Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
2 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 
สุริยาแห่งหทัย ตอนที่ 03


คุยกันก่อนอัพ


**ต้นเรื่องขออัพไวนิดนะคะ**

เดี๋ยวนี้ถ้าออกจากบ้านสักทีต้องนับเงินในกระเป๋าให้ดีๆค่ะ
แป๊บเดียวหายวับ กลับบ้านทีไรกระเป๋าเบาโหวงถึงจะแค่ตั้งใจว่าออกไปกินข้าวเฉย

แต่ถ้าถามว่าทำไมยังไปอยู่ได้ เพราะบางทีการอยู่แต่ในบ้านไม่ได้เสพบรรยากาศใหม่ๆมันทำให้ชีวิตครึ่งหนึ่งรู้สึกเฉาน่ะค่ะ

ยิ่งถ้าบ้านเป็นแค่กล่องเล็กๆแคบๆแบบเอาไว้แค่นอนกับนั่งทำงานด้วยแล้ว
การออกไปดูคนอื่นๆเดินผ่านไปผ่านมาเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ใช่น้อย

เสียเงินไปบ้างดีกว่ามานั่งบ่นว่าต้องอดทนกับการอยู่บ้านทุกวัน
อะไรที่มันมีความสุขก็ทำเสียบ้างเถอะค่ะ
ทำแต่พอดีๆไม่ถึงขนาดเดือดร้อนตัวเองหรือคนรอบข้าง

อย่ามีชีวิตแบบที่วันหนึ่งอาจต้องมานั่งเสียดายอะไรซึ่งผ่านแล้วผ่านเลย
^ ^

Ploy666.



**************

สุริยาแห่งหทัย
ตอนที่ ๐๓

ผู้แต่ง Ploy666 (สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย)



สายวันนี้มยุราลิ่วโลดมาหาขณะที่เหล่านางกำนัลใหม่ทั้งหลายยังออกอยู่ในศาลาพักผ่อนเพื่อหัดเรียนรู้ชนิดผ้าต่างๆสำหรับเย็บปักถักร้อยซึ่งปารวตีให้นิยามหน้าที่นี้ว่า ‘สำคัญยิ่ง’ อสิตาถูกจัดในข่ายเรียนรู้ได้ยากเย็นถึงถูกดึงให้มานั่งใกล้หัวหน้านางกำนัล สินีนั้นอยู่ห่างออกไปกำลังสาละวนกับการเลือกผ้าจากพับใหญ่เพื่อนำมาตัดปักลวดลายตามคำสั่งพี่เลี้ยงอีกนาง

“ข่าวใหญ่เจ้าค่ะพี่ปารวตี เมื่อครู่นี้มหาดเล็กฝากข้ามาบอกว่าฝ่าบาทจะเสด็จเทวะสถานหลวงตั้งแต่รุ่งสาง ให้นางกำนัลใหม่เตรียมจัดการข้าวของสำหรับบูชา” มยุรายืนหอบตัวโยนอย่างหมดความระวังกิริยา

ตาเป็นประกายของคนนำสารหันไปทางอสิตาซึ่งเงยหน้ายิ้มกว้างไม่อาจปิดบังความยินดีเฉกเดียวกัน

กิริยานั้นทำให้ปารวตีค้อนขวับออกมา

“เจ้าเอาข่าวมาบอกข้าหรือบอกอสิตากันแน่”

“ก็อยู่ด้วยกันนี่เจ้าคะ...บอกใครก็ได้ยินทั่ว” อสิตากล่าวแก้ตัวแทนเพื่อน

ปลายเล็บที่อยู่ใกล้จึงหยิกลงมาให้ได้อุทานลั่น

“โอ๊ย! เจ็บเจ้าค่ะ” นางร้องลั่น

“เจ็บแล้วเจ้าก็ควรจำ เรื่องที่เจ้าอยากเข้าเฝ้านั่นเขารู้กันทั่ววังแล้วกระมังป่านนี้ อสิตา...เมื่อใดจึงจักรู้กาลควรไม่ควร”

แม้เจ็บหากแต่อสิตาก็มีแก่ใจรวนอุบอิบว่า

“หากรู้ทั่ววังจริงเหตุใดเรื่องจึงมิถึงพระเนตรพระกรรณเสียที...”

