Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
20 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
ศรีลังกา (7) : สีคิริยา เมืองปราการลอยฟ้า

(อ่านเที่ยวศรีลังกาตอนอื่น ๆ)

(ตอนที่แล้ว) | (ตอนต่อไป)


วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 2006 ตอนเช้าเราไปขึ้นเขา Pink Quartz Mountain มาแล้ว ตอนบ่ายก็ไปขึ้นเขาที่ ดัมบุลลา

แน่นอน เย็นวันนี้เราจะขึ้นเขากันต่อที่สีคิริยา (Sigiriya)

เดิมที่เราวางแผนกันว่า เช้าจะไปนมัสการหลวงพ่อ Wanawasi Rahula Thero กันไม่นาน แล้วจะไปดัมบุลลาต่อ ก็น่าจะไปสีคิริยากันได้ตอนช่วงเที่ยง ๆ บ่าย ๆ

แต่ว่า พวกเราวันนั้นทำเวลากันได้ไม่ค่อยดี เราออกจากดัมบุลลากันบ่ายสี่เศษแล้ว ตอนนั้นก็เลยมีการ vote กันว่า จะไปสีคิริยากันดีไหม หรือจะเข้าที่พักกันเลย

เพราะจะได้ไม่ดึกมากอย่างวันก่อนอีก

แต่ว่า สาเหตุหนึ่งที่คุณแม่ชวนผมมาศรีลังกานี้ก็เพราะว่า สีคิริยา นี่แหละครับ คุณแม่ว่าเคยอ่านนิยายที่เอาสีคิริยาเป็นฉาก อ่านแล้วก็อยากมาเห็นของจริง คุณน้าอีกคนก็ว่า สีคิริยานี่แหละ Highlight ของที่ศรีลังกา ถ้าไม่ไปเยือน ก็เหมือนมาไม่ถึงประเทศศรีลังกา

ดังนั้นอย่างน้อยเราก็ได้สามเสียงแล้ว (รวมผมด้วย เพราะผมอยากถ่ายรูปอยู่แล้ว) จากทั้งหมด 5 เสียง (ไม่รวมคนขับรถ กับ คุณ guide) พวกเราก็เลยรีบไปสีคิริยากัน แต่ทว่าเราก็ไปถึงกันเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว



นอกจากนี้แบตกล้องถ่ายรูปผมก็ใกล้หมดแล้วด้วย (ไปถ่ายที่ดัมบุลลาเยอะไปหน่อย)

ประวัติของสีคิริยามีดังนี้ครับ

ว่าด้วยเรื่องของชื่อ ชื่อสิคิริยานี้ได้มาจาก พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ โดยพระราชทานนามว่า สีหคิรี ซึ่งแปลว่า เขาสิงห์ ในสมัยนั้นยังไม่มีป้อมปราการ และยังเป็นป่ารกทึบ

ประมาณปี พ.ศ. 1020 เจ้าชายกัสสะปะ (แห่งศรีลังกานะครับ) ได้ทรงทำอันตริยกรรม โดยปิตุฆาตุ ปลงพระชนม์พระเจ้าธาตุเสนพระราชบิดา เพื่อแย่งราชสมบัติ แล้วปราบดาภิเษกพระองค์เป็นกษัตริย์ พระเจ้ากัสสะปะ

ทั้งนี้ เนื่องจาก พระองค์ไม่พอพระราชหฤทัยที่พระราชบิดาทรงโปรดปรานเจ้าชายโมคคัลลานะ (ไม่ใช่พระโมคคัลลานะในสมัยพุทธกาลนะครับ แบบว่าชื่อซ้ำกัน) พระอนุชาต่างมารดา หากปล่อยทิ้งไว้ พระองค์อาจเสียราชสมบัติให้เจ้าชายโมคคัลลานะได้ เพราะทรงมีพระราชมารดาเป็นสามัญชน ในขณะที่พระอนุชามีพระราชมารดาซึ่งอยู่ในตำแหน่งราชินี

เจ้าชายโมคคัลลานะได้ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่ประเทศอินเดีย

หลังจากได้ทรงทำปิตุฆาตแล้ว พระเจ้ากัสสะปะไม่ทรงโปรดที่จะครองราชสมบัติอยู่ ณ กรุงอนุราชปุระ แต่กลับไปสร้างเมืองใหม่อยู่บนยอดเขาสีคิริยาแทน

