ปฐมสังคายนา พระอานนท์ไม่ได้ต้องอาบัติ ทักท้วงความบกพร่องหรือปรับอาบัติ? ก่อนจะถึงบทวิเคราะห์เบื้องแรกนี้สมควรจะได้กล่าวทบทวนถึงข้อหาหรืออาบัติ หรือโทษที่พระอานนท์ถูกปรับจากพระเถระทั้งหลายในคราวทำปฐมสังคายนาทั้ง 5 ข้อ ซึ่งมีสาระสำคัญสั้น ๆ ดังต่อไปนี้ 1. เมื่อใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าสงฆ์จะถอนสิกขาบท เล็กน้อยเสียบ้างก็ได้ พระอานนท์ไม่ทูลถามเสียให้ชัดเจนว่าสิกขาบทอะไรบ้างเป็นสิกขาบทเล็ก น้อย 2. คราวหนึ่งพระอานนท์เย็บผ้าอาบน้ำฝนของพระพุทธเจ้า ได้ใช้เท้าเหยียบในเวลา เย็บ 3. เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน มีบุคคลต่าง ๆ มาถวายบังคมพระพุทธสรีระ พระ อานนท์จัดให้สตรีเข้าถวายบังคมก่อน เมื่อสตรีเหล่านั้นร้องไห้คร่ำครวญ น้ำตาก็เปื้อนพระพุทธ สรีระ 4. พระพุทธเจ้าทรงทำนิมิต (บอกเป็นนัยให้รู้) หลายครั้งว่า ใครก็ตามเจริญอิทธิบาท ให้ถึงขนาดก็จะสามารถดำรงชีพอยู่ได้ตลอดกัป ( ตลอดอายุขัยของคนในยุคนั้น) พระอานนท์ ไม่ทูลอาราธนาให้ทรงดำรงอยู่ตลอดกัป (อายุขัยของคนในยุคพุทธกาลคือ 100 ปี พระ- พุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 ปี ยังไม่ถึงอายุขัย) 5. แต่เดิมพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้สตรีบวชเป็นภิกษุณี พระอานนท์เป็นผู้ทูลขอ ให้ทรงอนุญาต การกระทำของพระอานนท์ทั้ง 5 กรณีนี้ ที่ประชุมในการทำสังคายนาครั้งที่ 1 มีความเห็นว่าเป็น ทุกกฎ ถ้อยคำตามพระบาลีพระวินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม 3 ข้อ 622 ว่า อินทฺเต อาวุโส อานนฺท ทุกฺกฎํ พระไตรปิฎกภาษาไทยแปลว่า "นี่เป็นอาบัติทุกกฎของท่าน" และโดยทั่ว ๆ ไปเมื่อมีผู้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ก็มักจะพูดกันว่า "ปรับอาบัติทุกกฎแก่พระอานนท์" นั่นคือเข้าใจกันว่า พระเถระที่ทำปฐมสังคายนาปรับอาบัติทุกกฎแก่พระอานนท์ เพราะเหตุที่ พระอานนท์กระทำการทั้ง 5 เรื่องนั้น การปรับอาบัตินั้นจะต้องมีสิกขาบทกำหนดความผิด หรือมีฐานความผิดกำหนดไว้แล้ว สำหรับภิกษุหรือภิกษุณีก็คือสิกขาบทต่าง ๆ อันเป็นพุทธบัญญัติ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การปรับ อาบัติต้องมีพุทธบัญญัติกำหนดไว้ชัดเจนว่า ทำอะไร ทำอย่างไร เป็นอาบัติอย่างไร เรื่องทั้งหมดนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่เพียงประเด็นเดียวเท่านั้นคือ การกล่าวโทษพระอานนท์ทั้ง 5 กระทงนั้น เป็นการปรับอาบัติหรือไม่ จะรู้ว่าเป็นการปรับอาบัติหรือไม่ ก็ต้องดูตรงที่ว่า การกระทำทั้ง 5 กรณีนั้นมี พุทธบัญญัติกำหนดไว้หรือเปล่าว่าเป็นความผิด ถ้ามี ก็ถือว่าเป็นการปรับอาบัติและต้องปรับ ตามที่พุทธบัญญัติไว้นั้น เช่น ภิกษุเสพเมถุนต้องอาบัติปาราชิก ก็ต้องปรับอาบัติปาราชิกจะ ปรับเพียงอาบัติทุกกฎหาได้ไม่ ดังนี้เป็นต้น ปรากฏว่า การกระทำทั้ง 5 กรณีนี้ ไม่มีพุทธบัญญัติกำหนดไว้ว่าเป็นอาบัติ เพราะฉะนั้นวินิจฉัยได้ว่าพระอานนท์ไม่ต้องอาบัติเพราะการกระทำนั้น