“แน่ะ!” มือของปารวตีเงื้อง่า

สินีเสียอีกที่รีบขัดตาทัพว่า “อย่าตำหนินางเลยเจ้าค่ะ นางยังเด็กก็อยากรู้อยากเห็นไปเรื่อย”

“เด็กเสียทีไหน นี่ถ้าอยู่นอกวังป่านนี้ถูกจับแต่งงานมีลูกมีหลานไปแล้วมั้ง” ปารวตีกล่าวขึ้น

“สินีพูดก็ถูกนะเจ้าคะ” มยุรารับลูกทันควัน “ใครบ้างมิปรารถนาเข้าเฝ้าหรือแม้แต่ได้พบพระพักตร์ราชัน องค์หริทัศว์หากไม่ออกนอกวังเยี่ยมชาวบ้านก็ประทับแต่ส่วนพระที่นั่งองค์ที่มีทางเดินเชื่อมกับพระตำหนักใหญ่ด้านโน้นอันเป็นเขตฝ่ายหน้า ฝ่ายในอย่างพวกเรามีน้อยนิดเท่านั้นที่ได้เข้าไปถวายการรับใช้จริงๆ”

จะมีก็แต่ปารวตีกระมังที่เข้านอกออกในพระตำหนักได้อย่างทั่วถึงกัน

กระนั้นก็อย่างหวังให้บอกเล่าใดๆด้วยหัวหน้านางกำนัลอย่างนางเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยแก่ราชวงศ์จากต้นตระกูลเก่าแก่ของปารวตีซึ่งรับตำแหน่งสำคัญถวายการรับใช้มายาวนาน

“พวกเจ้าเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อสิตาน่ะตัวยุ่งเห็นหรือไม่ ขนาดเสนาบดีการต่างประเทศเป็นลุงของนางยังไม่ตามใจ แล้วข้าเป็นใครกันจึงต้องให้ท้ายนาง...พอที พรุ่งนี้เช้าอสิตาต้องอยู่ที่วังห้ามตามออกไปยังเทวสถานหลวง” ปารวตีสั่งเฉียบขาด

ทำให้คนปรารถนาเข้าเฝ้าต้องอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง

“พี่ปารวตีเจ้าคะ ข้าจำเป็นต้องเข้าเฝ้าสักครั้งจริงๆ” คราวนี้น้ำเสียงของอสิตาหาได้เจือทีเล่นทีจริงอีกต่อไป

หากแม้นไม่ได้พบ มีหรือจะหาข้อสรุปลงได้...

อนาคตนางเล่าจักเป็นเช่นไร คงต้องอยู่กับความรับผิดชอบในหน้าที่ไปจนถึงวันสิ้นลมหายใจโดยไม่มีวันได้ทำตามคำสั่งที่ตกทอดสืบต่อมา

อสิตายอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เหมือนกัน!

ก่อนเที่ยงวันนางจึงนัดแนะพบปะกับสองสหายเป็นการส่วนตัวในมุมลับตา

“พรุ่งนี้ก่อนรุ่งอรุโณทัยข้าจะลอบออกจากวังตามหลังพี่ปารวตีไปแน่” คนวางแผนไม่เสียเวลาหยุดคิดแม้แต่น้อย

สินีลังเลที่จะปล่อยอีกฝ่ายดำเนินการ

“เหตุใดเจ้าไม่ลองขออนุญาตท่านลุงของเจ้าอีกสักครั้ง เขาอาจมีช่องทางพาเจ้าเข้าเฝ้าในฐานะหลานสาวเสนาบดีการต่างประเทศ ไม่ต้องลักลอบปะปนกับพวกเราที่ได้รับอนุญาตออกจากวัง”

“ข้าทำไม่ได้...” สีหน้าของอสิตาราวกับจวนร้องไห้เต็มที “ท่านลุงเมธาไม่มีทางยอมอนุญาตแน่ ที่ข้าต้องมาติดอยู่ที่นี่ก็เพราะท่านลุงแค่อยากให้ข้าเข้าเฝ้าไม่สะดวกเข้าไว้ ถึงอยู่ในวังก็เหมือนอยู่ในคุกที่ข้าไร้อิสระด้วยซ้ำไป ข้าจะเอาเวลาที่ไหนไปตามข่าวองค์หริทัศว์ หากมิเรียกว่าท่านลุงวางกุศโลบายไว้แยบคายข้าก็ไม่รู้อีกแล้วควรเรียกประการใด!”