อืม คุณแม่ผมบอกว่า เขาเอาเรื่องตรงนี้แหละครับไปแต่งนิยาย ฝ่ายนางเอกอยู่กับฝ่ายเจ้าชายโมคคัลลานะ ฝ่ายพระเอกอยู่กับเจ้าชายกัสสะป่ะ



ค่าบัตรผ่านประตูนี่ 20 US Dollar นะครับ บริเวณด้านล่างก่อนจะถึงตัวภูเขานี้ ได้มีการขุดคูเมืองล้อมรอบ ดู ๆ ไปก็คล้าย ๆ ปราสาทนครวัดที่กัมพูชาเหมือนกันนะครับ

โอ เดินไกลอีกแล้ว ขาลากอีกแล้ว ไม่เป็นไร สู้ๆ ๆ ๆ เห็นลิบ ๆ นั่นล่ะครับ ยอดเขาสีคิริยา



เดินมาต่ออีกเล็กน้อยก็จะพบกับสระน้ำ คุณ Guide อธิบายว่า ในอดีตก็จะมีสาว ๆ เล่นน้ำกันในบริเวณนี้ แล้วก็จะมีคนส่องดูจากระยะไกล (อืม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าส่องจากตรงไหน เข้าใจว่าเป็นเจ้าชายกัสสะป่ะเองนั้น่แหละ) ถ้าถูกใจนางไหน ก็จะเรียกเข้าไปพบ (จะพบที่ไหนไม่ทราบเหมือนกันนะครับ)



นั่นเงาผมเองครับ ส่วนทางขวาของภาพ จะเห็นอะไรบางอย่างที่เป็นลักษณะวงกลม ถ้าสังเกตุดี ๆ จะเห็นว่ามีรูเล็กอยู่ด้วย

นั่นคือ "น้ำพุ" สมัยโบราณครับ !! โอ้ เป็นภูมิปัญญาทางฟิสิกส์กลศาสตร์ของชาวศรีลังกาเมื่อ 1,500 ปีก่อน

คุณ Guide ยืนยันว่า ระบบน้ำพุนี้ยังใช้ได้อยู่ครับ !!! โดยถ้ามีน้ำเต็มในบ่อน้ำที่บริเวณด้านบนของภาพ ก็จะเกิดแรงดันขึ้น ดันน้ำให้พุ่งขึ้นจากรูนั้น พอดีวันนี้ฝนไม่ตก เลยไม่เห็นน้ำพุ (ไม่ตกหลายวันแล้วครับ คุณ guide บอกว่า ที่ศรีลังกาฝนตกไม่บ่อย)



โอย กว้างใหญ่จริง ๆ เข้ามาระยะนี้ พอจะเห็นชัดขึ้นหน่อยแล้วนะครับ ที่เห็นลิบ ๆ ตรงนั้น ลักษณะเป็นแถบสีเหลืองพาดในแนวขวางอยู่เรียกว่า "กำแพงกระจก" ครับ เดี๋ยวเราจะขึ้นไปถึงตรงนั้นด้วยครับ



เราเดินมาถึงตรงบริเวณฐานของก้อนหินแล้วครับ ตรงนี้คุณ guide ว่า มีการสกัดหินเป็นลักษณะที่เห็นครับ (อืม.. บางจุดก็เป็นธรรมชาติครับ) เพื่อที่จะให้พระภิกษุได้มานั่งกรรมฐานได้ครับ (หรือจะประดิษฐานพระพุทธรูปก็ได้) ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าสร้างก่อนสมัยพระเจ้ากัสสะป่ะหรือไม่ (ผมคิดสงสัยเอาเองนะครับ)

จากจุดนี้ไปก็จะเป็นบันไดครับ ทำจากหิน พวกเราค่อย ๆ ไต่กันขึ้นไปครับ เนื่องจากแบตใกล้หมด และ คนเยอะมาก หาจังหวะถ่ายรูปไม่ค่อยได้เลยครับ เห็นทีมาครั้งหน้าต้องเอากล้อง DV มาอีกตัวน่าจะดีกว่าครับ



เพราะผมถ่าย VDO Clip ด้วยกล้องดิจิตอล ที่ดัมบุลลาเยอะไปหน่อย เปลืองแบตมากเลย



โอ ตอนนี้ก็เย็นแล้ว ต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อยล่ะครับ

ลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง หลังจากจ่ายเงินค่าเข้า 20 US Dollar แล้ว ต้องเก็บบัตรผ่านทางไว้ให้ดีนะครับ เพราะจะมีจุด check point เป็นระยะ ๆ ครับ แล้วเราก็กำลังจะไปที่จุดนึงซึ่ง เป็นจุดที่ถือเป็น highlight ของที่สีคิริยาจุดหนึ่งเลยทีเดียว ก็คือภาพวาดฝาผนังแบบ Fresco ครับ



Fresco ก็คือ ภาพเขียนบนกำแพงหรือฝาผนังที่เขียนโดย 'การลงสี' ขณะที่พื้นปูนยังไม่แห้งครับ



ภาพ Fresco เหล่านี้วาดขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้ากัสสะปะเลยนะครับ (ครองราชย์ พ.ศ. 1020 - 1038) ความน่าทึ่งของมันก็คือ ภาพอยู่คงทนมาก สีแทบไม่ตกเลยถึง 1,500 ปีมาแล้ว

บริเวณนี้ห้ามใช้ Flash เวลาถ่ายรูปนะครับ

โอ...ขอสวมวิญญาณ นิวัติ กองเพียร ทำหน้าที่เป็น เกจินู๊ด สักหน่อยเถอะครับ

โอ...ปทุมถัน แลทรวดทรงองค์เอว ของพวกเธอ ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ (แหะ แหะ พอดีสงสัยอาจต้องอัญเชิญเกจินู๊ดตัวจริงมาเองจะดีกว่า พอดีผมไม่ค่อยถนัดวิจารณ์ภาพ)

อย่างไรก็ตาม เวลามองภาพพวกนี้แล้ว ก็คิดได้ว่า สาว ๆ ศรีลังกาเมื่อ 1,500 ปีที่แล้วนั้น มีค่านิยมในเรื่องความงามที่ต่างจากสาว ๆ ศรีลังกาในสมัยนี้มากเลยครับ



ดูสิครับ เอวสิครับ คอดกิ่วมากเลย (ส่วนเรื่องขนาดของหน้าอกเราวิจารณ์ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นที่ความนิยมของเธอผู้นั้น แต่เป็นความนิยมของชายผู้มองมากกว่า)

ก็...ถ้าใครเคยขึ้น Sri Lanka Airline ก็จะรู้ว่า Air Hostess ชาวศรีลังกานั้น เอวปลิ้นออกมานอกชุดส่าหรีสีเขียวที่เธอใส่เลยทีเดียว (ถ้าเขียนตรงนี้แล้วกระทบจิตใจผู้อ่านบางคนบ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยครับ)

ภาพเขียนนี้อยู่สูงขนาดไหนเหรอครับ โอ้ นี่เลยครับสูงมากกก ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมาวาดรูปผู้หญิงเปลือยอกไว้บนที่สูงขนาดนี้ด้วย



ที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ตรงพื้นนั้น ตรงที่เป็นแสงสะท้อน ก็คือสระน้ำที่ สาว ๆ เล่นน้ำกันครับ (เราผ่านมาแล้วนะครับ)

คุณ Guide บอกว่า ที่พระเจ้ากัสสะปะโปรดให้วาดรูป Fresco รูปผู้หญิงเหล่านี้ก็เพราะว่า ... (นี่คำพูด Guide ชาวสิงหลของเรานะครับ) ... "พอเขาฆ่าพ่อเขา เขาก็เกิดความเครียดครับ เวลาเขามองดูรูปผู้หญิงโป๊ เขาก็จะมีความสุขครับ"



เวลาขึ้นไปดูภาพ Fresco นี้ จะมีบันไดวนขึ้นไป แล้วก็ลงมาทางบันไดวนอีกทีครับ พอลงจากบันไดวนมา ก็จะถึงบริเวณที่เรียกว่า กำแพงกระจก ครับ (ที่เรามองจากด้านล่างเห็นเป็นสีเหลือง ๆ น่ะครับ)

ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเรียกกำแพงกระจก บางคนก็ว่าเพราะสมัยก่อนมีการขัดจนเป็นเงา ก็เลยสะท้อนได้แบบกระจก บริเวณนี้ต้องเดินระวังหน่อยครับ เพราะว่าพื้นถูกขัดจนลื่นมากเลยครับ

