Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
14 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย

[หนังสือเล่มอื่น]




ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย
คัมภีร์ปฏิวัติ
เบื้องหลังเหตุการณ์
19 กันยายน 2549
จากจุดกำเนิดสู่อวสาน คมช.




ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าเคยแนะนำหนังสือที่บันทึกเรื่องราวอันเป็นมูลเหตุของความขัดแย้งในสังคมไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2548 – 2549 จนเป็นเงื่อนไขให้เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน ไปแล้วเล่มหนึ่ง คือ October No. 6 : ปฏิวัติ 2549 โดยหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวม "ปากคำ" ของ "ตัวละครสำคัญทางการเมือง" ที่เป็นพลเรือน ซึ่งได้สัมภาษณ์ไว้ทั้งช่วงก่อนและหลังเหตุรัฐประหาร ณ ช่วงเวลาต่าง ๆ กัน แต่จะเน้นหนักไปที่กลุ่มคนต่อต้าน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นส่วนใหญ่ (มีบทสัมภาษณ์ที่มีความเห็นกลาง ๆ อยู่บ้าง)

“ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย” ก็เป็นหนังสืออีกเล่ม ซึ่งนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รัฐประหารในครั้งนั้น โดยข้อมูลประกอบการเขียนจะได้มาจากการสัมภาษณ์ “ตัวละครสำคัญทางการเมือง” ที่เป็นทหาร ทั้งฝ่ายที่เป็นผู้ทำการรัฐประหาร และทหารที่เป็นฝ่ายต่อต้าน หรือ อีกนัยคือ เป็นทหารที่เลือกข้างอยู่ฝ่ายทักษิณ



หนังสือเปิดเผยเรื่องราวอย่างละเอียด ตั้งแต่ช่วงที่วางแผนเตรียมทำการรัฐประหาร การชิงไหวชิงพริบกันในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ระหว่างคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) กับฝ่ายต่อต้าน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภายหลัง ไปจนถึงการประกาศยุติบทบาทของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

“ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์” ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ นี้ อธิบายเหตุผลว่า ทำไมบางครั้ง (อาจจะหลาย ๆ ครั้ง) สิ่งที่เรารับทราบ กับสิ่งที่ถูกบันทึกไว้จึงไม่ตรงกัน ขึ้นกับว่าข้อมูลที่เราได้มานั้น มาจากฝ่ายไหน ผู้ชนะ หรือว่า ผู้แพ้ ทั้งนี้ยังไม่นับว่า ข้อมูลเหล่านั้น อาจถูกบิดเบือนเพราะอคติบางอย่างได้อีก

เหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องตั้งแต่ รัฐประหารโดย ไปจนถึง การสลายตัวของ คมช. นั้น ก็เป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ที่ทำให้มีผู้ชนะกับผู้แพ้เกิดขึ้น และก็จะทำให้เกิดข่าวลือ เรื่องเล่า ต่าง ๆ ซึ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชนได้ ไม่มากก็น้อย



คุณ วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหารของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ผู้เขียนหนังสือ “ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย” ได้กล่าวไว้ในส่วนบทนำว่า


“ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์”
แต่ “ฉัน” ไม่ใช่ทั้งผู้ชนะ หรือ ผู้พ่ายแพ้
หากแต่เป็นผู้ที่พยายามจะบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งสองด้าน


อย่างไรก็ตาม คุณวาสนา ก็ไม่ได้ให้น้ำหนักอย่างเท่าเทียมกัน ในการบันทึกประวัติศาสตร์ จากมุมมองของทั้งสองฝ่ายที่เป็นคู่กรณีกัน หากแต่เน้นหนักไปที่ปากคำจากทหารคณะรัฐประหารหลายนาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็น "ผู้ชนะ" ในตอนแรก ทว่า กลายเป็น "ผู้พ่ายแพ้" ในเวลาต่อมา



คุณวาสนา ไม่ได้นำบทสัมภาษณ์ของแต่ละคนมานำเสนอไว้ทั้งหมดในคราวเดียวกัน แต่จะตัดทอนมาเป็นบางส่วน จากหลาย ๆ บทสัมภาษณ์ เลือกเอาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ต้องการนำเสนอ แล้วมาประกอบการเขียนหนังสือในแต่ละบท

เรื่องราวทุกอย่างนั้นมีที่มา การกระทำทุกอย่างของคนเราก็เช่นกัน ย่อมมีเหตุผลหรือแรงจูงใจต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุอยู่ เพียงแต่จะมีใครยอมรับมากน้อยแค่ไหนว่า เหตุผลหรือแรงจูงใจอันใดที่เป็นสาเหตุหลัก และทุกคนก็มีแนวโน้มที่จะอ้างถึงเหตุผลที่สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองทั้งสิ้น ทำให้ทุกคนมองว่าตนได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้อ่านที่จะพิจารณาตัดสินเองด้วยว่า เรื่องราวจาก “ปากคำ” เหล่านี้ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด

แม้เรื่องราวบางอย่างจะไม่สามารถเปิดเผยในหนังสือได้ แต่ข้อมูลที่บันทึกไว้ในเล่ม ก็อัดแน่นมากพอที่จะทำให้ผู้อ่านได้ทราบที่มาที่ไป และเห็นภาพความสัมพันธ์ของตัวละครทางการเมืองต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และแม้ว่าเนื้อหาจะค่อนข้างหนัก แต่ด้วยสำนวนภาษา วิธีการเรียบเรียง รวมไปถึงรูปแบบการนำเสนออย่างมีชั้นเชิง ก็ทำให้หนังสือเล่มนี้อ่านสนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม จนแทบวางไม่ลงเลยทีเดียว