ข้อตกลงก่อนนี้เมธาบอกว่ามีไว้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่น

เขาดูแลให้นางรู้สึกปลอดภัยด้วยวิสัยทัศน์แลความเมตตาที่มี ทว่าไม่อาจสนับสนุนชนวนเหตุใดๆอันอาจเป็นศึกสองแคว้นขึ้นมาได้ สถานะของอสิตาต้องถูกปิดตายอีกยาวไกล

เมธาฉลาดพอที่จะพานางมาไว้ใกล้องค์หริทัศว์ แต่รู้ว่าด้วยสถานะนางกำนัลหน้าใหม่คงอีกไกลกว่าที่อสิตาจะเข้าเฝ้าได้ตามตั้งใจ ซ้ำยังมีหูตานางกำนัลอื่นๆคอยสอดส่องดูแลคงทำให้ไม่อาจโผล่ไปไหนมาไหนตามชอบได้ ดีกกว่าปล่อยนางให้อยู่ที่เคหะเสนาบดีในช่วงที่เขาเองก็มีกิจธุระต่างๆตามหน้าที่อันมากมาย

“บางทีเราควรช่วยอสิตาสักครั้งนะสินี หากนางสัญญาว่าหากพ้นคราวนี้จะไม่มีคำขอตามมาแล้ว...ใช่ไหม” ตอนท้ายมยุราหันไปคาดคั้นตัวต้นเหตุ

อสิตาพยักหน้าด้วยความจำนนในยามนั้น

สินีมองนางกำนัลผู้อ่อนวัยกว่า

เมื่อหมดทางเลือกอสิตาจึงจำต้องลั่นสัจจะวาจาออกมาดังๆ

“หากแม้นข้าไร้โอกาสเข้าเฝ้าองค์หริทัศว์ทั้งที่พยายามถึงเพียงนั้น ข้าให้สัญญาว่าต่อไปจะเป็นนางกำนัลผู้อยู่ในกฎของวังอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตน!”

...โดย ‘หน้าที่’ นางมิอาจหลบเร้นปล่อยดวงเนตรแห่งนรธาหายสาบสูญไปได้

...โดย ‘หัวใจ’ นางมิประสงค์ให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไป ปรารถนารุนแรงจักทูลเรื่องราวทั้งหมด ขอพึ่งพระบารมีกษัตริย์หริทัศว์เพื่อให้ความเลวร้ายที่ตามจองล้างนางแลมาตุภูมิอยู่ ได้จบลงหมดสิ้น

บริราชจักมิวางหัตถ์ตราบใดมิได้ดังจินต์

ยามวิกฤตเช่นนี้หากแคว้นนรธาไร้กษัตริย์ผู้สามารถปกครองแผ่นดินอย่างแท้จริง เครื่องรางแห่งนรธาย่อมเป็นสิ่งเดียวซึ่งบ่งชี้ความชอบธรรมเพื่อปลดแอกให้แก่ปวงชน หลอมรวมสองแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว!



กษัตริย์บริราชแห่งนรธาทรงพระชันษาสามสิบเก้า พระวรกายสูงใหญ่ ฉวีคล้ำ พระพักตร์แลเห็นข้างปรางเป็นสันเด่นหนา บัดนี้พักตร์แลกระด้างด้วยความกริ้ว บูดบึ้ง สายพระเนตรเย็นชา ข้าราชบริพารทั้งท้องพระโรงต่างพากันหัวหดเมื่อพระแสงดาบถูกฟาดลงกับโต๊ะเตี้ยวางเครื่องสูงใกล้เคียงจนแยกออกเป็นสองเสี่ยงบังเกิดเสียงก้องกังวานชวนสะท้านสู่ทุกดวงใจผู้ได้ยิน

“คำสั่งข้าให้ตามล่าดวงเนตรแห่งนรธากลับคืนมา ตอนนี้ไปถึงไหน” พระสุรเสียงกึกก้องตวาดเลื่อนลั่น

“คนของเรากำลังเข้าใกล้แล้วพระเจ้าค่ะ” หนึ่งในเสนาอำมาตย์ทูลตอบลนลาน “ไวภพส่งข่าวมาว่าอีกไม่ช้าคงมีข่าวคืบหน้ามาโดยไว เขาค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะจับอสิตากลับมาได้ เพื่อปรามนางมิให้ทำเรื่องบานปลายต่อไป”

“นางกำแหงกับข้าถึงเพียงนี้น่าบั่นคอเสียนี่กระไร” บริราชทรงคับแค้นพระหทัย

ทว่าทุกคนต่างรู้ดีว่าทรงมีพระราชประสงค์อันใหญ่หลวงยิ่งกว่านั้นในตัวนางผู้หนีไปจากแคว้นนรธา