หลังจากเราเดินลัดเลาะไปตามกำแพงกระจก ปีนบันไดขึ้นไปอีกสักหน่อย ก็จะเป็นลานครับ แล้วอันที่จริง บริเวณที่ว่าคล้ายกับเป็นสิงโตของสีคิริยา หรือ สีหคิรีนั้น เริ่มจากตรงนี้ล่ะครับ

ว่ากันว่าในสมัยก่อนมีการสกัดหินจนเป็นรูปสิงโตตัวใหญ่นอนหมอบอยู่ครับ



นี่ไงครับ ขาซ้ายหน้าของตัวสิงห์ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนใบหน้านั้น ก็ผุกร่อนไปตามเวลา เหลืกก็แต่เพียงเอกสารเก่า ๆ เท่านั้น ที่บันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานว่า แต่ก่อนนี้สีคิริยามีใบหน้าของสิงโตขนาดใหญ่อยู่ด้วย

นี่ยังไม่สุดนะครับ ยังต้องขึ้นไปต่อ ที่เราขึ้นมานี่เพิ่งครึ่งทางนะครับ เดี๋ยวก็จะมีบันไดขึ้นต่อไปชมสวนดอกไม้ (ที่ไม่มีดอกไม้เหลือแล้ว) และสระน้ำ กับ"ซาก"พระราชวังที่อยู่บนยอดเขา (ที่เป็นลำตัวสิงโต) นั้น

เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว คุณ Guide ถามเพื่อความแน่ใจอีกทีว่า เราจะขึ้นกันต่อไหม เพราะกลัวว่าถ้าใช้เวลามากเกินไป กว่าจะค่อย ๆ ไต่ลงมานั้น (ผมเป็นโรคกลัวความสูงด้วย) อาจจะเย็น และมืดเกินกว่าที่จะลงมาได้ครับ

ที่สำคัญตอนนี้ลมแรงมาก พัดเอาผม (ที่ตัวก็ไม่ได้เบามากนัก) ปลิวไปเหมือนกัน เกิดอ่อนล้ามาก ยึดเกาะไม่อยู่ จะถูกลมพัดปลิวตกเขาไป

(อ่านใจดูแล้ว ท่าทางคุณ Guide ไม่ค่อยอยากให้เราไปต่อแล้ว ก็เลยกลับกันก็ได้ )



ดังนั้น ตอนนี้เราจินตนาการไปตาม VDO นี้ละกันนะครับ จาก VDO จะเห็นว่า บริเวณที่เรายืนอยู่นั้นเป็นเพียงบริเวณขาของสิงโตเท่านั้น ตรงกลางก็จะมีบันได แล้วเราก็ยังจะต้องไต่ขึ้นไปอีก ขึ้นไป ขึ้นไป จนถึงยอด

ผมมีภาพถ่ายทางอากาศของสีคิริยาให้ดูนะครับ ให้เห็นถึงซากพระราชวังเก่า



บริเวณทางขวามือของท่านก็คือ บริเวณลานที่พวกเราพักเหนื่อยแล้วคุยกันว่าจะขึ้นไปต่อดีหรือไม่ ซึ่งถ้าขึ้นไปต่อ ก็จะเห็นดังภาพนั่นล่ะครับ

ในที่สุดเราก็ตัดสินใจกลับกัน



โอ สูงจัง เดี๋ยวเราต้องลงไปถึงตรงนั้นล่ะครับ ระหว่างเดินกลับนั้น Guide ขอเล่าตำนานต่อนะครับ



การที่พระเจ้ากัสสะปะย้ายพระราชฐานขึ้นไปประทับอยู่บนยอดสีคิริยานี้ เพราะเชื่อว่า น่าจะปลอดภัยจากเจ้าชายโมคคัลลานะ พระอนุชา นอกจากนี้ การที่ได้ขึ้นมาอยู่สุงขนาดนี้ ก็ยังคิดไปว่า นี่คือการขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว



หลังจากทรงครองราชย์อยู่ได้ไม่นาน เพียงสิบกว่าปี เจ้าชายโมคคัลลานะก็ยกกองทัพจากอินเดีย เข้าปิดล้อมป้อมปราการทุกแห่งรอบสีคิริยา



พระเจ้ากัสสะปะลอบเสด็จลงมาแล้วประทับช้างพระที่นั่งเพื่อหลบหนี แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อหมดหนทางสู้ พระเจ้ากัสสะปะก็ทรงใช้พระขรรค์ปลงพระชนม์เอง



คุณแม่ผมบอกว่า ในเรื่องที่คุณแม่อ่านนั้น ตัวเอกของเรื่องทั้งสองก็เสียชีวิตกันทั้งคู่ครับ



ก่อนกลับผมแหงนมองดู กำแพงกระจก อีกครั้ง ส่วนในใจนั้น ประหวัดไปคิดถึงแต่ภาพ Fresco

วันนี้เราเข้าที่พักกันที่ Mahaweli Reach Hotel ที่เมือง แคนดี้ กันก็ประมาณสองทุ่มกว่า ๆ เกือบจะสามทุ่มแล้วครับ (ถ้าเราขึ้นไปบนยอดสีคิริยา คงมาถึงเกือบเที่ยงคืน)

วันรุ่งขึ้นเราจะไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วกันครับ

(ตอนที่แล้ว) | (ตอนต่อไป)

(อ่านเที่ยวศรีลังกาตอนอื่น ๆ)



Create Date : 20 กรกฎาคม 2549
Last Update : 16 กันยายน 2549 22:55:09 น. 26 comments
Counter : 5170 Pageviews.

 
เราเคยไปเที่ยวมาสามหนติดใจอยากไปอีกจัง

เราหอบ ชา มาไว้ดื่มหลายกล่องเลยล่ะ





โดย: Malee30 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:17:13:00 น.  

 
ได้เห็นสิคีริยาสมใจแล้ว ขอบคุณมากนะคะ เห็นแล้วยิ่งอยากไปเห็นเองเลยค่ะ

อ่านเพลินไปเลยค่ะ ดูรูปเพลินด้วยอีกต่างหาก

จ้าก ต้องขอมาออกตัวนิดนึง ว่าตอนเราอ่านสิคีริยาในสตรีสารน่ะ ยังไม่สิบขวบเลยนะคะ ถึงตอนนี้จะไม่วัยสะรุ่นแล้วแต่ยังไม่กล้าเทียบรุ่นคุณแม่คุณ Plin หรอกนะคะ ตอนเด็กๆอ่านสตรีสารทุกหน้าแม้แต่โฆษณา อิอิ




โดย: SevenDaffodils IP: 65.203.0.242 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:16:33 น.  

 
ตอนผมยังไม่สิบขวบ ผมก็อ่านสตรีสารครับ
พอดีคุณย่าชอบอ่าน แต่ว่า ผมอ่านเฉพาะที่เป็นนิทาน กับการ์ตูนน่ะครับ

ตอนนั้น จะมีการ์ตูนหน้าตรงกลางนะครับ ถ้าจำไม่ผิด
แล้วก็ชอบอ่านนิทาน คอลัมน์ของ "บรรจบ พันธ์เมธา" ครับ


โดย: Plin, :-p ตัวจริง ไม่ได้ login IP: 58.8.91.163 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:22:31:51 น.  

 
ภาพสวยมาก... เก็บได้ทุกตอน น้าตามอ่านทุกคืนเลย กำลังจะต่อว่าหายไปไหนมา วันนี้เปิดเจอสองตอนเลย ดีจริงๆ ไปไหนจะชวนไปอีกนะจะได้มีเรื่องกลับมาเล่าสู่กันฟัง


โดย: น้าออ IP: 124.120.116.146 วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:23:45:03 น.  

 
ตามมาเที่ยวต่อค่ะ

ถ่ายภาพสวยมากๆ แถมยังเล่าได้เก่งอีกด้วยค่ะ



โดย: Picike วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:3:33:36 น.  

 
เด๋วต้องกลับไปอ่าน สิคีริยา ของ โสภาค สุวรรณใหม่อีกรอบ อิอิอิ
แดดบ่ายส่องกำแพงกระจกสวยจังค่ะ
ตอนเด็กๆ เคยไปค่ะ เค้าเล่าว่า ที่ขัดจนเงาเพื่อไม่ให้ใครรุกขึ้นไปจนถึงวังด้านบนได้น่ะค่ะ


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 23 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:45:46 น.  

 
โหหหหหหหหหหหหห ........ ทางไปดูภาพ Fresco โหดมาก ๆ เลยค่ะ.... น่ากลัวจังเลย

รายละเอียดเพียบจริง ๆ ค่ะ นับถือจริง ๆ ..... เหมือนเอาเทปไปอัด แล้วถอดเทปมาเลยนะคะเนี่ยยย

แบบว่าจำเก่งสุดยอดเลยค่ะ

ยิ่งเห็น ยิ่งอ่านยิ่งอยากไปค่ะ

ป.ล. เงาสูงมาก ๆ 55555555555


โดย: largeface วันที่: 27 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:15:18 น.  

 
เพิ่งได้หนังสือ สิคีริยา มาจากงานสัปดาห์หนังสือค่ะ เป็นแฟนนวนิยายคุณโสภาค เหมือนกันค่ะ แต่ต้องบอกว่า รู้จักงานเขียนของท่าน น้อยมากๆ แต่ก็ชอบทุกเล่มที่ได้อ่าน

เช่น ฟ้าจรดทราย, ความลับบนแหลมไซไน, ส้มพอหลวง, บาลาไลก้า, ทานตะวัน, จัสมีนา มาฮาล(เรื่องล่าสุดของคุณโสภาค) แล้วก็เล่มล่าสุดของหนู สิคีริยา เพิ่งอ่านไปสองสามหน้าเองค่ะ ก็เลยลองมาเซิทดูว่าเป็นยังงัย สวยแค่ไหน แล้วก็ได้เข้ามาเจอ เวป นี้ ดีใจค่ะ ได้เห็นของจริง(รูป) เห็นแล้วอยากไป อยากไปอยู่ให้ถึงบนยอด (ฝันไว้ก่อน) อ่านนวนิยายของคุณโสภาคแล้วทำให้อยากเดินทางตามตัวหนังสือทุกเรื่องเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับคำบรรยายและรูปภาพ


โดย: ผักกาด IP: 203.148.253.18 วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:11:48:02 น.  

 
มะยมคิดเอาเองว่า....สิคีริยานี่แหละที่เป็นวัตถุชิ้นสำคัญที่เป็นตัวแทนของความอาฆาตพยาบาท ความเคียดแค้นและคำสาปแช่ง.......ซึ่งเป็นผลจากการแก่งแย่งอำนาจการปกครองในอดีต เป็นที่รวมของความรัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นรูปธรรมที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเผาเจ้าหญิงองค์หนึ่งทั้งเป็น.....
การทำปิตุฆาตที่โหดเหี้ยมที่สุด.....
การหักหลังและใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

แม้จะผ่านไปมากกว่า 2,200 ปี แต่แรงพยาบาทและแรงอาฆาตยังคงมีอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าคิดเองว่า นี่เป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ประเทศไม่เคยสงบร่มเย็นเลย.........

ถ้าจะอธิบายว่าเป็นวัฏฏะของกรรมก็คงได้ แล้วยังคิดต่อไปว่า ถ้ามีการขออโหสิกรรมที่เหมาะสม จะมีการรับอโหสิกรรมหรือไม่นะ??? (คิดเรื่อยเปื่อยเนาะ)


โดย: มะยม IP: 222.123.162.51 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:20:54:33 น.  

 
โอ้ ขนาดนั้นเลยเหรอ

ว่าแต่... ทำไมแรงถึงต้องอาฆาตพยาบาทแผ่นดิน และ ประชาชนของตัวเองด้วยล่ะ

เฮ้อ


โดย: Plin, :-p วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:08:47 น.  

 
คุณPlin คิดเหรอคะว่า

คนที่สั่งเผาน้องตัวเองทั้งเป็น หรือคนที่ฆ่าพ่อตัวเองได้
หรือหักหลังตนใกล้ชิด....เพื่ออยากได้อำนาจ

เขาเหล่านี้จะเห็นแก่ประชาชนของตัวเอง.......อย่างนั้นหรือเจ้าคะ??


โดย: มะยม IP: 222.123.162.51 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:30:24 น.  

 
อืม... เค้าอาจจะคิดว่า เค้าบริหารประเทศได้ดีกว่า ก็ได้มั้ง...
ก็เลย ยึดอำนาจ


โดย: Plin, :-p วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:40:09 น.  

 
เอ้า.....ยอมคุณ Plin ก็ได้ค่ะ เพราะได้เวลานอนแล้ว

พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่นะคะ

Good night.......


โดย: มาโยม...ค่า..zz..z..z IP: 222.123.162.51 วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:46:58 น.  

 


โดย: Plin, :-p วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:21:52:15 น.  

 
++ บอกตรง ๆ ตอนเริ่มตอนนี้ อ่านแล้ว Plin เล่าว่า ขณะนี้ แบตใกล้จะหมดแล้วครับ..... โฮ ....

++ คือ ตอนนั้นถ้าจอยอยู่ในเหตุการณ์ด้วย คงภาวนา ว่า...อย่าเพิ่งหมดตอนนี้นะ...ลูกนะ.... อารมณ์ประมาณนั้น

++ และขณะอ่านในวันนี้ ก็กลัวว่าอ่านๆไป แล้วจะเจอประโยคจาก Plin ว่า ....
สหายความคิดขของผมทั้งหลายครับ ผมขอโทษตอนนี้ แบตเตอรีผมหมดแล้วครับ ผมเลยถ่ายภาพมาได้แค่นี้
ที่เหลือผมคงต้องเล่าให้ฟัง โดยไม่มีภาพประกอบนะครับ......

++ คือ ยอมรับเลยว่า จอยอ่านไปก็เพลินนะ แต่โครตลุ้นเลยว่าแบตจะหมดหรือไม่ ในใจคิด... อย่าเพิ่งหมดตอนนี้นะโว๊ย

++ และแล้วก็อ่านเพลินจนจบ

++ นาย Plin นายทำให้เราตื่นเต้นมาก รู้ตัวมั๊ยเนี๊ย


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:21:54:38 น.  

 
เวอร์


โดย: Plin, :-p วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:22:04:29 น.  

 
+++ ไม่ได้เวอร์นะ พูดจริงๆ

+++ อันนี้ แล้วแต่นะ...ว่าจะเชื่อหรือไม่

+++ ที่รู้สึกแบบนั้น ก็เพราะว่า เคยไปสถานที่หนึ่งและก็คิดในใจว่าอาจจะได้มาครั้งเดียวในชีวิต และจะถ่ายรูปเก็บไว้เยอะๆ แต่ลืม check แบต ในเวลานั้น แบตหมดก่อน
ทำให้เสียดายจนถึงทุกวันนี้

+++อืม ..... ว่าไปอาจจะเป็นบุคลิก จอย ก็ได้นะ ก็มักเป็นแบบนี้แหละ เว่อร์ เว่อร์

+++ ต้องขอบคุณ plin นะเนี๊ย ที่ช่วยบอก บางทีก็แสดงความรู้สึกออกไป อย่างที่คิด ไม่รู้ตัว


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:23:12:22 น.  

 
พอดีมะยมไปเจออะไรที่คล้ายๆกลอน ในเศษกระดาษที่คั่นอยู่ในบันทึกตอนไป Sigiriya เขียนไว้ว่า.....

แลเหลียว เอี้ยวมอง จ้องจับ
วาววับ น้ำเนตร คลอเบ้า
แต่นี้ หม่นหมอง โอ้..สองเรา
โศกเศร้า อาดูร ครุ่นคิด

ตัดใจ หันหลัง นั่งเหม่อ
หรือเธอ เลือนลืม อดีต
ลืมความ รักใคร่ ใกล้ชิด
ชีวิต ใกล้ดับ ลับลา

เวียนวน ผลกรรม นำทิศ
ชีวิต เวียนว่าย วัฏฏะ
ข้อขอ น้อมนำ ธรรมะ
พรมประ ให้ใจ คลายเศร้า..

น่าจะเป็นความรู้สึกที่มีต่อสิคีริยา ในขณะนั้นที่ออกจะเศร้าๆไปนิด...


โดย: มะยม IP: 222.123.164.33 วันที่: 6 เมษายน 2551 เวลา:21:44:49 น.  

 
พูดถึงเรื่องพี่น้องฆ่ากันเองแล้ว นึกไปถึงสามก๊ก

ตอนที่โจโฉ จะหาผู้สืบทอด ระหว่าง โจผี ผู้เป็นพี่ กับ โจสิด ผู้เป็นน้อง โจผี หาเรื่องจะสังหารโจสิด เนื่องจากโจสิดแต่งกลอนเก่ง ก็เลยบอกว่า ภายในเจ็ดก้าวเดิน ใหโจสิดแต่งกลอนสด ๆ เพื่อขอชีวิต ถ้าเนื้อหาทำให้โจผีพอใจได้ ก็จะไว้ชีวิต

