|
กลโป้ปด - สะกดจิตหมู่ ทำยังไงให้คนเชื่อเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
“If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will be believed. “ Adolf Hitler, Mein Kampf “Why the second reich collapse”
“หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ” อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, การต่อสู้ของข้าพเจ้า “เหตุใดจักรวรรดิไรค์ที่ 2 จึงล่มสลาย” |
เคยสงสัยกันไหม ว่าทำไมคนที่ดูฉลาด เก่งกาจ จำนวนมาก กลับตกเป็นสาวกลัทธิแปลกประหลาดที่ผิดสามัญสำนึกโดยสิ้นเชิง เคยสงสัยกันไหม ว่าทำไมฝูงชนหมู่มากเมื่อมารวมกัน จึงถูกหลอกให้เชื่อเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ และไม่ควรเชื่อได้บ่อยๆ เคยสงสัยกันไหม ว่าชนชาติที่ขยัน อดทน และมีมันสมองชั้นเลิศอย่างญี่ปุ่นและเยอรมัน จึงถูกผู้นำหลอกให้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำพูดของเขาได้
นักสื่อสาร นักจิตวิทยา ต่างศึกษาจิตใจของผู้คน และกระแสของมวลชน จนสรุปว่า การ propaganda (ไทยแปลศัพท์ว่า โฆษณาชวนเชื่อ) เป็นต้นเหตุของความผิดเพี้ยนทางความคิดทั้งปวง
แน่นอนว่า นักจิตวิทยาและนักสื่อสารบางส่วนนำผลสรุปนี้ไปใช้ประโยชน์ สร้างระบบจิตวิทยามวลชน อุปาทานหมู่ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ทำอย่างไรเราจะรู้ทันการโฆษณาชวนเชื่อนี้ล่ะ
บทความนี้ไม่ได้มีเพื่อให้นำวิธีการต่างๆไปใช้ แต่เพื่อให้รู้เท่าทันและระวังตัวไม่ตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่ออีกต่อไป
หลักการโฆษณาชวนเชื่อ อาจสรุปลงง่ายๆ 7 ข้อ ได้แก่
1. Ad Hominem : โจมตีตัวบุคคล
สร้างศัตรูบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตีหลัก แล้วจับผิด โจมตี ด่าทอ ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัวและคำพูดทุกคำพูดของคนๆนั้น รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีเป็นปีศาจร้าย เปรียบเทียบกับความชั่วร้ายในโลกทั้งมวล ทั้งในพระคัมภีร์ศาสนาและประวัติศาสตร์
ตัวอย่างเช่น การโฆษณาชวนเชื่อโจมตีสตาลิน ในยุคลัทธิแม็คคาร์ธีของสหรัฐทศวรรษที่ 60 ว่าโหด ดุร้าย ป่าเถื่อนไร้อารยธรรม การสร้างข่าวโจมตีนายกฯวินสตัน เชอร์ชิลว่าเป็นคนโง่ ดื้อด้าน ของนาซี หรือแม้แต่การโฆษณาโจมตีฮิตเลอร์ว่าเป็นอัตติลาชาวฮัน หรือทายาทซาตาน ของฝ่ายสัมพันธมิตรเอง
2. Ad nauseum : พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
มีสำนวนไทยว่าไว้เข้าทีว่า “น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน” แล้วใจคนอ่อนๆจะทนได้อย่างไร(ฮา) เมื่อน้ำคำลมปากกรอกหูเข้าทุกวัน สาวบางคนมีแฟนหนุ่มหล่อเท่อยู่ดีๆ วันเลวคืนร้ายเพื่อนตัวดีกริ๊งกร๊างมาว่า
” นี่เธอ เพื่อนของฉันเห็นหนุ่มหล่อๆหน้าตาคล้ายๆแฟนเธอเดินควงอยู่กับหนุ่มที่ไหนก็ไม่รู้ เนี่ย ชั้นล่ะสงสัยอยู่แล้วนะ ว่าแฟนเธอจะเป็นเกย์”
หนแรก ไม่เชื่อหัวเราะใส่โทรศัพท์ หนสอง เริ่มลังเล หนสาม เอ๊ะ ชักไม่เข้าที ลองถามที่รักดูดีไหมนะ หนสี่ อดรนทนไม่ได้ถามออกไป ปรากฏว่าเป็นคุณแฟนพาคุณพ่อไปโรงพยาบาลซะฉิบ
