|
ศรีลังกา (7) : สีคิริยา เมืองปราการลอยฟ้า
(อ่านเที่ยวศรีลังกาตอนอื่น ๆ) (ตอนที่แล้ว) | (ตอนต่อไป)
วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 ตอนเช้าเราไปขึ้นเขา Pink Quartz Mountain มาแล้ว ตอนบ่ายก็ไปขึ้นเขาที่ ดัมบุลลา
แน่นอน เย็นวันนี้เราจะขึ้นเขากันต่อที่สีคิริยา (Sigiriya)
เดิมที่เราวางแผนกันว่า เช้าจะไปนมัสการหลวงพ่อ Wanawasi Rahula Thero กันไม่นาน แล้วจะไปดัมบุลลาต่อ ก็น่าจะไปสีคิริยากันได้ตอนช่วงเที่ยง ๆ บ่าย ๆ
แต่ว่า พวกเราวันนั้นทำเวลากันได้ไม่ค่อยดี เราออกจากดัมบุลลากันบ่ายสี่เศษแล้ว ตอนนั้นก็เลยมีการ vote กันว่า จะไปสีคิริยากันดีไหม หรือจะเข้าที่พักกันเลย
เพราะจะได้ไม่ดึกมากอย่างวันก่อนอีก
แต่ว่า สาเหตุหนึ่งที่คุณแม่ชวนผมมาศรีลังกานี้ก็เพราะว่า สีคิริยา นี่แหละครับ คุณแม่ว่าเคยอ่านนิยายที่เอาสีคิริยาเป็นฉาก อ่านแล้วก็อยากมาเห็นของจริง คุณน้าอีกคนก็ว่า สีคิริยานี่แหละ Highlight ของที่ศรีลังกา ถ้าไม่ไปเยือน ก็เหมือนมาไม่ถึงประเทศศรีลังกา
ดังนั้นอย่างน้อยเราก็ได้สามเสียงแล้ว (รวมผมด้วย เพราะผมอยากถ่ายรูปอยู่แล้ว) จากทั้งหมด 5 เสียง (ไม่รวมคนขับรถ กับ คุณ guide) พวกเราก็เลยรีบไปสีคิริยากัน แต่ทว่าเราก็ไปถึงกันเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว
นอกจากนี้แบตกล้องถ่ายรูปผมก็ใกล้หมดแล้วด้วย (ไปถ่ายที่ดัมบุลลาเยอะไปหน่อย)
ประวัติของสีคิริยามีดังนี้ครับ
ว่าด้วยเรื่องของชื่อ ชื่อสิคิริยานี้ได้มาจาก พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ โดยพระราชทานนามว่า สีหคิรี ซึ่งแปลว่า เขาสิงห์ ในสมัยนั้นยังไม่มีป้อมปราการ และยังเป็นป่ารกทึบ
ประมาณปี พ.ศ. 1020 เจ้าชายกัสสะปะ (แห่งศรีลังกานะครับ) ได้ทรงทำอันตริยกรรม โดยปิตุฆาตุ ปลงพระชนม์พระเจ้าธาตุเสนพระราชบิดา เพื่อแย่งราชสมบัติ แล้วปราบดาภิเษกพระองค์เป็นกษัตริย์ พระเจ้ากัสสะปะ
ทั้งนี้ เนื่องจาก พระองค์ไม่พอพระราชหฤทัยที่พระราชบิดาทรงโปรดปรานเจ้าชายโมคคัลลานะ (ไม่ใช่พระโมคคัลลานะในสมัยพุทธกาลนะครับ แบบว่าชื่อซ้ำกัน) พระอนุชาต่างมารดา หากปล่อยทิ้งไว้ พระองค์อาจเสียราชสมบัติให้เจ้าชายโมคคัลลานะได้ เพราะทรงมีพระราชมารดาเป็นสามัญชน ในขณะที่พระอนุชามีพระราชมารดาซึ่งอยู่ในตำแหน่งราชินี
เจ้าชายโมคคัลลานะได้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่ประเทศอินเดีย
หลังจากได้ทรงทำปิตุฆาตแล้ว พระเจ้ากัสสะปะไม่ทรงโปรดที่จะครองราชสมบัติอยู่ ณ กรุงอนุราชปุระ แต่กลับไปสร้างเมืองใหม่อยู่บนยอดเขาสีคิริยาแทน
อืม คุณแม่ผมบอกว่า เขาเอาเรื่องตรงนี้แหละครับไปแต่งนิยาย ฝ่ายนางเอกอยู่กับฝ่ายเจ้าชายโมคคัลลานะ ฝ่ายพระเอกอยู่กับเจ้าชายกัสสะป่ะ
ค่าบัตรผ่านประตูนี่ 20 US Dollar นะครับ บริเวณด้านล่างก่อนจะถึงตัวภูเขานี้ ได้มีการขุดคูเมืองล้อมรอบ ดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ ปราสาทนครวัดที่กัมพูชาเหมือนกันนะครับ