ๆ ปัญหาต่อไปก็คือ ที่ประชุมสังคายนาครั้งนั้น มีเจตนาที่จะให้เป็นการปรับอาบัติหรือ เปล่า ? ถ้ามีเจตนา การปรับอาบัตินั้นก็ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย เพราะไม่มีใครมีอำนาจที่จะ กำหนดอาบัติเองตามใจชอบหากไม่มีพุทธบัญญัติไว้ แต่ที่สำคัญ ก็คือการทำเช่นนั้นก็เท่ากับ ลบล้างมติของตนเอง ที่บอกว่าจะไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ มีข้อสังเกตว่า ข้อความในตอนนี้มิได้มีถ้อยคำที่ระบุไว้ตรง ๆ ว่าเป็นการปรับอาบัติ และ ไม่มีแม้แต่คำว่า อาบัติ ปรากฏอยู่ด้วยเลยแม้แต่คำเดียว จึงพอจะวินิจฉัยได้ว่าที่ประชุม สังคายนามิได้มีเจตนาจะกำหนดฐานความผิดสำหรับอาบัติทุกกฎขึ้นใหม่นอกเหนือไปจากที่มี พุทธบัญญัติกำหนดไว้แล้วแต่อย่างใด ถ้อยคำที่อาจตีความได้ว่า เป็นเจตนาจะปรับอาบัติก็คือคำว่า ทุกฺกฎํ ในประโยคว่า อินนฺเต อาวุโส อานนฺท (คำว่า ทุกฺกฎํ เป็นชื่อของอาบัติจำพวกหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าเป็นคำกิริยา แปลว่า ทำไม่ดี ก็ได้ ประโยคข้างต้นสามารถแปลได้ว่า "ท่านอานนท์! นี่เป็นสิ่งที่ท่านทำไม่ดี" หรือ"...นี่เป็นการทำไม่ดีของท่าน" ถ้าแปลอย่างนี้ก็มิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการปรับอาบัติเลย อรรถกถาก็เข้าใจอย่างนี้ คัมภีร์ สมันตปาสาทิกา ภาค 3 หน้า 413 อธิบายเรื่องนี้ไว้ ดังต่อไปนี้ "... คำว่า อิทปิ เต อาวุโส อานนฺท ทุกฺกฎํ (ท่านอานนท์ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นทุกกฎของ ท่าน) นี้ อันพระเถระทั้งหลายเพียงแต่จะติว่า "กรรมนี้อันท่านทำไม่ดีแล้ว" จึงได้กล่าว แล้ว หาได้กล่าวโดยหมายถึงอาบัติไม่ เพราะพระเถระเหล่านั้นจะไม่รู้ว่า อะไรเป็น อาบัติ อะไรไม่เป็นอาบัติ นั้นหามิได้” อันที่จริงในคราวสังคายนากันนี้เองก็ได้ประกาศมติอันนี้ไว้แล้วว่า "สงฆ์ไม่บัญญัติ สิกขาบทที่ทรงบัญญัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่เลิกถอนสิกขาบทที่ทรง บัญญัติไว้แล้ว" อนึ่ง แม้คำว่า เทเสหิ ตํ ทุกฺกฎํ (จงแสดงทุกกฎนั้น) อันพระเถระทั้งหลายกล่าวโดย ความมุ่งหมายว่า จงยอมรับสิ่งที่ทำไม่ดีทั้ง 5 เรื่องนั้นอย่างนี้ว่า "ถูกแล้วท่านผู้เจริญข้าพเจ้า ทำไม่ดีจริง" มิใช่จุดหมายจะให้แสดงอาบัติ ..." ศัพท์ ทุกฺกฎํ ซึ่งเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยานั้น อรรถกถาท่านว่า ไม่ใช่ชื่ออาบัติทุกกฎ และเพราะเกรงว่าจะมีผู้เข้าใจไปว่าเป็นการกล่าวถึงอาบัติทุกกฎ ท่านจึงไขความไว้ว่า ทุกฺกฎํ = ตยา ทุฎฺฐฐุ กตํ แปลว่าท่านทำไม่ดี เป็นการยืนยันว่า ทุกฺกฎํ มิได้แปลว่า อาบัติทุกกฎ เหตุผลที่อรรถกถายืนยันว่าไม่ใช่การปรับอาบัติ ก็คือ อาบัติที่มีพุทธบัญญัติไว้แล้วนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พระเถรทั้ง 499 รูปนั้นจะไม่รู้ว่า ทำอะไรและทำอย่างไรจึงจะเป็นอาบัติหรือ ไม่เป็นอาบัติ คืออรรถกถาเชื่อในวุฒิภาวะของท่านเหล่านั้น พูดตามหลักการก็คือ เมื่อท่านเหล่า นั้นเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นอันเชื่อได้ว่าท่านต้องรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร คือต้องรู้ว่า กรณีทั้ง 5 ข้อนั้น พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ว่าเป็นอาบัติทุกกฎ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่สิทธิอำนาจ อะไรของท่านที่จะไปปรับอาบัติ อนึ่ง ต้องไม่ลืมว่าในจำนวนพระเถระ 500 รูปนั้น มีพระอุบาลี รวมอยู่ด้วย พระอุบาลีเป็นผู้ที่เพิ่งจะได้ทำหน้าที่ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับพระวินัยท่ามกลางที่ ประชุม เหตุที่ท่านได้รับอนุมัติให้ทำหน้าที่นั้น ก็เพราะพระพุทธองค์ทรงยกย่องท่านไว้ใน ตำแหน่งพระเถระผู้เป็นเลิศทางพระวินัย กรณีนี้มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏคือ ไม่ปรากฏว่าพระอุบาลีได้ทักท้วงหรือคัดค้านการกล่าว โทษพระอานนท์ ว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยพระวินัย (เช่นการปรับอาบัติทุกกฎจริง ๆ มิใช่ เพียงแต่จะติว่า "กรรมนี้อันท่านทำไม่ดีแล้ว" อย่างที่อรรถกถาอธิบาย) ผู้เชี่ยวชาญขนาดพระ- อุบาลี ก็น่าจะต้องทักท้วงหรือคัดค้านไว้ให้ปรากฏ แต่นี่กลับไม่ปรากฏคำทักท้วงคัดค้านของ ท่านเลย ก็ต้องหมายความว่าผู้เชี่ยวชาญทางพระวินัยท่านเห็นชอบด้วยแล้ว (มติของสงฆ์ใน สังฆกรรมทุกชนิดต้องเป็นมติเอกฉันท์เท่านั้น ไม่ใช่ระบบเสียงข้างมาก) ถ้าจะว่า พระอุบาลีก็ใช่ว่าจะรู้ไปหมดทุกเรื่องเกี่ยวกับพระวินัย ... ก็ต้องแปลว่าที่ พระพุทธเจ้ายกย่องนั้นไม่สมจริง และจำจะต้องแปลต่อไปด้วยว่า พระพุทธเจ้าก็ใช่ว่าจะมี ปัญญาหยั่งรู้ความสามารถของบุคคลไปเสียทุกคน อาจจะทรงยกย่องคนผิดไปบ้างก็ได้ สรุป สุดท้ายว่า ไป ๆ มา ๆ พระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็มิใช่ของจริงแท้ไปทั้งหมด ถ้าใครคิดว่าเป็นการปรับอาบัติ - สุดท้ายก็ต้องคิดอย่างที่ว่ามานี้แหละครับ ดังนั้นที่ อรรถกถาท่านว่าไม่ใช่การปรับอาบัติ ก็นับว่าท่านคิดรอบคอบดีแท้ เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่สืบเนื่องมากจากข้อแรก (ข้อแรกคือ - เป็นไปไม่ได้ที่ท่านเหล่านั้น จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอาบัติหรือไม่เป็นอาบัติ ถ้ากรณีนั้นมีพุทธบัญญัติไว้แล้ว) คือที่ประชุมของ พระเถระเหล่านั้นเพิ่งจะลงมติกันไปหยก ๆ ว่า จะไม่บัญญัติของใหม่และจะไม่ถอนของเก่า ก็ในเมื่อรู้แล้วว่าทั้ง 5 กรณีที่พระอานนท์ทำลงไปนั้น ถ้าจะถือว่าเป็นอาบัติก็ต้องเป็นของใหม่ เพราะพระพุทธองค์มิได้ทรงบัญญัติไว้ ในเมื่อตกลงกันแล้วว่าจะไม่บัญญัติของใหม่ แล้วไฉนจึง จะมาปรับอาบัติที่มิได้มีบัญญัติไว้แต่เดิมเล่า เพิ่งจะลงมติกันไปแหม็บ ๆ ชนิดที่ยังไม่ได้ลุกจากที่นั่งไปไหนเลย ถ้าเป็นการเขียนข้อ มติด้วยปากกาหมึกซึมก็ต้องพูดว่า - น้ำหมึกยังไม่ทันแห้ง - เช่นนี้ คนความจำเสื่อมที่สุดก็ คงไม่ลืม แล้วนี่เป็นถึงพระอรหันต์ผู้มีสติไพบูลย์ ท่านจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ด้วยเหตุผล เช่นนี้พระอรรถกถาจารย์ท่านจึงอธิบายว่า ไม่ใช่การปรับอาบัติ ความจริงพระอรรถกถาจารย์ทท่านอ่านเจตนาของพระอรหันต์ 500 รูปในที่ประชุม- ปฐมสังคายนานั้นออกอย่างแจ่มแจ้งว่า ท่านไม่ได้ปรับอาบัติพระอานนท์ ท่านเพียงแต่ตำหนิ ว่า พระอานนท์บกพร่องในเรื่องนั้น ๆ พระอรรถกถาจารย์ยังอ่านความคิดของคนที่ได้อ่าน พระไตรปิฎกตอนนี้ได้อีกด้วยว่า จะต้องคิดว่าทำไมพระอรหันต์ 500 รูปจึงกระทำการที่สวนกับ มติของตนเอง ท่านจึงเตือนให้คนที่คิดแบบนั้นได้ฉุกคิดว่า พระอรหันตเถระเหล่านั้นเพิ่งเขียน ด้วยมือไปหยก ๆ จะมาลบด้วยเท้าได้อย่างไร ก่อนจะผ่านประเด็นเรื่องปรับอาบัติ มีข้อสังเกตที่ใคร่จะเสนอประกอบการพิจารณา นั่นคือกระบวนการปรับอาบัติหรือการเกิดขึ้นแห่งสิกขาบทต่าง ๆ จะเริ่มต้นที่ 1. มีผู้กระทำการอย่างใดยอย่างหนึ่งขึ้นมา 2. มีผู้ตำหนิติเตียนการกระทำนั้น 3. เสียงตำหนินั้นทราบไปถึงพระพุทธเจ้า 4. รับสั่งซักถามจนได้ความจริง 5. ทรงตำหนิการกระทำนั้น ๆ และทรงอ้างวัตถุประสงค์ในการที่จะทรงห้าม 6. ทรงบัญญัติห้ามมิให้กระทำเช่นนั้นอีกต่อไป ต่อจากนี้ถ้ามีผู้ฝ่าฝืนก็จะตองยกบทบัญญัติที่ทรงห้ามนั้นมาปรับอาบัติเป็นกรณี ๆ ไป จะเห็นได้ว่า การปรับอาบัติของพระอานนท์ 5 ข้อ ดังที่เรียกกันนั้น มีลักษณะไม่ครบถ้วนตาม กระบวนการดังกล่าว คือไม่มีผู้ตำหนิติเตียนการกระทำของพระอานนท์มาก่อนเลย จู่ ๆ ก็มีการ ปรับอาบัติกันทันที เหมือนกับว่าการกระทำนั้น ๆ ของพระอานนท์ได้มีบทบัญญัติวางไว้แล้ว (ความจริงคือยังไม่เคยมี) นอกจากไม่มีผู้ตำหนิ (หรืออาจจะเรียกว่าผู้กล่าวหา) แล้ว ก็ยังไม่มีการซักถามหา ความจริง (ถ้อยคำของพระเถระเหล่านั้นไม่ใช่การซักถามหาความจริง แต่เป็นคำกล่าวหาตรงๆ) แล้วก็ไม่ได้มีการกำหนดเป็นบทบัญญัติห้ามมิให้ทำอีกต่อไปตามลักษณะการบัญญัติสิกขาบทต่าง ๆ สรุปว่าการปรับอาบัติของพระอานนท์คราวนั้นมีกระบวนการเกิดขึ้นเพียงขั้นตอนเดียว คือมีการกระทำของพระอานนท์เกิดขึ้นเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ข้ามไปขั้นยกเอาอาบัติทุกกฎขึ้นมา ปรับโดยที่ไม่มีสิกขาบทใด ๆ รองรับอยู่เลย เชิงอรรถ - คัดลอกและตัดแต่งจากหนังสือ เหตุเกิดเมื่อพ.ศ.๒๕๔๕ (นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย) เล่ม๒ หน้า ๑๘ - ๒๙ โดยตัดความบางตอนที่เกี่ยวกับตัวบุคคลไป - พระไตรปิฎก (ฉบับแปลไทย) หมายเหตุ - บทความนี้ ผมไม่ได้พิมพ์เอง แต่อาศัยไฟล์word ที่คนอื่นซึ่งมีอุตสาหะพิมพ์ทั้งเล่ม ส่งมาให้อ่าน (แต่ที่ได้อ่านจนจบจริงๆ ก็เพราะไปซื้อของจริงมาจากงานหนังสือแห่งชาติ เพราะถนัดกว่า) ก็อาศัยที่งานที่เขาทำไว้แล้ว มาปรับแต่งย่อหน้าบรรทัดนิดหน่อย - หนังสือเล่มนี้ ท่านผู้เขียนตั้งใจเขียนมาแก้งานเขียนของพระมโน บทความในบล็อกนี้ตัดเนื้อหาที่กล่าวถึงพระมโนออกทั้งหมด |
Group Blog All Blog
|
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |