดวงนั้นอีก มันยังคงทอแสงสีส้มสว่างไสวกว่าดาวดวงอื่น ผมพยายามเพ่งมองมันอยู่นานกระทั่งเห็นไร่ข้างโพดอยู่บนนั้นเรียงแนวยาวเต็มพื้นที่ มีกระท่อมหลังเล็กตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลาง บนเนินลานมีฟากไม้ไผ่ตั้งอยู่เดียวดาย “ บ้าน ” ผมได้เจอกับบ้านของผมเข้าแล้ว ได้ค้นพบมันในค่ำคืนนี้เอง แต่ทำยังไงถึงจะเดินทางไปถึงได้นะ ตอนนี้ผมทั้งเหนื่อยและอ่อนเพลีย อยากหลับเหลือเกิน ถ้าขืนเดินทางต่อไปตอนนี้คงหมดแรงก่อนที่จะไปถึงเป็นแน่ ผมเริ่มหลับตาเพื่อที่จะพักผ่อน เห็นลูกเมียและสถานที่แห่งนั้นในความฝัน…ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะนอนหลับพักผ่อนอีกตลอดทั้งวัน แล้วเริ่มต้นเดินทางในตอนหัวค่ำ …ไปถึงดาวดวงนั้นคงจะรุ่งเช้าพอดี…




Create Date : 07 มิถุนายน 2549
Last Update : 7 มิถุนายน 2549 12:47:39 น.
Counter : 467 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แลงมาเถียงนา
Location :
อุบลราชธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ชีวิตที่เรียบง่าย งดงามครับ
PhotobucketPhotobucket
เขียนข้อความ
PhotobucketPhotobucket
มิถุนายน 2549

 
 
 
 
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
7 มิถุนายน 2549