โอ เดินไกลอีกแล้ว ขาลากอีกแล้ว ไม่เป็นไร สู้ๆ ๆ ๆ เห็นลิบ ๆ นั่นล่ะครับ ยอดเขาสีคิริยา
เดินมาต่ออีกเล็กน้อยก็จะพบกับสระน้ำ คุณ Guide อธิบายว่า ในอดีตก็จะมีสาว ๆ เล่นน้ำกันในบริเวณนี้ แล้วก็จะมีคนส่องดูจากระยะไกล (อืม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าส่องจากตรงไหน เข้าใจว่าเป็นเจ้าชายกัสสะป่ะเองนั้น่แหละ) ถ้าถูกใจนางไหน ก็จะเรียกเข้าไปพบ (จะพบที่ไหนไม่ทราบเหมือนกันนะครับ)
นั่นเงาผมเองครับ ส่วนทางขวาของภาพ จะเห็นอะไรบางอย่างที่เป็นลักษณะวงกลม ถ้าสังเกตุดี ๆ จะเห็นว่ามีรูเล็กอยู่ด้วย
นั่นคือ "น้ำพุ" สมัยโบราณครับ !! โอ้ เป็นภูมิปัญญาทางฟิสิกส์กลศาสตร์ของชาวศรีลังกาเมื่อ 1,500 ปีก่อน
คุณ Guide ยืนยันว่า ระบบน้ำพุนี้ยังใช้ได้อยู่ครับ !!! โดยถ้ามีน้ำเต็มในบ่อน้ำที่บริเวณด้านบนของภาพ ก็จะเกิดแรงดันขึ้น ดันน้ำให้พุ่งขึ้นจากรูนั้น พอดีวันนี้ฝนไม่ตก เลยไม่เห็นน้ำพุ (ไม่ตกหลายวันแล้วครับ คุณ guide บอกว่า ที่ศรีลังกาฝนตกไม่บ่อย)
โอย กว้างใหญ่จริง ๆ เข้ามาระยะนี้ พอจะเห็นชัดขึ้นหน่อยแล้วนะครับ ที่เห็นลิบ ๆ ตรงนั้น ลักษณะเป็นแถบสีเหลืองพาดในแนวขวางอยู่เรียกว่า "กำแพงกระจก" ครับ เดี๋ยวเราจะขึ้นไปถึงตรงนั้นด้วยครับ
เราเดินมาถึงตรงบริเวณฐานของก้อนหินแล้วครับ ตรงนี้คุณ guide ว่า มีการสกัดหินเป็นลักษณะที่เห็นครับ (อืม.. บางจุดก็เป็นธรรมชาติครับ) เพื่อที่จะให้พระภิกษุได้มานั่งกรรมฐานได้ครับ (หรือจะประดิษฐานพระพุทธรูปก็ได้) ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าสร้างก่อนสมัยพระเจ้ากัสสะป่ะหรือไม่ (ผมคิดสงสัยเอาเองนะครับ)
จากจุดนี้ไปก็จะเป็นบันไดครับ ทำจากหิน พวกเราค่อย ๆ ไต่กันขึ้นไปครับ เนื่องจากแบตใกล้หมด และ คนเยอะมาก หาจังหวะถ่ายรูปไม่ค่อยได้เลยครับ เห็นทีมาครั้งหน้าต้องเอากล้อง DV มาอีกตัวน่าจะดีกว่าครับ
เพราะผมถ่าย VDO Clip ด้วยกล้องดิจิตอล ที่ดัมบุลลาเยอะไปหน่อย เปลืองแบตมากเลย
โอ ตอนนี้ก็เย็นแล้ว ต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อยล่ะครับ
ลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง หลังจากจ่ายเงินค่าเข้า 20 US Dollar แล้ว ต้องเก็บบัตรผ่านทางไว้ให้ดีนะครับ เพราะจะมีจุด check point เป็นระยะ ๆ ครับ แล้วเราก็กำลังจะไปที่จุดนึงซึ่ง เป็นจุดที่ถือเป็น highlight ของที่สีคิริยาจุดหนึ่งเลยทีเดียว ก็คือภาพวาดฝาผนังแบบ Fresco ครับ
Fresco ก็คือ ภาพเขียนบนกำแพงหรือฝาผนังที่เขียนโดย 'การลงสี' ขณะที่พื้นปูนยังไม่แห้งครับ
ภาพ Fresco เหล่านี้วาดขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้ากัสสะปะเลยนะครับ (ครองราชย์ พ.ศ. 1020 - 1038) ความน่าทึ่งของมันก็คือ ภาพอยู่คงทนมาก สีแทบไม่ตกเลยถึง 1,500 ปีมาแล้ว
บริเวณนี้ห้ามใช้ Flash เวลาถ่ายรูปนะครับ
โอ...ขอสวมวิญญาณ นิวัติ กองเพียร ทำหน้าที่เป็น เกจินู๊ด สักหน่อยเถอะครับ
โอ...ปทุมถัน แลทรวดทรงองค์เอว ของพวกเธอ ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ (แหะ แหะ พอดีสงสัยอาจต้องอัญเชิญเกจินู๊ดตัวจริงมาเองจะดีกว่า พอดีผมไม่ค่อยถนัดวิจารณ์ภาพ)
อย่างไรก็ตาม เวลามองภาพพวกนี้แล้ว ก็คิดได้ว่า สาว ๆ ศรีลังกาเมื่อ 1,500 ปีที่แล้วนั้น มีค่านิยมในเรื่องความงามที่ต่างจากสาว ๆ ศรีลังกาในสมัยนี้มากเลยครับ
ดูสิครับ เอวสิครับ คอดกิ่วมากเลย (ส่วนเรื่องขนาดของหน้าอกเราวิจารณ์ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นที่ความนิยมของเธอผู้นั้น แต่เป็นความนิยมของชายผู้มองมากกว่า)
ก็...ถ้าใครเคยขึ้น Sri Lanka Airline ก็จะรู้ว่า Air Hostess ชาวศรีลังกานั้น เอวปลิ้นออกมานอกชุดส่าหรีสีเขียวที่เธอใส่เลยทีเดียว (ถ้าเขียนตรงนี้แล้วกระทบจิตใจผู้อ่านบางคนบ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยครับ)
ภาพเขียนนี้อยู่สูงขนาดไหนเหรอครับ โอ้ นี่เลยครับสูงมากกก ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมาวาดรูปผู้หญิงเปลือยอกไว้บนที่สูงขนาดนี้ด้วย
ที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ตรงพื้นนั้น ตรงที่เป็นแสงสะท้อน ก็คือสระน้ำที่ สาว ๆ เล่นน้ำกันครับ (เราผ่านมาแล้วนะครับ)
คุณ Guide บอกว่า ที่พระเจ้ากัสสะปะโปรดให้วาดรูป Fresco รูปผู้หญิงเหล่านี้ก็เพราะว่า ... (นี่คำพูด Guide ชาวสิงหลของเรานะครับ) ... "พอเขาฆ่าพ่อเขา เขาก็เกิดความเครียดครับ เวลาเขามองดูรูปผู้หญิงโป๊ เขาก็จะมีความสุขครับ"
เวลาขึ้นไปดูภาพ Fresco นี้ จะมีบันไดวนขึ้นไป แล้วก็ลงมาทางบันไดวนอีกทีครับ พอลงจากบันไดวนมา ก็จะถึงบริเวณที่เรียกว่า กำแพงกระจก ครับ (ที่เรามองจากด้านล่างเห็นเป็นสีเหลือง ๆ น่ะครับ)
ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเรียกกำแพงกระจก บางคนก็ว่าเพราะสมัยก่อนมีการขัดจนเป็นเงา ก็เลยสะท้อนได้แบบกระจก บริเวณนี้ต้องเดินระวังหน่อยครับ เพราะว่าพื้นถูกขัดจนลื่นมากเลยครับ
หลังจากเราเดินลัดเลาะไปตามกำแพงกระจก ปีนบันไดขึ้นไปอีกสักหน่อย ก็จะเป็นลานครับ แล้วอันที่จริง บริเวณที่ว่าคล้ายกับเป็นสิงโตของสีคิริยา หรือ สีหคิรีนั้น เริ่มจากตรงนี้ล่ะครับ
ว่ากันว่าในสมัยก่อนมีการสกัดหินจนเป็นรูปสิงโตตัวใหญ่นอนหมอบอยู่ครับ
นี่ไงครับ ขาซ้ายหน้าของตัวสิงห์ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนใบหน้านั้น ก็ผุกร่อนไปตามเวลา เหลืกก็แต่เพียงเอกสารเก่า ๆ เท่านั้น ที่บันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานว่า แต่ก่อนนี้สีคิริยามีใบหน้าของสิงโตขนาดใหญ่อยู่ด้วย
นี่ยังไม่สุดนะครับ ยังต้องขึ้นไปต่อ ที่เราขึ้นมานี่เพิ่งครึ่งทางนะครับ เดี๋ยวก็จะมีบันไดขึ้นต่อไปชมสวนดอกไม้ (ที่ไม่มีดอกไม้เหลือแล้ว) และสระน้ำ กับ"ซาก"พระราชวังที่อยู่บนยอดเขา (ที่เป็นลำตัวสิงโต) นั้น
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว คุณ Guide ถามเพื่อความแน่ใจอีกทีว่า เราจะขึ้นกันต่อไหม เพราะกลัวว่าถ้าใช้เวลามากเกินไป กว่าจะค่อย ๆ ไต่ลงมานั้น (ผมเป็นโรคกลัวความสูงด้วย) อาจจะเย็น และมืดเกินกว่าที่จะลงมาได้ครับ
ที่สำคัญตอนนี้ลมแรงมาก พัดเอาผม (ที่ตัวก็ไม่ได้เบามากนัก) ปลิวไปเหมือนกัน เกิดอ่อนล้ามาก ยึดเกาะไม่อยู่ จะถูกลมพัดปลิวตกเขาไป
(อ่านใจดูแล้ว ท่าทางคุณ Guide ไม่ค่อยอยากให้เราไปต่อแล้ว ก็เลยกลับกันก็ได้ )
ดังนั้น ตอนนี้เราจินตนาการไปตาม VDO นี้ละกันนะครับ จาก VDO จะเห็นว่า บริเวณที่เรายืนอยู่นั้นเป็นเพียงบริเวณขาของสิงโตเท่านั้น ตรงกลางก็จะมีบันได แล้วเราก็ยังจะต้องไต่ขึ้นไปอีก ขึ้นไป ขึ้นไป จนถึงยอด
ผมมีภาพถ่ายทางอากาศของสีคิริยาให้ดูนะครับ ให้เห็นถึงซากพระราชวังเก่า
บริเวณทางขวามือของท่านก็คือ บริเวณลานที่พวกเราพักเหนื่อยแล้วคุยกันว่าจะขึ้นไปต่อดีหรือไม่ ซึ่งถ้าขึ้นไปต่อ ก็จะเห็นดังภาพนั่นล่ะครับ
ในที่สุดเราก็ตัดสินใจกลับกัน
โอ สูงจัง เดี๋ยวเราต้องลงไปถึงตรงนั้นล่ะครับ ระหว่างเดินกลับนั้น Guide ขอเล่าตำนานต่อนะครับ
การที่พระเจ้ากัสสะปะย้ายพระราชฐานขึ้นไปประทับอยู่บนยอดสีคิริยานี้ เพราะเชื่อว่า น่าจะปลอดภัยจากเจ้าชายโมคคัลลานะ พระอนุชา นอกจากนี้ การที่ได้ขึ้นมาอยู่สุงขนาดนี้ ก็ยังคิดไปว่า นี่คือการขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว
หลังจากทรงครองราชย์อยู่ได้ไม่นาน เพียงสิบกว่าปี เจ้าชายโมคคัลลานะก็ยกกองทัพจากอินเดีย เข้าปิดล้อมป้อมปราการทุกแห่งรอบสีคิริยา
พระเจ้ากัสสะปะลอบเสด็จลงมาแล้วประทับช้างพระที่นั่งเพื่อหลบหนี แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อหมดหนทางสู้ พระเจ้ากัสสะปะก็ทรงใช้พระขรรค์ปลงพระชนม์เอง
คุณแม่ผมบอกว่า ในเรื่องที่คุณแม่อ่านนั้น ตัวเอกของเรื่องทั้งสองก็เสียชีวิตกันทั้งคู่ครับ
ก่อนกลับผมแหงนมองดู กำแพงกระจก อีกครั้ง ส่วนในใจนั้น ประหวัดไปคิดถึงแต่ภาพ Fresco
วันนี้เราเข้าที่พักกันที่ Mahaweli Reach Hotel ที่เมือง แคนดี้ กันก็ประมาณสองทุ่มกว่า ๆ เกือบจะสามทุ่มแล้วครับ (ถ้าเราขึ้นไปบนยอดสีคิริยา คงมาถึงเกือบเที่ยงคืน)
วันรุ่งขึ้นเราจะไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วกันครับ
(ตอนที่แล้ว) | (ตอนต่อไป) (อ่านเที่ยวศรีลังกาตอนอื่น ๆ)
Create Date : 20 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 16 กันยายน 2549 22:55:09 น. |
|
26 comments
|
Counter : 5170 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Malee30 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:17:13:00 น. |
|
|
|