“ตอนนี้นางอยู่ที่แคว้นใกล้ๆ ไวภพแจ้งว่ากษัตริย์ชญบดีไม่น่าจะทรงไหวพระองค์เพราะทุกอย่างทางโน้นยังคงเป็นปกติดี เข้าใจว่าอสิตาดิ้นรนหนีไปซ่อนตัวที่นั่นหาได้มีผู้ใดช่วยเหลือก่อนหน้านี้ไม่ เกรงว่าการเข้าเฝ้าเจ้าแผ่นดินใดยากเย็นมิใช่น้อยสำหรับผู้พลัดแผ่นดินไปตามลำพังอย่างนาง”

ใครบ้างเข้าถึงพระองค์กษัตริย์แต่ละแว่นแคว้นได้โดยง่าย

ข้ออ้างของนางที่นำดวงเนตรแห่งนรธาซึ่งหายสาบสูญติดมาด้วย ยิ่งฟังเลื่อนลอยอย่างยิ่ง

มีสักกี่คนกันเคยเห็นเครื่องรางแห่งแคว้นนี้...ครั้นดำริเช่นนั้นบริราชก็ทรงแย้มพระโอษฐ์เยือกเย็น หากจับเป็นอสิตามาได้การจลาจลภายในนคราวุ่นวายที่ต้องกำราบก็จะราบลง ด้วยทรงมีข้ออ้างว่าเป็นกษัตราธิราชพระองค์ใหม่แห่งนรธาอันชอบธรรมเสียที!

บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ดวงแก้วอันพิศุทธิ์ต้องถูกนำมาบดขยี้เพื่อป้องกันการหนีหาย...อีกหน

“บอกไวภพ จงระวังหริทัศว์ราชันไว้อีกพระองค์ ข้ามิสงสัยเลยว่าถ้าทรงทราบเรื่องอสิตาจะมีบัญชาลงมาให้ทหารช่วยปกป้องนาง”

หริทัศว์ตามกระแสข่าว มิได้ฝักใฝ่อำนาจ

ทว่าบริราชจะทรงประมาทก็หาได้ไม่...ใครจะรู้หัวใจใคร

กษัตริย์แห่งนรธาพระองค์ใหม่ทรงยอมรับโดยพลันว่าคงไม่หวั่นหากอีกฝ่ายดำรงด้วยความชั่วร้ายเลวทราม แต่ที่ต้องตั้งคำถามคือหริทัศว์เป็นคนดีที่มากพอจะช่วยสตรีนางหนึ่งพ้นภัย หรือหนักไปกว่านั้นคือหมายช่วยให้ประชาชนชาวนรธาทั้งดินแดนพ้นจากการเป็นแคว้นที่ถูกกดขี่ใต้เบื้องบาทแห่งพระองค์!



คำเล่าลือโจษขานอสิตาได้ยินมานานนัก หลายปีหลังจากกษัตริย์พระองค์ก่อนแห่งชญบดีทรงสละราชสมบัติยกบัลลังก์ให้พระโอรสองค์ใหญ่ครอบครอบ ก่อนที่เจ้าเหนือชีวิตพระองค์ก่อนจะทรงสิ้น หริทัศว์ทรงเป็นราชันผู้ปกครองที่ดีแห่งแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมีทรงสถิตด้วยความผาสุกเที่ยงธรรม กองทัพอันกล้าแข็งของพระองค์หาได้เคยรุกรานใครก่อนเว้นแต่เพื่อปกป้องประโยชน์อันสมควรตามเหตุผลนับเนื่องมา

ลุปีนี้ล่วงเข้ารอบปีที่แปดหลังครองราชย์ เหมาะแก่การเสด็จสู่เทวะสถานหลวงเพื่อบวงสรวงแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงซึ่งคุ้มครองบ้านเมืองมาตลอดทุกยุคทุกสมัย หริทัศว์ทรงมีพระราชปรารภว่าน่าจะเปิดโอกาสให้นางกำนัลหน้าใหม่มีโอกาสได้ร่วมขบวนจัดเตรียมข้าวของตลอดจนทัศนาพิธีการต่างๆ ทั้งภายนอกอันจัดงานรื่นเริงแลภายในสถานที่ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อเรียนรู้เอาไว้

ปารวตีสั่งห้ามอสิตาเข้าร่วมการณ์นี้ด้วยเล็งเหตุจากนิสัยของนางที่หมกมุ่นกับความต้องการเข้าเฝ้าองค์หริทัศน์จนสรรหาวิธีต่างๆนานาเรื่อยไป

ไม่ได้เฉลียวใจว่าในวัยแห่งอสิตา ยิ่งห้ามเสมือนหนึ่งยิ่งยุยงโดยมีสหายนางกำนัลอีกสองคนยินยอมให้ความร่วมมือแบบไม่ค่อยจะเต็มใจ...