เดิมคุณวาสนา วางแผนจะให้หนังสือเขียนเสร็จ และ วางแผง ทันก่อนการเลือกตั้งเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 แต่เพราะไม่มีเวลาให้กับหนังสือมากพอ จึงทำให้ล่าช้าออกไป ซึ่ง คุณวาสนา ออกตัวไว้ว่า อาจทำให้หนังสือเล่มนี้ดูล้าสมัยไป

แต่ข้าพเจ้ากลับมองว่า ด้วยเนื้อหาและรูปแบบสำนวนที่ได้มีการเขียนในหนังสือ “ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย” นั้น อาจจะเสี่ยงต่อการถูกสั่งห้ามจำหน่ายได้ ถ้าหาก คมช. ยังทรงไว้ซึ่งอำนาจอยู่ นอกเสียจากคุณวาสนามีความมั่นใจอย่างมากว่าพรรคพลังประชาชนจะต้องชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน และ คมช. จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด จึงมีความกล้าที่จะวางแผนจะจำหน่ายหนังสือในช่วงนั้น



นอกจากนี้ การที่เลื่อนการวางจำหน่ายหนังสือออกไปเพียงสองถึงสามเดือนนั้น (หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 หลังจากการประกาศยุติบทบาทของ คมช. เพียงไม่กี่สัปดาห์) กลับเป็นข้อดีคือ ทำให้สามารถเพิ่มเติมข้อมูลให้กับบทต่าง ๆ ในหนังสือ ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น เช่น “อวสานแห่ง คมช.” “เช็กบิล-ฮั้วเพื่อชาติ” “บทเรียน คมช.”

และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบท “ความในใจของ พล.อ.สนธิ” ซึ่งผู้อ่านสามารถสัมผัสถึง ความรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ของพล.อ.สนธิ ได้อย่างชัดเจน

หนังสือเล่มนี้ให้บทเรียนที่มีค่า กับหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายทหาร ประชาชน หรือแม้กระทั่ง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เองก็ตาม เพียงแต่ว่า จะมีใครนำไปปรับใช้ในลักษณะไหน เท่านั้น

ดังนั้น “ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย” คงจะยังเป็นหนังสือที่ไม่ล้าสมัยไปอีกนาน



การปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ได้กลายเป็น
ประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง ในแง่ที่ว่ามันได้เกิดขึ้นจริง แต่หาได้มีผลใด ๆ ยั่งยืนไม่
ระยะเวลา 15 เดือนหลังจากวันปฏิวัติ จนมาถึงวันเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550
เสมือนเป็นช่วงแห่งความฝัน
เมื่อตื่นขึ้นมาพร้อมกับการเลือกตั้ง ทุกอย่างก็พลันกลับคืนสู่สภาพเดิม
ด้วยความเป็น “นักข่าวสายทหาร” ที่นอกจากจะทำหน้าที่ในการรายงานข่าว
และข้อเท็จจริงแล้ว ในฐานะที่อยู่ใกล้ชิดข้อมูลข่าวสาร ที่เป็นเรื่องเล่า ข่าวลือ
ข่าวสะพัด ข่าวกรอง และข่าวจริง เกี่ยวกับการปฏิวัติครั้งนี้ บางเรื่องที่ไม่ได้เป็นข่าว
หรือบางข้อมูลที่ลึกกว่านั้น จนยากที่จะทำใจปล่อยให้มันผ่านเลยไป
จึงตัดสินใจรวบรวมเพื่อบันทึกเป็นประวัติศาสตร์
ที่ต้องเน้นว่าทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นแง่บวกหรือลบของฝ่าย
พ.ต.ท.ทักษิณ หรือของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ


(จากปกหลัง)






ลับ ลวง พราง ปฏิวัติปราสาททราย
โดย วาสนา นาน่วม
สำนักพิมพ์มติชน
พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม 2551
พิมพ์ครั้งที่สอง : เมษายน 2551
พิมพ์ครั้งที่สาม : เมษายน 2551
ISBN 978-974-02-0087-1
370 หน้า
230 บาท







[หนังสือเล่มอื่น]


Create Date : 14 เมษายน 2551
Last Update : 14 เมษายน 2551 15:32:08 น. 21 comments
Counter : 1372 Pageviews.

 
ข้าพเจ้าไม่คิดว่านี่คือตอนจบของเรื่องการปฏิวัติครั้งนี้ ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ การปฏิวัติจะมีสองคราวในแต่ละครั้งเสมอ

และนี่ก็อาจจะเป็นปฏิบัติการลับ ลวง พราง ตัวจริงเสียงจริงก็ได้......อย่าชะล่าใจ


โดย: มะยม IP: 222.123.209.182 วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:20:19:31 น.  

 
ที่จริง ตัวคนเขียนเองก็ฟันธงไว้เหมือนกันว่า คงจะมีปฏิวัติรัฐประหารต่ออีก และคงไม่มีทางหมดไปจากสังคมไทยได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

แถมทหารหลายนาย ยังมีแนวคิดว่า รัฐประหารนั้นเป็นทางออกของปัญหาบ้านเมืองได้แน่นอน โดยทำตัวเป็นกรรมการให้หยุดเกม และเหมือนการล้างกระดาน แล้วให้เริ่มเล่นเกมกันใหม่

และเพราะว่ามี "บทเรียน" แล้ว ปฏิวัติรัฐประหารครั้งต่อไปก็คงจะต้อง "เด็ดขาด" มากขึ้น จะได้ไม่มีปัญหาจากฝ่ายตรงข้ามอีก

ซึ่งในจุดนั ผมว่าปัญหาคือ ถ้าเด็ดขาดแล้ว จะครองใจประชาชนไว้ได้หมดหรือเปล่า... เพราะประชาชนที่รักฝ่ายศัตรูของตนก็มีเยอะเหมือนกัน

ก็อาจจะเกิดการนองเลือดได้ในที่สุด


โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 202.28.62.245 วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:22:18:35 น.  

 
วันนี้เป็นวันพญาวัน ถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยและเป็นวันเปลี่ยนนักษัตร อยากจะให้พวกเราร่วมใจกันอธิษฐานจิตให้ประเทศชาติ พ้นผ่านช่วงของความเปราะบางนี้ไปได้ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ

มะยมกำลังรอบรรดานายแม่ทั้งหลายแต่งตัวไปวัดกันนานนน...มาก จึงเข้ามาดูBlog ของคุณ Plin หน่อย เข้าใจว่าคนกรุงเทพฯ ก็คงไปวัดทำบุญตักบาตรเหมือนกัน

แต่ที่นี่จะมีการให้ทานเจดีย์ทราย โดยใช้ตุงหรือธงที่เป็นสัญญลักษณ์ของเราปักไว้ที่เจดีย์ทราย ที่พวกเราช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำไปก่อเจดีย์ไว้ที่วัดกันแล้ว วันนี้จึงทำบุญและทำทานกันครบถ้วนเพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่นี้ค่ะ

จะอธิษฐานเผื่อทุกคนนะคะ


โดย: มะยม IP: 117.47.228.164 วันที่: 15 เมษายน 2551 เวลา:7:49:26 น.  

 
ตะกี้อ่านเร็ว ๆ ตกใจ เพราะ อ่านเป็น "บรรดาแม่ทัพนายกอง"

อ่านอีกที ไม่ใช่



โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog ตัวจริง ไม่ได้ login) IP: 202.28.62.245 วันที่: 15 เมษายน 2551 เวลา:12:19:09 น.  

 
การเปลี่ยนในปฏิบัติการครั้งต่อไปจะรุนแรงขึ้น..เพื่อให้เด็ดขาด และควบคุมได้ทุกส่วน
เพราะใช้บทเรียนครั้งนี้เป็นประโยชน์..
ก็..อาจจะจริง

แต่อีกด้าน...
คนที่บริหารบ้านเมือง ก็อาจจะเปลี่ยนเช่นกัน
เปลี่ยนเป็นปิดทุกจุด...ที่ไม่ให้มีปฏิวัติ!
หรือ...เปลี่ยนเป็น ทำให้ดีที่สุด...จนไม่มีความจำเป็นต้องคิดปฏิวัติ!

เอ๊ะ...ฝันไปหรือเปล่าน่ะ!!


โดย: icechick วันที่: 15 เมษายน 2551 เวลา:20:43:58 น.  

 
ที่จริง โดยหลักการแล้ว ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี ใคร ๆ ก็อยากทำอะไรให้มีคนชอบทั้งนั้น

เพียงแต่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบ

ปล ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายไหนนะ เป็นกลาง ๆ ๆ ๆ ๆ


โดย: Plin, :-p วันที่: 15 เมษายน 2551 เวลา:20:56:01 น.  

 
ชอบใจข้อคิดจากอิมซังอ๊กอยู่อย่าง...
เมื่อฮุงแดโซ-หัวหน้ากลุ่มกบฎมาชักชวนอิมซังอ๊กเข้าร่วมขบวนการด้วย..
นอกจากอาศัยเป็นถุงเงินแล้ว ยังจะอาศัยหลักการใช้คนที่อิมซังอ๊กเชี่ยวชาญจากวงการค้า...มาช่วยขบวนการฯ

ถ้าอิมซังอ๊กยอมร่วมมือด้วย
ประวัติศาสตร์โชซอนอาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
เพราะด้วยฐานเงินและเครือข่ายการค้า...เป็นขุมพลังที่โยกคลอนอะไรก็ได้!

และ...คนที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง
ค้าขายก็รวย ทำอะไรก็มีคนสรรเสริญเยินยอ นับหน้าถือตาไปทั้งเมือง
ยังจะมีอะไรที่...ไม่มี หรือยังไม่ได้ อีกไหม?
มีสิ...อำนาจ ยังไงล่ะ!

หลาย ๆ คนที่เป็นพ่อค้า แล้วหันเข้าสู่การเมืองก็ด้วยเพราะเหตุนี้...

อิมซังอ๊กล่ะ...
เขาลังเลอยู่เหมือนกัน มันเป็นสิ่งเย้ายวนใจสำหรับคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่างจนครบหมดแล้ว
แล้วอะไรล่ะ...ที่ทำให้เขาตัดใจ ไม่เข้าร่วมกับกลุ่มกบฎ?

อักษรตัวเดียวจากอาจารย์ที่เขานับถือ...เขียนไว้ให้
"ตะเกียง"!!!
ตะเกียงที่มี 3 ขา จึงจะค้ำจุนให้ตะเกียงตั้งอยู่ได้
ตะเกียงที่เปรียบเสมือนความหมายการเป็นเจ้าเหนือหัว
ที่ตั้งอยู่ได้ด้วย ขา 3 ขา

อำนาจ...ทรัพย์สินเงินทอง ...และประชาชน
ถ้าขาใดขาหนึ่ง...คิดอยากจะได้อำนาจจากขาอื่น ก็จะเกิดความไม่สมดุล ตะเกียงก็ตั้งอยู่ไม่ได้

อิมซังอ๊กมีทรัพย์สินเงินทองพร้อมแล้ว...
หากคิดจะได้อย่างอื่นอีก...นั่นคือความคิดที่ผิด และจะล้มเหลวได้ทันที

ถ้ามองอย่างรูปธรรม...
คนที่เชี่ยวชาญอย่างหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะเชี่ยวชาญไปทุกอย่าง และทำได้ทุกเรื่อง
ฝืนตัวเองเพราะคิดว่าเก่ง หรือละโมบอยากได้ อยากเป็นมากกว่าที่ควร...นั่นก็คือหายนะ

อีกตอนหนึ่ง...
ใกล้จบ...อิมซังอ๊กช่วยเหลือราชการมากมาย ฮ่องเต้โปรดปรานมาก จึงแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อย ๆ ภายในเวลาสั้น ๆ
ครั้งสุดท้ายได้ตำแหน่งสูงถึงข้าหลวงใหญ่ประจำเมือง..

แทนที่อิมซังอ๊กจะดีใจ กลับทุกข์ใจ
พร้อม ๆ กับหยิบสิ่งของชิ้นสุดท้ายของอาจารย์ออกมาดู
ลูกน้องเห็นเจ้านายนั่งซึมดูแต่ถ้วยใบเล็ก ๆ ใบหนึ่ง
สงสัยจึงถามว่า น่าจะดีใจที่ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ทำไมจึงนั่งซึม ทุกข์เช่นนี้

อิมซังอ๊กบอกลูกน้องว่า...
การรับตำแหน่งใหญ่ครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิตสูงสุดที่เคยมีมา
ถ้วยที่เขาถืออยู่นี้ เรียกว่า "ถ้วยไม่เต็ม"!!

ถ้าเมื่อใดก็ตามรินจนเต็ม ก็จะดื่ม แล้วจะเติมไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้ารินไม่เต็ม...ก็ยังไม่จำเป็นต้องเติม

เขาจึงตัดสินใจลาออก...
ทิ้งอำนาจ ลาภยศ ที่ใคร ๆ ต่างพากันอิจฉา
แล้วไปทำหน้าที่พ่อค้าของเขาเพียงอย่างเดียว..

จุดดีของอิมซังอ๊กที่น่าเป็นแบบอย่าง
ก็คือ..."การคิดได้"
ไม่ใช่ใครทุกคนก็คิดได้ ปลงตก
ไม่ใช่ใครทุกคนจะไปบอกให้คนอื่นยอมคิดได้และปลงตก
ทุกอย่างต้องด้วยตัวเอง
ปริศนาธรรมจึงมีอยู่มากมาย ให้ไปค้นคว้าด้วยตัวเอง

เสียดายแต่ว่า...บางคนที่มีวาสนาดีแล้ว
กว่าจะคิดได้ ก็ต้องได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดไปทั้งชีวิต
และย้อนเวลากลับคืนไปแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว!!


โดย: icechick วันที่: 16 เมษายน 2551 เวลา:9:10:16 น.  

 
สามขา = อำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง และประชาชน ...อืม...

พอดีไม่ได้ดูเรื่องนี้ ไม่รู้ว่า ตะเกียงทำให้เค้าคิดสามอย่างนี้ได้เอง หรือว่า อาจารย์เป็นผู้บอกสามอย่างนี้

แต่ว่า ก็เป็นความจริงว่า ต้องมีสามขา ถึงสมดุลย์ที่สุด สองขาก็ล้มได้ โต๊ะเก้าอี้สี่ขาที่มีขายาวไม่เท่ากัน มันก็จะหาสามขาที่ทำให้ยันกันได้พอดีกัน

บางที่สามขากรณีนี้อาจจะเป็น ทหาร นักการเมือง ประชาชน


โดย: Plin, :-p วันที่: 16 เมษายน 2551 เวลา:9:25:04 น.  

 
อาจารย์เพียงเขียนตัวอักษรให้หนึ่งตัว
ตัวอักษรนั้น..คือ "ตะเกียง"

อิมซังอ๊กถูกข่มขู่จากหัวหน้าโจรให้รับปากการเข้าร่วมก่อกบฎ...ถ้าไม่รับปาก ก็ต้องถูกฆ่าเพื่อเก็บความลับ

ระหว่างความเป็นความตาย ไม่รับปากก็ตาย...รับปากไม่ตาย แถมยังอาจได้เป็นใหญ่ในอนาคต...
ที่จริง ...ก็คือตัวล่อชนิดดีต่อกิเลสของคนนั่นล่ะ

อิมซังอ๊กคิดไม่ออก...จึงหยิบถุงที่ได้รับจากอาจารย์
ที่บอกไว้ว่า หากมีภัยให้หยิบออกมาใช้
เมื่อหยิบของออกจากถุง ก็เห็นเป็นกระดาษที่เขียนอักษรตัวเดียวว่า "ตะเกียง"!!

ต่อจากนั้น...ก็เป็นเรื่องของการตีความ
ซึ่งท้ายสุดมาลงที่...ความสมดุลของทั้งสามขา
อิมซังอ๊กซึ่งขณะนั้นมีเงินทองและทรัพย์สมบัติมหาศาล ซึ่งก็คือ...ขาหนึ่งของตะเกียง
ถ้าคิดอยากจะได้ส่วนของขาอื่น ๆ ของตะเกียง
ตะเกียงนั้นก็จะล้มลงทันที!!

การคิดได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง...ที่ต้องใช้ปัญญา และสติ
แต่ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ความกล้า...

