ลูกทุ่งคลาสสิค
ไร่ของฉัน – บ้านความรัก
“ เรื่องราวของหมูหมากาไก่ และความเป็นไปของผู้คนในไร่แสงตะวัน ”
โกเมศ มาสขาว

ลูกทุ่งคลาสสิค

ชายหน้าตาซีดเซียวคนนั้นค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเหมือนมีคนเอาผ้าชุบน้ำมาซับให้ที่ใบหน้า ปรากฏพบตัวเองนอนแผ่อยู่ข้างกองฟางอ่อนนุ่มในท้องทุ่งเหลืองทองกว้างใหญ่ เบื้องข้างของเขามีเพื่อนที่ยังคงหลับไหลอีกสองคน นอนหนุนขวดเหล้าโรง 40 ดีกรีไม่ไหวติง และเบื้องหน้าของเขานั้น หมาพราน 3 ตัวยืนกระดิกหางทำท่าลุกรี้ลุกลนพยายามจะเข้ามาเลียปาก จนเขาต้องยกมือปัดป้องไว้
“ จู๊ จู๊ อีน้อย!! ถอยไป ” ส่งเสียงเพียงเท่านั้นฝูงหมาทั้ง 3 ตัวก็เดินถอยหลังและหมอบลงนอนครางหงิงๆ ทำตาปริบๆในทันที
“ ตื่นเถอะเกลอ มาดูอาทิตย์ยามเช้า ” เพื่อนอีกสองคนค่อยๆงัวเงียลุกขึ้นมา เพราะแรงเขย่าของเขา สีขี้ตาและขากเสล็ดข้ามไปยังอีกฝั่งคันนา
“ มึงดูไปคนเดียวเถอะ กูไม่อยากตาบอด นี่มันจะสิบโมงอยู่แล้วนะเฟ้ย ” เพื่อนอีกคนว่าพลางลุกขึ้นถลกขากางเกงขาก๊วยข้างหนึ่งแล้วเดินไปเยี่ยวที่โคนต้นไม้ข้างลอมฟาง
“ ห่า…! มึงไปเยี่ยวไกลๆ หน่อยสิ ” อีกคนขว้างรองเท้าแตะไล่ ก่อนพากันเดินโซซัดโซเซไปล้างหน้าที่ตุ่มดินชานกระท่อมซึ่งตั้งเด่นอยู่กลางทุ่งนา ด้านล่างมีแปลงดอกคุณนายตื่นสายบานสะพรั่ง ชูคออวดสีสันจนดูละลานตา
“ มีกระท่อมซะดิบดีไม่พากันนอน เสือกพากันไปนอนกับหมา ” ชายหนุ่มบรรจงวางเศษไม้เรียงบนขี้ไฟ จุดไฟแช็คอยู่ 2-3 ครั้งลงบนขี้ไต้ เมื่อไฟติดจึงเพิ่มฟืนเศษไม้ผุ แล้วเอากาต้มน้ำสีดำบิดเบี้ยวขึ้นไปตั้งบนเส้า ตักกาแฟใส่ถ้วยรอคอยให้น้ำเดือด ก่อนจะมานั่งเอนกายทอดอาลัยบนระเบียงไม้ไผ่ที่ยื่นยาวออกไปนอกตัวกระท่อม ลมหนาวพัดพายอดข้าวเหลืองลู่เอนไหว นกกินปลีร้องเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากต้นฉำฉาหน้ากระท่อม บนท้องฟ้ายามนี้มีว่าวหางปลาและว่าวจุฬาติดสะนูใบตาลส่งเสียง ดื่อ ดือ ด๊อ ดือ สลับกันกังวานในสายลมหนาว เขายิ้มเมื่อนึกถึงภาพทุ่งข้าวสาลีของแวนโก๊ะและบทกวีที่แสนละเมียดของวิลเลียม เชคสเปียร์ เขารำพันกับเพื่อน เมื่อใครคนหนึ่งยกกาน้ำร้อนมาเทให้
“ ไม่มีภาพวาดใดที่จะงดงาม และยิ่งใหญ่เท่าภาพที่มองเห็นเบื้องหน้าของเราอีกแล้ว…เกลอเอ๋ย และบทกวีที่ดีที่สุดยังไม่เคยถูกใครเขียนขึ้น พับผ่าสิ…ท้องทุ่งคือภาพเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่กูเคยเห็นมาเลยจริงๆ มีชาวนาเป็นมหาศิลปีที่ยิ่งใหญ่ ฤดูกาลเป็นผู้จำแนกสีสัน มันเป็นภาพเขียนที่มีชีวิตที่สุด ที่ศิลปีในอดีตไม่เคยมีใครเขียนขึ้นได้จริงๆ โอ…” ว่าจบพลางถอนหายใจและจิบกาแฟสูดกลิ่นอายของครีมเทียมผสมเอสเปรสโซ่เหมือนเคลิ้มฝัน


“ กูว่าเรารีบกินแล้วรีบไปช่วยแม่เกี่ยวข้าวดีกว่า ไอ้วาทะกรรมของมึงน่ะ กูแดกจนเลี่ยนหมดแล้ว ”
“ โอ…งั้นรึเกลอเอ๋ย เราจะเปลี่ยนภู่กันเป็นเคียวแล้วใช่ไหม ไปเป็นศิลปีที่ยิ่งใหญ่กันเถอะ ” ชายหนุ่มทำตาชวนฝัน เทกาแฟลงคอพรวดเดียวแล้วคว่ำแก้ว คว้าเคียวกับงอบกาบไผ่ กระโจนลงระเบียงกระท่อมไปทันที

ในท้องทุ่งที่แสงตะวันส่องไร้ใบข้าวเป็นประกายระยิบ ลมหนาวกรูไกวพัดพรู คนหนุ่มทั้งสามก็ร่วมแรงกันกวัดแกว่งคมเคียวเกี่ยวข้าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในภาพเขียนนั้นเคลื่อนไหวได้จริงดังคนหนุ่มว่า ต้นข้าวก็ถูกเก็บเกี่ยวรวมเป็นกำแล้วนำมาวางเรียงเป็นกอง ก่อนจะมัดเป็นฟ่อนเพื่อขนหาบขึ้นไปสู่ลานตากข้าว รอคอยฟาดนวดแยกเมล็ดออกจากฟาง เพื่อเก็บเข้ายุ้งฉางต่อไป
การทำงานอย่างมีความสุขทำให้พวกเขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หากแดดร้อนเกินทนก็ร้องเพลงของสุรพล สมบัติเจริญ หรือไม่ก็แอบหลบใต้ร่มเงาของต้นผักเม็กใหญ่ มวนยาเส้นแล้วเอนกายลงให้คันนาบีบนวด สูดและพ่นควันยาออกมาสร้างวิมานในก้อนเมฆ หรือไม่ก็แอบคิดถึงและจินตนาการไปถึงภาพของหญิงสาวคนรักในดินแดนที่ไกลแสนไกลเหมือนเพลงในหุบเขาของพงษ์เทพ กระโดนชำนาน
ชีวิตของคนหนุ่มก็เป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งงดงามในจินตนาการ และความจริงที่เป็นอยู่ก็ยังคงงดงามอยู่เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์และสถานภาพจะเป็นเช่นไร

ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่ข้างคันนาใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ครึ้ม สุรีย์ลับ ก็สะดุ้งลุกพรวดขึ้นนั่ง เงยหน้าขึ้นมองดูฝูงนกติวป่าสีเขียวฝูงใหญ่ที่กำลังบินร่อนลมเป็นวงอ้อมดวงตะวัน
“ อะไรของมึง… ไอ้ครึ้ม! ” เพลิง ลานภู ผู้ตั้งตัวเป็นพี่ใหญ่ถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ พี่ว่าสถานการณ์ในอีรักจะสงบลงรึยัง ทหารอเมริกาตายไปกี่ศพแล้วนะ แล้วที่อัฟกานิสถานอีกล่ะ บิลลาดินมันไปหลบอยู่ที่ไหนของมัน ไอ้บู๊ดนี่มันท่าจะบ้า เที่ยวระรานเขาไปทั่วเทียว นี่เห็นว่าจะบุกเกาหลีเหนืออีก ฉิบหายเลยแหละทีนี้ ”
“ เออแล้วมึงไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ ”
“ ไม่เกี่ยวก็ต้องเกี่ยวสิพี่ ก็เราเป็นศิลปินนี่ ศิลปินก็ต้องมีจินตนาการ มีจิตใจที่อ่อนไหวและรักความเป็นธรรมใช่ไหมล่ะ พี่คิดดูสิ สงครามนะพี่ไม่ใช่เด็กเล่นปาขี้ใส่กัน มันต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายไปเท่าไหร่ เด็กและผู้หญิงอีกล่ะ คนที่พ่อตายผัวตายจะอยู่ยังไง ข้าวยากหมากแพง เวรกรรมแท้ ๆ เทียว ” เพลิง ลานภู ถึงกับอ้าปากค้างไปกับจินตนาการของ ครึ้ม สุรีย์ลับ กระนั้นจึงได้แต่พยักหน้าแสดงความเป็นพวก

“ กูเคยดูข่าว… โรงเรียนที่มีเด็กๆ อาศัยอยู่มันยังใช้ระเบิดบอมบ์ได้เลย เวรกรรมแท้ๆ ” เอสโซ่ เด็กหนุ่มอ่อนเยาว์กว่าเพื่อนส่ายหน้าและแสดงความคิดเห็น
“ งั้นกูว่า วันนี้เรามากินเหล้าเพื่อไว้อาลัยให้กับเด็กน้อยในอีรักและอัฟกานิสถานกันเถอะว่ะ ” ครึ้ม สุรีย์ลับ และ เอสโซ่ ต่างเงยหน้าขึ้นมาสบตากันก่อนจะผลิยิ้มจนดวงตาตาลุกวาว



เบื้องหลังของพวกเขาขณะนี้ ถัดออกไปไม่ไกลนัก ผู้เป็นแม่กำลังยืนถือเคียว มืออีกข้างค้ำสะเอวเป็นเลขสี่ กู่ตวาดออกมาด้วยความ โมโหโทโส
“ พวกเอ็งนะดีแต่กินเหล้า…! เดี๋ยวก็ตับแข็งตายกันหมดหรอก กูใช้นมกูนะโว๊ยเลี้ยงมา ไม่ได้ใช้เหล้า…! ถึงได้โตมาขนาดนี้ ” คนหนุ่มลูกทุ่งทั้งสามต่างก็พร้อมใจกันหลบตาต่ำลงเพื่อที่จะหลบให้พ้นรังสีอำมหิตของผู้เป็นมารดา ( จริงๆแล้วเป็นรังสีชีวจิต HA ) กระนั้นเสียงแผ่วๆของคนหนุ่มยังคงแทรกดังออกมา
“ โถ่…แม่ กินเหล้าน่ะ ดีกว่ารบกาน นนนน…” จากนั้นเสียงหัวเราะของพวกเขาจึงกังวานดังเป็นภาษาอัฟกานิสถานไปทั่วท้องทุ่งสีทองแห่งนั้น ชีวิตของไอ้หนุ่มลูกทุ่งก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องสังกัดค่ายเทปอาเอสหรือแกรมมี่ ก็เป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ได้เหมีอนกัลลล์…



Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2554 16:09:21 น.
Counter : 475 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แลงมาเถียงนา
Location :
อุบลราชธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ชีวิตที่เรียบง่าย งดงามครับ
PhotobucketPhotobucket
เขียนข้อความ
PhotobucketPhotobucket
กุมภาพันธ์ 2554

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28