“ข้าทำหน้าที่คอยติดตามพี่ปารวตี หากนางบังเอิญเฉียดไปในระยะใกล้เจ้า ข้าจะหันเหเบี่ยงเบนความสนใจเอาไว้” สินีบอกบท

มยุราเองก็กำลังเตรียมใจ ถามไปอย่างเกรงๆว่า

“ที่บอกอยากเข้าเฝ้าองค์หริทัศว์เจ้าหมายถึงใกล้เพียงใดกันอสิตา”

“ใกล้ขนาดที่ข้าสามารถทูลบางสิ่งได้” สายตาของอสิตาบอกเค้ามุ่งมั่นอย่างยิ่ง “ข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้วว่าข้ามีบางสิ่งจะถวายแก่องค์ราชัน หากไม่อาจบรรยายสรรพคุณ ของสิ่งนั้นคงต้องถูกทิ้งขว้างไว้ข้างทางโดยไม่ทรงไยดี”

“เช่นนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี ได้ยินว่าจะทรงอาชาเสด็จพระราชดำเนิน” มยุราแอบหนักใจ

สินีเป็นผู้กล่าวว่า

“ไม่ควรพากันตีตนไปก่อนไข้ แม้ทรงอัสดรศึกแต่ระหว่างก็มีประชาชนถวายข้าวของมากมาย ยังไงก็น่าจะทรงหยุดรับบ้าง เท่าที่ได้ยินมาทรงเป็นกษัตริย์ผู้มีน้ำพระทัยต่อประชาชนของพระองค์”

...นั่นแหละ ที่อสิตาติดขัดก็ตรงนี้...

ตรงที่นางเองหาใช่ชาวชญบดีไม่

“ข้าเป็นชาวนรธา แม้เพียงสายพระเนตรอาจไม่ทอดมาด้วยซ้ำไป”

ปัญหาประดังมามากมายแต่บัดนี้นางไม่มีเวลาที่จะใคร่ครวญ ได้แต่ตัดสินใจเผชิญเอาดาบหน้า หากคลาดกับจอมกษัตริย์ก็คงได้แต่รอว่าเมื่อใดเมธาจะให้ความกรุณาแก่นางผู้ซึ่งเขารับเป็นหลานบุญธรรมจำแลง เหตุแห่งนางจักนำสัญญาณศึกมาสู่ ในฐานะเสนาบดีการต่างประเทศย่อมรู้ว่าหาควรให้นางแสดงตัวออกไปไม่ แต่อสิตาตั้งมั่นในการทำหน้าที่สรรหานรราชอันสมควรแก่การปลดเปลื้องเคราะห์กรรมชาวนรธาแม้จะต้องทำศึกข้ามดินแดน

ด้วยปณิธานแน่วแน่พานางมาจนถึงชญบดี บัดนี้นางควรเริ่มกระทำหน้าที่แห่งตนให้ลุล่วงเพื่อหมายพ้นบ่วงภาระแล้วจักคิดอ่านต่อไปในธุระแห่งหัวใจ!



เสียงกลองย่ำเป็นจังหวะหนักๆ ราชธวัชตลอดจนธงเสริมชูขึ้นสุดเสาถือสูงจากเหล่าทหารนำขบวนเป็นแถว ทหารราบ ตามด้วยเหล่าทหารม้าถวายอารักขาส่วนพระองค์ นางกำนัลซึ่งนำไปจัดเตรียมข้าวของล่วงหน้าพร้อมปารวตีไม่ได้หลงเหลือระหว่างทางจากวังสู่เทวะสถานหลวง อสิตาแลมยุราจึงสามารถปลอมปนมากับเหล่าประชาชนทั่วไปซึ่งมาร่วมเป็นสักขีพยานราชพิธีอันแสดงพระเกียรติยศครั้งนี้

สตรีสองนางพากันเดินปะปนเสาะหาช่องทางเข้าใกล้ถนนให้มากที่สุดโดยหลีกเลี่ยงทหารซึ่งกันพื้นที่เข้มแข็งเกินยินยอมให้ฝ่าด่านเข้าไปได้บ้าง

ไม่นานนักมยุราก็สะกิดให้เล็งด้านขวามือนางซึ่งมีร้านรวงปิดประตูเอาไว้ มุมด้านข้างตัวเคหสถานยังพอเบียดได้บ้างเพราะมีกลุ่มคนบางตา ล้วนแต่ถือข้าวของคนละเล็กละน้อยมาถวายเช่นเดียวกัน

“ตรงนี้บางทีอาจทรงหยุดลงรับของถวายบ้าง แต่ถ้าโชคไม่เข้าข้างเจ้าก็คงได้เจอแค่นายทหารเดินมารับของแทนให้ ไหนล่ะอสิตาเครื่องรางจากนรธาที่เจ้านำมา” มยุรากระซิบถาม

อสิตาพยายามเบียดแทรกจนเข้าไปยืนด้วยกันสำเร็จก่อนสูดลมหายใจลึกๆ

“มันอยู่ที่นี่แล้ว เรื่องนั้นอย่าได้ห่วง”

...เหลือเพียงแต่จะทำเช่นไรให้แน่ใจได้ว่าองค์หริทัศว์หยุดม้าทรงลงรับของด้วยพระหัตถ์...

ด้วยจำนวนคนคลาคล่ำราวกับเกิดโกลาหลเยี่ยงนี้ นางผู้มาจากวิหารหลวงแห่งนรธายังมิอาจคาดหวังได้เลย!

“อีกสักครู่เสียงอึกทึกเหล่านี้จะยุติลงสิ้น” มยุรากระหยิ่มมีแก่ใจยิ้มหัว “อย่างที่สินีเคยบอกไว้ เวลาเสด็จหากเริ่มพิธีการจะมีการรัวกลองแล้วให้หมอบราบโน้มตัว แม้ปลายพระบาทยังมิอาจเงยมอง แต่อย่ากลัวว่าจะพลาดไป”

“ข้าจะสังเกตว่าเสด็จถึงแล้วได้อย่างไรเล่า” อสิตายอมรับความเขลาในหนนี้

นางหรือจะเคยเห็นขบวนเสด็จของชญบดี...

มยุราไขปริศนาทันที “คอยสังเกตทหารม้าที่จับกลุ่มเรียงเป็นระเบียบเอาไว้ หากเมื่อใดพ้นไปสู่ม้าเดี่ยวบางตาก่อนตามติดด้วยกลุ่มม้าอีกขบวนใหญ่ นั่นควรเป็นม้าทรงขององค์หริทัศว์กับเจ้าชายฉัตรินได้”

พระนามฉัตรินทำให้อสิตารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

ฉวยทำผิดประการใดคงเตือนให้ระลึกได้ถึงพระธำมรงค์ซึ่งเคยประทานให้ นางอาจได้ละเว้นโทษตาย

ทว่ายังไม่ทันไรนางกลับใจหายวาบเมื่อนึกได้ว่าบัดนี้ธำมรงค์เพชรถูกเปลี่ยนเป็นแหวนทองคำอย่างจงใจจากบุรุษหนุ่มอีกรายที่นางหาได้ทราบชื่อ...

กลองระรัวขึ้นแล้ว ขบวนเสด็จคงเริ่มบ่ายหน้ามาทิศทางนี้ตามที่กำหนดเอาไว้

อสิตาไม่มีเวลาครุ่นคิด ได้แต่นั่งคุกเข่าหมอบศีรษะลงไปเบื้องหน้าตามคนอื่นๆข้างกาย ถนนทั้งสายที่วุ่นวายเมื่อครู่เงียบกริบ ประชาชนจำนวนมหาศาลพากันโน้มกายต่ำถวายความเคารพเป็นระลอก ราวลูกคลื่นใต้แสงตะวันอันมลังเมลืองจับตาผู้มีโอกาสทัศนาก่อนจะก้มหน้าหลบลงตามสมควร!

นานกว่าที่นางคาดเอาไว้...