อิมซังอ๊ก ตั้งตะเกียงอยู่ตรงหน้ารอคอยหัวหน้าโจรที่จะมาฟังคำตอบ...
ซึ่งเขาเตรียมตัวตายอยู่แล้ว...เพราะรู้ว่าคำตอบของเขาคือคำสั่งประหารในตัว!!
อิมซังอ๊กให้หัวหน้าโจรยกตะเกียงขึ้น
ทันทีที่หัวหน้าโจรยกตะเกียงขึ้น...ตะเกียงก็ล้มลง
เพราะขาข้างหนึ่งหักไปเสียแล้ว

นั่นคือคำตอบที่อิมซังอ๊กบอกกับหัวหน้าโจร
หากอิมซังอ๊กที่เป็นพ่อค้า...มีเงินทองมากมาย เปรียบเป็นขาที่หนึ่ง...คิดอยากได้ขา..ที่มีอำนาจ
ตะเกียงจะขาดความสมดุล...ถ่วงรั้งระหว่างกัน ก็จะล้มลงทันที...

ฉันใดฉันนั้น...หัวหน้าโจรมีกำลังประชาชนส่วนใหญ่ (ที่อ้าง!!) อยากได้อำนาจ...อยากได้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อคิดการใหญ่...หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่
เท่ากับฝืนความเป็นจริง...ไม่มีทางบรรลุเป็นตะเกียงส่องสว่างได้
ในเมื่อคิดอยากจะได้ส่วนอื่นของขาอื่น ๆ อยู่แล้ว...
มีหรือ..ที่ในอนาคตจะไม่มีความอยาก...จะได้ส่วนอื่นเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ? จะหยุดความต้องการของตัวเองได้ไหมล่ะ?

อิมซังอ๊กศรัทธาในความคิดช่วยเหลือประชาชนของหัวหน้าโจร...
แต่ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง และต้องแน่วแน่ในเส้นทางนั้น ๆ
เสียดายว่าเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดดูความสำเร็จของหัวหน้าโจร!!

คิดได้ก็ถือว่ายอดแล้ว...ยังกล้าพูดทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคำพูดนั้นคือคำสั่งประหาร?
เพื่อรักษาความลับไม่ให้รั่วไหล...อิมซังอ๊กต้องถูกฆ่าปิดปากอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

ในชีวิตจริง...
สถานการณ์อาจไม่เทียบเคียงร้ายแรงอย่างนี้
เพียงแค่ผลประโยชน์กับความถูกต้อง...
บางคนยังหวั่นไหวเลย...จริงไหม?

ยุคปัจจุบันของเรา..
เทียบได้ว่าทหารก็คือ "อำนาจ" หรือขาหนึ่งของตะเกียง
เมื่อใดที่คิดอยากได้ส่วนอื่น..ขาอื่น เปรียบได้ก็ไม่ต่างกับหัวหน้าโจรในอิมซังอ๊ก

หรือแม้นแต่คนที่ชอบอ้าง "ประชาชน" ก็ไม่ต่างกัน..เช่นกัน
เมื่อไรก็ตามที่ประชาชนอยากได้อำนาจ..และเงินทอง เพื่อ....อะไรก็ตาม ก่อหวอดลุกฮือ สร้างกระแส ความปั่นป่วนวุ่นวาย...หรือตกเป็นเครื่องมือของใคร หรือกลุ่มใด
เปรียบได้ก็ไม่ต่างกันกับเรื่องในอิมซังอ๊ก

อย่างสุดท้าย...
หากพ่อค้าคนใด...ที่มั่งมีเงินทอง แล้วอยากได้ส่วนอื่น ขาอื่นของตะเกียง โดยไม่ยับยั้งชั่งใจอย่างอิมซังอ๊ก...
ตัวอย่าง...ก็คงเห็นได้ในชีวิตจริงแล้วล่ะ

อ้าว!!
ชักเลยเถิดแล้วซิ...
พอดีกว่า...ฝอยมากไปแล้ว!!


โดย: icechick วันที่: 17 เมษายน 2551 เวลา:21:48:22 น.  

 
อ่านทวนหลายรอบมากเลย ไม่กล้าบอกว่า ไม่เข้าใจ แต่ว่า ถ้าพูดให้ดูดีหน่อยก็คือ "สงสัยจะเข้าใจไม่ตรงกัน"

คือ สงสัยว่า ตกลงแล้ว สมดุลสามขานี้ เป็นสมดุลของอะไร

สามขาของตะเกียงได้ดุล ตะเกียงไม่ล้ม แสดงว่าเป็นสมดุลของตะเกียง แล้วตกลง ตะเกียงแทนอะไร

อิมซังอ๊กมีเงิน เป็นขาหนึ่งของตะเกียง ถ้าอยากได้อำนาจ ตะเกียงจะล้ม... อืม.. ตะเกียงแทนอะไร??

กบฏมีประชาชน ถ้าอยากได้เงินของอิมซังก๊ก ตะเกียงจะล้ม อืม.. ก็ยังงง ว่าตะเกียงแทนอะไร

(ยกมา)
ฉันใดฉันนั้น...หัวหน้าโจรมีกำลังประชาชนส่วนใหญ่ (ที่อ้าง!!) อยากได้อำนาจ...อยากได้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อคิดการใหญ่...หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่
เท่ากับฝืนความเป็นจริง...ไม่มีทางบรรลุเป็นตะเกียงส่องสว่างได้


อ่านข้อความนี้แล้ว ตอนแรกตีความว่า เป็นตะเกียงของหัวหน้าโจร คือ หัวหน้าโจรมีประชาชน แต่พอจะไปเอาอำนาจ ก็จะเสียสมดุล ? สมดุลของหัวหน้าโจร ?

