ปัญจกนิบาต
๑. อัญญตราภิกขุนีเถรีคาถา (๖๗) ตั้งแต่เราบวชมาตลอด ๒๕ ปี ยังไม่ประสบความสงบจิตแม้ชั่วเวลาลัดนิ้วมือหนึ่งเลย (๖๘) เราไม่ได้ความสงบจิต มีจิตชุ่มแล้วด้วยกามราคะ ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญเดินเข้าไปสู่วิหาร (๖๙) เราได้เข้าไปหาพระภิกษุณีผู้ที่เราควรเชื่อถือ พระภิกษุณีนั้นได้แสดงธรรม คือ ขันธ์ อายตนะ และธาตุแก่เรา (๗๐) เราฟังธรรมของภิกษุณีนั้นแล้ว เข้าไปนั่ง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง ย่อมรู้ระลึกชาติก่อน ๆ ได้ ทิพยจักษุเราชำระให้หมดจดแล้ว (๗๑) เจโตปริญาณและโสตธาตุเราชำระให้หมดจดแล้ว แม้ฤทธิ์เราก็ทำให้แจ้งแล้ว เราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะแล้ว ทำให้แจ้งอภิญญา ๖ แล้ว ทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ๒. วิมลาปุรณคณิกาเถรีคาถา (สุภาษิตชี้โทษความสวย) (๗๒) เราเป็นผู้เมาแล้วด้วยผิวพรรณ รูปสมบัติ ความสวยงาม บริวารสมบัติ และความเป็นสาว มีจิตกระด้าง ดูหมิ่นหญิงอื่น ๆ (๗๓) ประดับร่างกายงามวิจิตร สำหรับลวงบุรุษผู้โง่เขลา ได้ยืนอยู่ที่ประตูบ้านหญิงแพสยา ดุจนายพรานใช้บ่วงดักเนื้อ ฉะนั้น (๗๔) เราได้แสดงเครื่องประดับต่าง ๆ และอวัยวะที่ควรปกปิดเป็นอันมากให้ปรากฏแก่บุรุษ กระทำมายาหลายอย่างให้ชายเป็นอันมากยินดี (๗๕) วันนี้เรามีศีรษะโล้น ห่มผ้าสังฆาฏิเที่ยวบิณฑบาต แล้วมานั่งที่โคนต้นไม้ เป็นผู้ได้ฌานอันไม่มีวิตก (๗๖) เราตัดเครื่องเกาะเกี่ยว ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ได้ทั้งหมด และทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เป็นผู้มีจิตใจเยือกเย็นดับสนิทแล้ว ๓. สีหาเถรีคาถา (สุภาษิตชี้โทษกามราคะ) (๗๗) เมื่อก่อนเราเป็นผู้ถูกกามราคะเบียดเบียน มีจิตฟุ้งซ่าน จึงทำจิตให้อยู่ในอำนาจไม่ได้เพราะไม่มนสิการโดยอุบายอันแยบคาย (๗๘) เป็นผู้อันกิเลสทั้งหลายกลุ้มรุมแล้ว มีปกติคล้อยตามความเข้าใจในกามคุณว่าเป็นสุข ตกอยู่ในอำนาจแห่งจิตอันสัมปยุตด้วยราคะ จึงไม่ได้ความสงบแห่งจิต (๗๙) เราจึงเป็นผู้ผอมเหลือง มีผิวพรรณไม่ผ่องใสอยู่ตลอด ๗ ปี เราเป็นผู้อันทุกข์ครอบงำแล้ว ไม่ได้ความสบายใจทั้งกลางวันและกลางคืน (๘๐) เพราะเหตุนั้น เราจึงถือเอาเชือกเข้าไปสู่ราวป่า ด้วยคิดว่าจะผูกคอตายเสียในที่นี้ ดีกว่าที่จะกลับไปสู่ความเป็นคฤหัสถ์อีก (๘๑) พอเราจะทำบ่วงให้มั่นคง ผูกที่กิ่งไม้แล้ว สวมบ่วงที่คอ ในทันใดนั้นจิตของเราก็หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย ๔. นันทาเถรีคาถา (สุภาษิตสอนตน) (๘๒) ดูก่อนนางนันทา ท่านจงดูร่างกายอันกระสับส่าย ไม่สะอาดเปื่อยเน่า จงอบรมจิตให้ตั้งมั่นด้วยดี มีอารมณ์เป็นหนึ่งด้วยอสุภสัญญา (๘๓) ร่างกายนี้ ฉันใด ร่างกายของท่าน ก็ฉันนั้น ร่างกายของท่านนั้น ฉันใด ร่างกายนี้ก็ ฉันนั้น ร่างกายเป็นของเปื่อยเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป อันพวกพาลปรารถนากันยิ่งนัก (๘๔) เมื่อท่านพิจารณาร่างกายนี้อย่างนี้ ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน แต่นั้นจักเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญาของตนได้ (๘๕) เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท ค้นคว้าอยู่โดยอุบายอันแยบคาย จึงเห็นกายนี้ทั้งภายในและภายนอกตามความเป็นจริง (๘๖) ที่นั้นเราจึงเบื่อหน่ายในกายและคลายความกำหนัดในภายใน เป็นผู้ไม่ประมาท ไม่เกาะเกี่ยวในสิ่งอะไร เป็นผู้สงบระงับดับสนิทแล้ว ๕. นันทุตตราเถรีคาถา (สุภาษิตชี้โทษการถือผิด) (๘๗) เมื่อก่อนเราบูชาไฟ ไหว้พระจันทร์ พระอาทิตย์และเทวดา ไปสู่ท่าน้ำแล้วลงดำน้ำ (๘๘) เราสมาทานวัตรเป็นอันมาก โกนศีรษะเสียครึ่งหนึ่ง นอนบนแผ่นดิน ไม่กินข้าวในกลางคืน (๘๙) แต่ยินดีในการประดับตกแต่ง บำรุงร่างกายนี้ ด้วยการอาบน้ำ และนวดเฟ้นขัดสี เป็นผู้ถูกกามราคะครอบแล้ว (๙๐) ต่อมาเราได้ศรัทธาในพระศาสดา ออกบวชเป็นบรรพชิต เราพิจารณาเห็นกายตามความเป็นจริงแล้ว จึงถอนกามราคะเสียได้ (๙๑) ตัดภพความอยาก และความปรารถนาทั้งปวง ไม่เกาะเกี่ยวด้วยกิเลสเครื่องประกอบทุกอย่าง บรรลุถึงความสงบใจแล้ว
Free TextEditor
Create Date : 07 ตุลาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2554 10:24:42 น. |
Counter : 1322 Pageviews. |
|
|
|