ขบวนพลเคลื่อนเข้ามาใกล้ได้เพียงช้าๆ

“คงหยุดทักทายกับประชาชนระหว่างทาง” มยุราอธิบายอย่างระมัดระวัง

อสิตาอดทนรอท่ามกลางแดดแรงจ้าจนกระทั่งทหารหมู่แรกเดินเท้าผ่านถนนตรงหน้านางเรียงแถวเป็นระเบียบงดงามประดุจสายน้ำซึ่งกำลังทยอยเคลื่อนตัวเป็นระลอกตามกันไป

เครื่องแบบสีเทาของชญบดีดูเข้มแข็ง บัดนี้อสิตามิอาจบอกถึงสิ่งที่นางสดับอื้ออึงจากสรรพเสียงแลภาพต่างๆซึ่งผ่านแวบรำไรเข้าสู่หางตามาได้ ใจนางเริ่มเต้นระส่ำเมื่อได้ยืนเสียงกีบเท้าม้ากระทบดินแข็งจนดินบางส่วนฟุ้งกระจาย ขบวนม้ากำลังเคลื่อนใกล้มาถึงส่วนที่นางอยู่ แขนก็พลันถูกกระชากให้ต้องลุกยืนขึ้นทั้งตัวอย่างตะลึง บุรุษข้างตัวคือใครคนหนึ่งซึ่งนางคุ้นตา

“ไปกับข้า...เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงสั่งเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว

อสิตานึกยินดี แต่เพียงชั่ววูบแววตานางก็พลันเปลี่ยนไป

“เหตุใดท่านมาที่นี่ ท่านหาข้าเจอได้ยังไงกัน”

...เขาตามนางมาจากวังงั้นหรือ...

...ด้วยสาเหตุอันใด...

ความจริงบางประการที่นางตระหนักแน่แก่ใจปรากฏเป็นภาพเลือนรางขึ้นในสติ

“ค่อยถามได้หรือไม่อสิตา!”

นั่นมิใช่คำตอบของชายในฝันที่นางเพ้อหา อสิตามองเห็นประกายบางอย่างสอดแทรกเข้ามา...ความเย็นชายากจะหยั่ง...นางระลึกถึงแววตาละม้ายกันจากค่ำคืนหนึ่งซึ่งทำให้ต้องหนีซมซานจากบ้านเกิดเมืองนอน!

“ทหาร! ช่วยข้าด้วย คนผู้นี้จะทำร้ายเพื่อนข้า!” มยุราที่เพิ่งหายตกใจตะโกนก้องขึ้น

ณ บัดดลนั้นรอบกายอสิตาก็มีเสียงฝีเท้าอื้ออึง ชั่วครู่เดียวคนซึ่งซุ่มซ่อนในกลุ่มคนก็กรูกันออกมาพร้อมอาวุธเข้าปะทะทหารกล้าแห่งชญบดีจนผงคลีฟุ้งตลบทั่วอาณาบริเวณนั้นในชั่วพริบตา

“อสิตา เจ้าอยู่ไหน” มยุรากระแอมไอแต่ไม่หยุดร้องเรียกหาเพื่อน

คนถูกเรียกนามได้สติพอที่จะรั้งข้อมือซึ่งกำลังฉุดนาง

“ข้าไม่ไปกับท่าน...ท่านเป็นใครกันแน่”

ความฝันสวยงามของนางสลายลงในพริบตาด้วยเสียงคำรามขู่ก้องจากอีกฝ่าย

“ข้าเป็นทหารชื่อไวภพ ไปกับข้าเสียดีๆอสิตา องค์บริราชสั่งให้พาเจ้ากลับนรธาเพื่อหยุดสิ่งที่เจ้ากำลังคิดทำ!”

ไวภพกระชากแขนนางเข้าใกล้ เขาลากอสิตาที่กำลังดิ้นรนแต่ยากสะบัดหลุดจากการเหนี่ยวรั้งด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล

ระหว่างทางมีทหารโผล่มาเกะกะขวางทาง นางมองเห็นไวภพใช้อาวุธประทุษร้ายใส่ฝ่ายตรงข้ามโดยแทบไม่ต้องอาศัยความพยายาม ทุกครั้งที่ดาบเขาสะบัดโลหิตพลันหลั่งออกจากฝั่งตรงข้ามพร้อมเสียงร้องลั่นโหยหวนดังแว่วมา