แต่คราวนี้
หนห้า ถ้ามีอีก คุณอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่าแฟนคุณโกหก แม่เพื่อนตัวดีก็ใส่ไฟใหญ่ “เนี่ย แฟนเธอโกหกชัดๆ ผู้ชายที่เพื่อนชั้นเห็นเดินควงกับแฟนเธอน่ะ ยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย สัก 16-17 นี่แหละ จะเป็นคุณพ่อได้ยังไง”
หนหก เริ่มหงุดหงิดทุรนทุราย ออกสะกดรอยตาม แต่ก็ไม่เจอจังๆ หนเจ็ด แฟนจับได้ว่าแอบตามเขาไป “นี่คุณไม่ไว้ใจผมใช่มั้ย ถ้าอย่างนี้ เราเลิกกันดีกว่า” ต้องนั่งร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่า จะโทษเพื่อน เพื่อนตัวดีก็บอกว่า “ก็ขอโทษนะ ฉันไม่ได้เห็นเองนี่ เพื่อนของเพื่อนฉันบอกมาอีกที แถมเค้าไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนเธอนิ แค่หน้าคล้ายๆ”
แต่สุดท้าย คุณก็เห็นแม่เพื่อนตัวดีเดินจู๋จี๋กับแฟนเก่าคุณซะงั้น……
3. Big Lie : โกหกคำโต
โยเซฟ เกิบเบิลส์(1897-1945) รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ(minister of propaganda) มือขวาของฮิตเลอร์ กล่าวว่า
“The bigger the lie, the more it will be believed.” “ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น”
และ
“The great masses of people will more easily fall victims to a big lie than to a small one.” “ฝูงชนมหาศาลถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ”
การโกหกเรื่องเล็กๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆเพื่อหลอกให้เชื่อ มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆหลากหลาย อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่ถูกจริตผู้ฟัง
และเมื่อคนพูดพูดในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย
4. Name calling : สร้างสมญานาม
การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพเสียหายให้ศัตรู เป็นเทคนิคของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง
เช่น Iron Curtain : ม่านเหล็ก ที่ดูน่ากลัว,
The Third Reich ที่ย้อนโหยหาคืนวันอันรุ่งเรืองในอดีต
และมักใช้สถาบันที่สูงส่งเข้ามาสร้างภาพเป็นส่วนหนึ่งของชื่อด้วย
เช่น Imperial Army : กองทัพบกของสมเด็จพระจักรพรรดิ ของกองทัพญี่ปุ่น
ถ้าจะหาเอาใกล้ๆก็เช่น ฟักแม้ว, หน้าเหลี่ยม, หมูกชมพู่, นอมินีเหลี่ยม, กะทิ, มารเฒ่าแซ่ลิ้ม, โจรโพกผ้าเหลือง เป็นต้น ขนาดพันธบัตรยังใช้คำว่า พันธบัตรเสรีภาพเลย
5. Black and White fallacy : ตรรกะผิด-ถูก แบบขาว-ดำ
ผู้โฆษณาชวนเชื่อ ต้องสร้างภาพการแบ่งแยกฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างจะเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายธรรมะ ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายอธรรมทันที
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คำพูดของจอร์จ บุช จูเนียร์ เมื่อตัดสินใจบุกอิรักว่า
“If you don’t be aside with America, you are with terrorrist.”