โดย: SevenDaffodils IP: 65.203.0.242 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:16:33 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p ตัวจริง ไม่ได้ login IP: 58.8.91.163 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:31:51 น. |
|
|
|
โดย: น้าออ IP: 124.120.116.146 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:23:45:03 น. |
|
|
|
โดย: Picike วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:3:33:36 น. |
|
|
|
โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 23 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:45:46 น. |
|
|
|
โดย: largeface วันที่: 27 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:15:18 น. |
|
|
|
โดย: ผักกาด IP: 203.148.253.18 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:11:48:02 น. |
|
|
|
โดย: มะยม IP: 222.123.162.51 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:20:54:33 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:08:47 น. |
|
|
|
โดย: มะยม IP: 222.123.162.51 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:30:24 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:40:09 น. |
|
|
|
โดย: มาโยม...ค่า..zz..z..z IP: 222.123.162.51 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:46:58 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:52:15 น. |
|
|
|
โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:21:54:38 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:22:04:29 น. |
|
|
|
โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:23:12:22 น. |
|
|
|
โดย: มะยม IP: 222.123.164.33 วันที่: 6 เมษายน 2551 เวลา:21:44:49 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p วันที่: 6 เมษายน 2551 เวลา:22:54:37 น. |
|
|
|
โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:0:10:44 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:4:33:42 น. |
|
|
|
โดย: แม่แตง IP: 195.93.21.72 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:5:45:45 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 58.8.220.44 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:7:42:11 น. |
|
|
|
โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:11:25:28 น. |
|
|
|
โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 202.28.62.245 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:15:21:33 น. |
|
|
|
โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:21:27:37 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เราหอบ ชา มาไว้ดื่มหลายกล่องเลยล่ะ