อสิตาสำลักฝุ่น น้ำตานางไหลเป็นทางเมื่อภาพต่างๆเริ่มพร่าไหวไปเกือบหมดสิ้น

หูยังแว่วยินเสียงอาชาจากทิศทางต่างๆโลดเข้ามาใกล้

“ปล่อยข้าไวภพ ปล่อยข้าไป” สองมือของนางตะเกียกตะกายพยายามดิ้นรนด้วยการทำร้ายเขา

แม้นั่นจะไม่ต่างอะไรกับนางกำลังทำร้ายหัวใจดวงเปราะบางของนางเอง

ในที่สุดอสิตาก็หลุดออกมาได้เมื่อซัดกำปั้นสะเปะสะปะไปโดนใบหน้าของไวภพเข้า นางกระเสือกกระสนหนีท่ามกลางการรบราฆ่าฟันอย่างหลงทิศหลงทาง ร่างสูงของนายทหารผู้เป็นบริวารแห่งกษัตริย์นรธาติดตามนาง ราวกับฝันร้ายเมื่อกาลก่อนได้ย้อนคืนสนองทั้งที่พิภพยังบรรจบกับแสงสุรีย์!

หนี...แลหนีเท่านั้น

ครั้งหนึ่งในชั่วระยะเวลาสั้นๆนางโดนลูกหลงดาบไม่ทราบฝ่ายไหนเรียกเลือดจากต้นแขนไปหนึ่งแผล หัวเข่าถลอกจากการล้มลงยังก้อนกรวดริมทางแต่นางลุกได้ก่อนที่ไวภพจะถลาตามเข้ามา บัดดล อสิตาก็หลุดขึ้นไปอยู่บนถนนที่เป็นจุดรวมพลของทหารกล้าแห่งชญบดี

ธุลีบางลงจนนางเห็นร่างหนึ่งกระโดดจากหลังม้าก้าวฝ่าอย่างมั่นคงตรงเข้ามาสู่ผงคลี จากเงาร่างดำทะมึนค่อยๆชัดกลายเป็นบุรุษอีกรายที่สูงใหญ่องอาจ เค้าพระพักตร์ประกอบไปด้วยเหลี่ยมสัน แววเนตรคมแลกระด้าง หัตถ์ที่จับพระแสงดาบข้างหนึ่งกระชับมั่นดุจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน สุรเสียงตะโกนราวกับแผดสีหนาท ณ กาลนั้น

“ใครกล้าดีมาขวางทางข้า...หริทัศว์ราชันแห่งชญบดี!”

บัดนี้นางได้ชะงักแล้ว

แววตาตื่นๆราวกับนางกวางของอสิตากำลังหมดซึ่งรัศมี มีแต่ความหวาดกลัวที่ทับถมร้อยเท่าพันทวี นางเบือนหน้าไปยังไวภพที่กำลังดิ่งตรงมาก่อนยั้งเท้าด้วยวาจานั้น อสิตาหันกลับตัดสินใจวิ่งถลาเข้าไปสู่อ้อมพระพาหาข้างที่ยังว่างอยู่ของราชันผู้กางออกรับโดยพลัน ทรงหมุนเอาร่างนางพลิกแผ่นหลังมาอิงแนบกับพระอุระกว้างดุจปราการแกร่งคอยป้องกัน

ชั่วเวลาแห่งรัศมีความเป็นแลความตายกระจายในเงาฝุ่นนั้น

อสิตาเงยมองพระเนตรที่ทอประกายเจิดจ้าโดยนางมิอาจรวบรวมถ้อยคำเปล่งนิยาม

ทว่าแววพิโรธอันมหาศาลราวกับจะเผาผลาญทุกสิ่งเบื้องพระพักตร์ให้สิ้นไปได้ด้วยไฟประลัยกัลป์ ทำให้นางมิสงสัยอีกแล้วว่านี่คือหริทัศว์ราชัน...ดวงตะวันหนึ่งเดียวแห่งชญบดีพระองค์จริง!













Create Date : 02 มิถุนายน 2554
Last Update : 2 มิถุนายน 2554 15:24:57 น. 2 comments
Counter : 549 Pageviews.

 
เจอแล้วหรือคะ?? แล้วจะเป็นยังไงต่อ

ลุ้นมากค่ะ อยากรู้ๆๆ


โดย: แม่ขุนศึก วันที่: 2 มิถุนายน 2554 เวลา:17:20:24 น.  

 
เจอกันแล้วค่า คุณแม่ขุนศึก
จากนี้คงต้องรอดูต่อไปว่าแต่ละคนจะเป็นยังไงค่ะ
^ ^


โดย: ploy666 IP: 115.87.107.10 วันที่: 3 มิถุนายน 2554 เวลา:15:00:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.