ตอนที่อ่านเรื่องนี้ครั้งแรก อ่านในการ์ตูนพงศาวดารจีน นานมากแล้ว ในนั้นบอกแต่เนื้อหากลอน แต่ไม่ได้แปลกลอน พอดีตะกีลอง search ดู เจอสองสำนวน เอามาลงไว้ที่นี่

ต้มถั่วกิ่งถั่วใช้ กูลอัคคี
ลนกระทะถั่วโลดหนี ร่ำไห้
ร่วมพืชร่วมพันธุ์มี รากร่วม
ไยจึงทำใจไม้ มุ่งมล้างวงศวาร

ใช้กิ่งถั่วต้มถั่วถั่วมัวหมอง
ก่นแต่ร้องในทระทะสะอื้นไห้
จากลำต้นเดียวกันร่วมพันธุ์ไม้
ไอ้ไฉนมุ่งสังหารผลาญกันเอง

เอากิ่งถั่วก่อไฟใช้คั่วถั่ว
ถั่วเต้นรัวในกระทะสะอื้นไห้
อนุสนธ์ต้นเดียวกันร่วมพันธุ์ไม้
โอ้ไฉนมุ่งสังหารกันปานนี้

บุญชู ตันไฟจิตร


ต้มถั่วเผากิ่งไหม
ถั่วสะอื้นไห้ในหม้อพลัน
เกิดจากรากเดียวครัน
ไยเคี่ยวกันอย่างร้อนแรง

ยง อิงคเวทย์


โจผีฟังแล้วก็สะเทือนใจ ก็ไว้ชีวิตโจสิด แล้วให้ไปให้พ้น ๆ หนทางอำนาจของโจผี


โดย: Plin, :-p วันที่: 6 เมษายน 2551 เวลา:22:54:37 น.  

 
++ อืม เก่งกันทั้งคู่เลยนะคะ ทั้งคุณมะยมและคุณ Plin
++ ชื่นชม ค่ะชื่นชม


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:0:10:44 น.  

 
ผมไม่ได้แต่งเองสักหน่อย

ลงชื่อคนแต่งไว้แล้วด้วย


โดย: Plin, :-p วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:4:33:42 น.  

 
อยากไปศรีลังกาจัง อยากมีไกค์นำเที่ยว ฟังดูอยากได้ไกด์คนนี้จัง ติดต่อยังไปครับ


โดย: แม่แตง IP: 195.93.21.72 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:5:45:45 น.  

 
ไกด์ของคณะผมนี่ พอดีเป็นคนรู้จักกับคุณน้าที่ organize การถวายพระพุทธรูปครับ เค้าก็ติดต่อเป็นส่วนตัวครับ


โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 58.8.220.44 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:7:42:11 น.  

 
+ แหม แหม !!! ก็เห็นอยู่หรอกว่าไม่ Plin ได้แต่งเองค่ะ
+ แต่ที่ชื่นชมคุณ Plin ก็เพราะเห็นว่าเก่ง ที่รู้จักสรรหา มาต่างหากล่ะ
+ ส่วนคุณมะยมเนี๊ย จอยก็ชื่นชมที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกร่วมกับสถานที่ออกมาเป็นบทกลอนค่ะ
HAVE YOU GOT IT??


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:11:25:28 น.  

 
เดี๋ยวนี้มี google มันง่ายขึ้นครับ แค่กลอน ผมก็พิมพ์ search ว่า

สามก๊ก กลอน ถั่ว

แค่นี้ก็ได้ออกมาแล้วครับ ไม่เห็นจะเก่งอะไรเลย

ส่วนเรื่องโจสิด โจผี โจโฉ นี่ เป็นเพราะอ่านตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วมีคนกล่าวถึงบ่อย ๆ ก็เลยจำเรื่องราวได้ครับ


โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 202.28.62.245 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:15:21:33 น.  

 
++ฮืม....O.K. จอยเข้าใจแล้วว่า... Plin ไม่ได้เก่งอะไรเลย แค่ พิมพ์ คำที่ต้องการ แล้ว click ที่ search ง่ายจะตาย ใครๆ ก็ทำได้
++งั้น...ที่ผ่านมาแสดงว่าจอยเข้าใจผิดไปเอง ... stupid joy


โดย: จอย IP: 58.181.143.189 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:21:27:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Plin, :-p
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]









Instagram






บันทึก ท่องเที่ยว เวียดนาม


e-mail : rethinker@hotmail.com


Friends' blogs
[Add Plin, :-p's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.