แต่ มันไม่น่าใช่แบบนั้นกระมัง

คือกำลังยกประเด็นว่า อิมซังอ๊ก เข้าใจตะเกียงไปแบบนึง คุณ icechick อธิบายผมในแบบที่ ผมไม่แน่ใจว่า พออ่านแล้ว จะเข้าใจได้เหมือน อิมซังอ๊ก ไหม อาจเพราะไม่ได้ดูเรื่องนี้ด้วย เลยนึกภาพตามยังไม่ออก

แต่ที่จริงเรื่อง สมดุล ระหว่าง อำนาจ ประชาชน เงินทอง นี้.. ถ้าหากอธิบายผ่านการบอกว่า พ่อค้า ไม่ควรหาอำนาจจึงจะสมดุล หรือ ประชาชน ไม่ควรไปหาเงิน หรือ หาอำนาจ จึงจะสมดุล แบบนี้เนี่ย

ไม่น่าจะเป็นสมดุลของ individual แต่น่าจะเป็นสมดุลของสังคมโดยรวม หรือ อาจจะเป็นสังคมของคนที่ปกครอง ที่ต้องให้มีลักษณะทั้งสามอย่างในสังคม

คือ ในสังคม ต้องมีประชาชน มีอำนาจปกครอง แล้วก็ต้องมีเงินทุนไว้พัฒนาด้วย

อันที่จริง ต้องเป็น คนกลุ่ม ๆ หนึ่ง ที่สามารถควบคุมได้ คือ ควบคุมประชาชนได้ ควบคุมการใช้อำนาจได้ แล้วก็ควบคุมการใช้จ่ายได้

ถ้าคิดแบบนี้ การที่มีขาหนึ่งแล้ว จะเอาอีกสองขา ก็ไม่ผิดนักหรอก เพียงแต่ จะเป็นการเปลี่ยนสมดุลครั้งใหม่ แล้วก็ต้องเอาให้ได้ทั้งหมด

ประมาณว่า เปลี่ยนจุดศูนย์กลาง หรือ แกนของโลก

ซึ่งการเปลียนแปลงนั้น ต้องเสียต้นทุนทางสังคมไม่น้อย และ ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็คือ สงครามกลางเมือง

อันนี้ตึความในแง่ว่า ตัวตะเกียงมีสามขา คือใช้ประโยชน์จากขาทั้งสาม

ทีนี้ถ้าตีความใหม่ เป็นว่า สามขานี้ ไม่ขึ้นแก่กันเลย ไม่ได้ถูกกลุ่มคนที่มาครอบครองของสามอย่าง แต่สามขาจะประคับประคองอะไรอย่างหนึ่ง เช่น สังคม ให้อยู่รอด

ก็ตีความใหม่เป็น ประชาชนคนธรรมดา พ่อค้าที่คุม ศก ผู้ปกครองที่ใช้อำนาจ

ซึ่งถ้าตีความให้แยกกัน แสดงว่า
1. ระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมใน model แบบนี้ เพราะ ประชาชนไม่ควรมีอำนาจ
2. ทุนนิยมเป็นสิ่งชั่วร้าย
3. ผู้ปกครองไม่ควรยุ่งกับระบบ เช่น ไม่ควรลงทุนในกิจการไหนเลย

สงสัยจะเข้าใจไปกันคนละเรื่องอีกแน่ ๆ เลย


โดย: Plin, :-p ไม่ได้ login IP: 58.8.87.137 วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:11:52:24 น.  

 
มะยมกลับคิดและเข้าใจง่ายๆ(แบบข้าพเจ้าเอง)ว่า ตะเกียงคือประเทศชาติ

ขาตะเกียงสามขาคือการคานอำนาจซึ่งกันและกัน โดยอำนาจทั้งสามนี้ต้องไม่ฮั้วกัน

อำนาจทั้งสามได้แก่
1. อำนาจทางการเงิน หมายถึงการเป็นผู้กุมเศรษฐกิจ

2. อำนาจทางทหาร หมายรวมถึงข้าราชประจำทั้งหลายด้วย ที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนพระเนตรพระกรรณ

3.อำนาจทางการเมืองหรือนักการเมือง ซึ่งอำนาจนี้เป็นตัวแทนของประชาชนเพราะประชนเลือกเข้ามาทำหน้าที่แทน

ถ้าสามอำนาจนี้ฮั้วกัน คือไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้อิสระและสมบูรณ์แล้ว จะทำให้ประเทศชาติเสียสมดุลย์ หรือตะเกียงล้มน่ะเอง

ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเข้าใจแบบคนละเรื่องเดียวกันรึเปล่าเนี่ย


โดย: มะยม IP: 203.147.36.34 วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:13:55:20 น.  

 
โชซอนยุคโบราณสมัยนั้น...มีระบอบการปกครองโดยมีกษัตริย์เป็นประมุขเหมือนในหลาย ๆ ประเทศ
"ตะเกียง" หมายถึง กษัตริย์ ที่ปกครองประเทศได้ด้วยฐานทั้งสามขา...
คือ อำนาจ เงินทอง และประชาชน

อิมซังอ๊ก..คิดว่าตนเองคือบุคคลหนึ่งในสามขานั้น ที่มีเงินทองมากพอ และเป็นเสาค้ำชูกษัตริย์
หากคิดอยากได้ส่วนของขาอื่น ตะเกียงก็จะล้ม...
ความคิดอยากแก้ไขการปกครอง เปลี่ยนการปกครอง เปลี่ยนกษัตริย์...ก็จะต้องเอาให้ได้ทั้งสามขาอย่างที่คุณPlin, :-p บอกข้างต้น..

ซี่งหัวหน้าโจรต้องการอย่างนั้นจริง ๆ
จึงมาชักชวนอิมซังอ๊ก...
นอกจากเป็นการคิดการใหญ่ อิมซังอ๊กยังคิดว่าไม่ใช่บทบาทหน้าที่ที่ตนเองทำได้

และจะเกิดสงครามที่ชาวบ้านต้องล้มตาย เดือดร้อน ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง...หรือแก้ไขได้ตรงจุด (ก็เหมือนกับที่คุณ Plin, :-p บอกข้างต้น ...เช่นกัน)
หากเขาเข้าร่วม ก็เท่ากับส่งเสริมให้การล้มตายไม่สิ้นสุด
แล้วคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เกิดปัญหาเดิมอีกหรือ?
สามารถควบคุมให้ทุกอย่างดีอย่างต้องการได้หรือเปล่า?
ควบคุมความต้องการไม่ให้เกินพอดี...ได้ตลอดไปหรือไม่?

ถ้าหากเปรียบเทียบตะเกียงคือประเทศชาติ...
คือสังคมส่วนรวม...ก็น่าจะไม่ผิด
ประเทศหรือสังคม...ที่ต้องอยู่รอดและเป็นสุขได้ด้วยขาสามขาอย่างที่คุณ มะยม บอกข้างต้น..

และจริง ๆ ก็คิดเปรียบเทียบกับประเทศของเราเหมือนกัน
อำนาจทางทหาร-บ้านเมือง...หากรู้ว่าบทบาทหน้าที่ของตนคืออะไร...เชี่ยวชาญอะไร รับผิดชอบอะไร ก็แน่วแน่ในเส้นทางของตนอย่างนั้น
คำว่า "เผด็จการ" หรือ "ปฏิวัติ" ก็คงไม่เกิดขึ้น

อำนาจทางการเงิน...หรือพ่อค้าที่มีเงินทอง กุมฐานเศรษฐกิจบ้านเมือง
หากมุ่งมั่นสร้างการค้า ธุรกิจตามเส้นทางตนเอง ประเทศก็จะมั่นคง และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
แต่หากมีกิเลสอยากได้อำนาจขาอื่น ๆ อย่างที่มีตัวอย่างให้เห็น...นอกจากเสียเวลาทำเงินทำทอง ยังอาจเสียชื่อเสียง รวมทั้งเสียชีวิตอีกด้วย

ประชาชน...หรือที่คุณมะยมเรียกว่าอำนาจทางการเมือง การเมืองที่มักจะอ้าง "พลัง" จากประชาชน ไม่ว่ากลุ่มใด พรรคใด ก็จะอ้างประชาชน...
ถ้าประชาชน อยากเป็นใหญ่ในแผ่นดินล่ะ?
ประชาชนกลุ่มใดล่ะ? ถ้ามีหลายกลุ่มล่ะ?
ไม่ได้หมายความว่า ประชาชนไม่ควรมีอำนาจ...แต่ประชาชนก็มีบทบาทที่ตนเองต้องทำ หากคิดทำในบทบาทที่ไม่ใช่...ของตนเอง ความยุ่งยากวุ่นวายย่อมเกิดขึ้น หรือหลงเชื่อ หลงทำตามคำคนอื่นยุยง ตกเป็นเครื่องมือให้คนอื่นใช้ในการระราน ความสงบจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

การตีความ "ตะเกียง" ตามสภาพความคิดอิมซังอ๊ก
น้อมรับความเห็นของทั้งสองท่าน
แม้นแต่ที่เขียนไป ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคิดได้ถูกต้อง
ถือเป็นการคุยกันเล่น ๆ
โดยเฉพาะเรื่องการปกครองบ้านเมือง...ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันได้มากมาย

บางอย่างอาจมีเหตุผล คิดได้ดี แต่ทำจริง...ไม่ได้!
ก็ได้...จริงไหม?






โดย: icechick วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:10:45:55 น.  

 
เรื่องอำนาจในมือประชาชนเนี่ย แล้วแต่นิยามอีก

แต่ถ้ามองว่า การที่ประชาชนก็มีบทบาท แล้ว ทำตามบทบาทหน้าที่นั้น ก็ ถือว่า ทำตามอำนาจเท่าที่มี ก็ คงได้กระมัง

แต่มองข้ามตรงนี้ไปดีกว่า พอดีไปนึกถึงคำสอนท่านพุึทธทาส ท่านว่า การปฏิบัติหน้านี้ของเราเนี่ย ถ้าปฏิบัติได้ดี ได้ถูกต้องตามบทบาทหน้าที่ของเรา

ก็ถือได้ว่า เป็นการปฏิบัติธรรม

มองกลับกัน การปฏิบัติธรรมเป็นคำกว้าง ๆ ไม่จำเป็นต้องไปเข้าวัดเข้าวาก็ได้ ทำตามบทบาทหน้าที่อย่าให้บกพร่อง ก็โอเคแล้ว


โดย: Plin, :-p ไม่ได้ login IP: 202.28.62.245 วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:20:19:36 น.  

 
...ตอนนี้มองว่า เกิดความไม่สมดุลย์ของอำนาจในบ้านเมืองสามส่วน คือ ด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง

ในทางเศรษฐกิจนั้น ได้รับการชูธงให้มีความทันสมัยเสมอ มีการทุ่มทุนนำเข้าเครื่องมือและเทคโนโลยีมากมายหลายหมื่นหลายแสนล้านมาโดยตลอด เพื่อวิ่งไล่กวดให้ทันกับประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย

เทคโนโลยี่เหล่านี้ ได้ทำให้เกิดพลวัตรขึ้นในสังคมไทย มีการการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระดับบนๆของสังคมเสมอมา.....

แต่นักการเมืองและเทคโนแครตกลับทำหูทวนลม นอกจากจะ"ไม่นำพา" ต่อเสียงเรียกร้องแล้ว ยังกระทำในสิ่งตรงกันข้าม ก็คือ การพยายามรักษาอำนาจของตนเองไว้ในมือให้มากที่สุด

...ด้วยเหตุผลของการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม (และสถานะภาพทางสังคมของตนเอง)...

...ส่วนที่ล้าหลังมากที่สุดกลับเป็นด้านการเมือง เพราะตั้งแต่ 14 ตุลา เป็นต้นมา ผู้นำทางการเมืองยังเป็นคนหน้าเดิม เขาเหล่านี้มีอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลและเป็นผู้ชี้นำการพัฒนาของชาติมาโดยตลอด และจะเป็นเช่นนี้อีกนับทศวรรษ ถ้าหากไม่มีอะไรมา "สับราง" ไปสู่เส้นทางใหม่

มะยมชอบใจประโยคของอาจารย์นิธิ ที่เคยบอกว่า "นักการเมืองผู้ล้าหลังทางการเมือง จะไม่มีวันสร้างนวัตกรรมใหม่ทางสังคมได้ ส่วนกลุ่มธุรกิจไทย ก็อ่อนแอทางจริยธรรม เกินกว่าที่จะเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคม"

ในภาวะ "วิกฤติทางอาหาร"ของโลกที่กำลังย่างเข้ามา สังคมไทยจะปรับตัวอย่างไร? ในเมื่อรัฐได้มีนโยบายเปลี่ยนป่า ทุ่งนา ไร่ สวน และแม่น้ำลำคลอง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหาร ให้ไปเป็นสวนอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ยุค "NIC"

ผู้เฒ่าผู้แก่...เคยสั่งสอนเด็กๆมาตั้งแต่จำความได้ว่า "เงินทองคือมายา ข้าวปลาอาหารคือของจริง"

ในเมื่อนโยบายที่ชี้นำสังคมหลงในมายา (เงินทอง) แล้วจะเอาไปแลกข้าวปลาได้จากไหน เพราะค่าเงินก็ลดลงไปเรื่อยๆ ชาวนาไทยก็ไม่มีที่ทำกินเพราะขายให้นายทุนหมดแล้ว ลูกหลานก็ทำนาไม่เป้นเพราะไปรับจ้างทำงานในโรงงานหมด....

มะยมมองอนาคตประเทศไม่ออกเลย...


โดย: มะยม IP: 222.123.162.204 วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:5:28:08 น.  

 
คุณมะยมไม่ต้องมองก็ได้นี่ครับ คุณมะยม "เห็น" ได้นี่

แต่ว่า เห็นด้วยนะเรื่อง ข้าวปลาอาหาร

ส่วนเรื่องชนชั้นปกครองนี้ ไม่อยาก discuss มาก เพราะ ผมเชื่อว่า มันมีอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่เราคาดเดาเอาเองทั้งนั้น ความเป็นจริงเป็นอย่างไร อาจจะไม่สามารถถูกเปิดเผยได้เลยก็ได้


โดย: Plin, :-p (เจ้าของ blog) IP: 202.28.62.245 วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:21:04:08 น.  

 

อาจารย์เคยย้ำลูกศิษย์เสมอว่า ให้ระวัง "จิตสร้างรูป"

ทำให้มะยมเป็นคนที่สงสัยตัวเองเรื่อยว่า รูปที่เห็นเป็นความจริงหรือจิตตัวเองสร้างรูปขึ้นมาตลอด

อาการน่าเป็นห่วงมั๊ยคะเนี่ย


โดย: มะยม(maybe) IP: 203.147.36.34 วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:10:54:41 น.  

 
จิตสร้างรูป อืม.. ประมาณ อุปาทานไป แล้วก็ ยึดมั่นเอาไว้

คนปกติที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ ก็ประมาณนี้แหละ

คงไม่น่าห่วงมั้ง


โดย: Plin, :-p วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:19:38:47 น.  

 
ตอนนี้ "เห็น"ภาพอยู่ภาพนึง....

เป็นภาพเด็กน้อยที่มีจิตใจงดงามละเอียดอ่อน นอนขดตัวอยู่ในเปลือกที่เค้าสร้างห่อหุ้มตัวเองไว้ จนอยากจะปลุกเค้าให้ออกมา...ชมความงามของฤดูกาล

ไม่ว่าฤดูฝน หนาวหรือร้อนแล้ง หากทุกชีวิตก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข ด้วยเพราะความรักที่มีต่อสรรพสิ่งบนโลกใบนี้...นี่คือความงดงามของการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง


โดย: มะยม IP: 222.123.161.60 วันที่: 8 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:16:20 น.  

 
หมายถึงทักษิณเหรอ ??


โดย: Plin, :-p วันที่: 9 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:49:40 น.  

 
หมายถึง "เด็กน้อย" คนนึงค่ะ

เด็กที่กำลังกลัวที่จะเผชิญกับโลกภายนอกเพียงลำพัง(อาจจะกลัวการลับ ลวง พรางอยู่ก็ได้)


โดย: มะยม IP: 222.123.161.124 วันที่: 10 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:38:55 น.  

 
ghjknlk/???????


โดย: ใม่ร้อะไรฝฝฝฝ IP: 125.24.187.232 วันที่: 13 ธันวาคม 2551 เวลา:20:22:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Plin, :-p
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]









Instagram






บันทึก ท่องเที่ยว เวียดนาม


e-mail : rethinker@hotmail.com


Friends' blogs
[Add Plin, :-p's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.