ในโลกสีเทาหม่นๆของความเป็นจริง เราแสวงหาความดี ความถูกต้อง ตามหลักคำสอนทางจริยธรรมและศีลธรรมอยู่เสมอ เมื่อผู้โฆษณาชวนเชื่อตั้งธงให้เข้าร่วมกับความถูกต้องชัดเจน ย่อมไม่แปลกที่จะหลงเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวอย่างง่ายดาย
และอาจไม่ฉุกคิดเลยว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับการกระทำอย่างใดเลย
ใช่-ไม่ใช่พี่น้อง (ฮา)
6. Flag Waving, Beautiful thing, and Great People reference : ชูธงสูงส่ง อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ
การโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะอ้างตนเองและกลุ่มแนวคิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม
ด้วยคำพูดและป้ายประกาศ ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับว่าดี เช่นเทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์ ศาสดาที่ยิ่งใหญ่ เช่น พระพุทธเจ้า พระมะหะหมัด พระคริสต์ มหาตมะคานธี อับราฮัม ลินคอล์น อ้างพระคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ฯลฯ
แต่การอ้างดังกล่าวแตกต่างไปจากการเผยแผ่หรือโน้มนำที่ดีตามปกติ ด้วยว่าการโฆษณาชวนเชื่อ จะนำภาพลักษณ์ที่ดูสูงส่งสวยงามเหล่านั้นมาบิดเบือนให้เข้าข้างแนวคิดของตน
เช่น
นาซีอ้างพระคัมภีร์ที่ว่ายูดาทรยศพระคริสต์ มาบ่มเพาะความเกลียดชังชาวยิวทั้งหมด โดยละเลยไปว่าพระคริสต์เองและอัครสาวกก็เป็นชาวยิว,
ฏอลิบันอ้างกุรอ่าน ว่าห้ามบูชารูปเคารพ มาทำลายพระพุทธรูปโบราณที่บามิยัน ทั้งๆที่ไม่มีใครแถวนั้นบูชาอีกแล้ว เป็นเพียงมรดกศิลปะเก่าแก่เท่านั้น
7. Disinformation by mass media : ควบคุมกำจัดข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน
การบอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกบริบท หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี….
ยิ่งใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก ยิ่งบอกผ่านกันไปปากต่อปาก และยิ่งดูน่าเชื่อถือ หลายๆคนพอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า “ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้ล่ะ” ข้อนี้เราคงเห็นกันตามสื่อสารมวลชนอยู่ทุกวันแล้วนะครับ
ปกติ หน้าที่ของสื่อข้อหนึ่งคือ Gatekeeper ผู้คัดกรองข่าวสาร เลือกข่าวสารที่มีประโยชน์และเป็นจริง และกำจัดข้อมูลชยะที่เป็นเท็จและไม่เป็นประโยชน์ทิ้งไป รวมถึงการเรียบเรียงข้อมูลให้เข้าใจง่ายขึ้น
แต่เมื่อสื่อมาโฆษณาชวนเชื่อแล้ว การคัดกรองข่าวสารก็จะบิดเบี้ยว กลายเป็นว่า คัดเฉพาะข้อมูลที่เข้าข้างฝ่ายตน มีประโยชน์ต่อตนเอง หรือหากข้อมูลเป็นกลาง ก็จะนำมาตัดแต่งเติมต่อตีความให้เข้ากับแนวคิดของตนเอง
รวมทั้งการเรียบเรียงให้ง่าย(simplification) ที่ตัดทอนและละเลยข้อเท็จจริงไป แล้วนำเรื่องยากซับซ้อนต้องใช้ความรู้ความเข้าใจสูงมาพูดเป็นเรื่องพื้นๆให้ คนเชื่อตาม
เอ่อ นี่อาจจะเป็นตัวอย่างได้ //breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=339560 ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
การโฆษณาชวนเชื่อ แตกต่างและน่ากลัวกว่าการโฆษณาและชักจูงตามปกติ เพราะมันจะทำให้ตรรกะของคุณบิดเบี้ยวโดยคุณไม่รู้ตัว
คุณจะเห็นคนอื่นผิดหมด ขณะที่ตัวเองถูกต้องเพียงคนเดียว
คุณจะไม่เหลียวแม้แต่หางตามองสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเชื่อของคุณ
คุณจะกล้าใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอ เสียดสี คนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ ทั้งๆที่คุณไม่เคยมีนิสัยหยาบคายมาก่อน
คุณจะพร้อมบริจาค ทุ่มเททั้งกำลังกายและทรัพย์สินให้กับสิ่งที่คุณเชื่อ โดยไม่เหลือให้ตัวเองและครอบครัว
และเมื่อคุณรู้ตัว สังคมของคุณจะเหลือเพียงแต่กลุ่มคนที่เชื่อโฆษณาชวนเชื่อแบบเดียวกับคุณเท่านั้น
| |
|
|
1 2 3 4 5 7 8 9 10 11 12 13 15 16 17 18 19 21 22 23 24 25 26 28 29 30 31
|