|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
แกงคั่วอุตพิต
บล็อกที่ 223
"ใครมาขี้ไว้แถวนี้หว่า จับได้แล้วจะตีให้เข็ดเลย.." ผมบ่นพึม ขณะฉายไฟไปตามโคนต้นทุเรียนเพื่อหาทุเรียนบ้านที่ชอบหล่นตอนกลางดึก
ซึ่งก่อนเข้านอนผมจะเปิดประตูหลังบ้านมาหาเป็นประจำ
นั่นเป็นสมัยที่ผมยังเรียนชั้นประถมอยู่บ้านนอก ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีส้วมซึม เรียกว่าสาธารณูปโภคอุปโภคทุกอย่างยังไม่ทันสมัยเลย เจ็บอี้ขึ้นมาก็ต้องไปพึ่งราวป่า พึ่งขอนไม้ในป่าโน่น
ยิ่งถ้าเจ็บอี้ตอนดึกๆแล้วไปกันใหญ่เลย กลัวผีนะสิ ต้องหามุมเหมาะๆหลังบ้านนี่แหละ แล้วตื่นรุ่งเช้ารีบหาที่โกยเข้า รีบโกยอี้ไปทิ้งในป่าอีกที
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมโวยวายว่าไม่รู้ใครไปอี้ไว้แถวต้นทุเรียน
"ไม่มีใครขี้ทิ้งไว้แถวโคนต้นทุเรียนหรอกลูก ที่ลูกบอกเหม็นเมื่อคืนนะ แม่ว่าน่าจะเป็นดอกอุตพิตบานมากกว่า.."
"ดอกอุตพิต มันเหม็นด้วยหรือแม่..?"
"ใช่..อี้ดีๆนี่แหละลูก และมันมักจะบานส่งกลิ่นรวยรินตอนกลางคืน กลางวันไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ต้นมันแกงกินอร่อยนะ พอดีเลย แม่นึกอยากกินแกงคั่วอุตพิตมาหลายวันแล้ว ถ้าลูกไม่ขี้เกียจไปตัดมาให้แม่หน่อยนะ แถวต้นทุเรียนหลังบ้านนั่นละเยอะเลย ตัดแล้วระวังดีๆด้วย อย่าให้ก้านตรงโคนต้นมันไปถูกกับเนื้ออ่อนๆตามแขนล่ะ คนที่แพ้อาจจะคันได้"
"เอาเยอะไหมแม่..?"
"ตััดมาสักกำใหญ่ๆ ก็พอ ที่ชายแดนมีกาบหมากหล่นอยู่เยอะแยะ ตัดใส่กาบหมากมาก็ได้ลูก เพราะเวลาแม่เอามาฝานคั่วจนแห้งแล้วมันจะยุบเหลือนิดเดียว"
ตกลงวันนั้นผมก็ตัดอุตพิตมาให้แม่กำใหญ่มากๆ ใส่มาในทางหมากหรือกาบหมากจนเต็ม อ้อ..ต้องตัดใบออกด้วยนะครับ เราเอาแต่ต้นมัน อุตพิตหน้าฝนต้นทั้งยาวทั้งอวบน้ำ สีเขียวอ่อนสวยงาม แม่นำมาล้างทีละต้นเพื่อให้เศษดินที่ติดอยู่หมดไปจนสะอาด แล้วบรรจงเรียงลำต้นให้ตรงหันโคนไปในทิศทางเดียวกัน วางบนเขียงยาวๆ และลงมือฝานอุตพิตเป็นชิ้นบางๆอย่างชำนิชำนาญ ราวฝานหยวกกล้วยต้มกับรำให้หมูกินเลยเชียว!!
"ทำไมแม่ฝานชิ้นเท่าๆกันละครับ ใช้มีดบางๆสับเอาไม่ได้หรือ"
"ไม่ได้หรอกลูก ถ้าชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง จะมีปัญหาเวลาเอาไปคั่วนะ คือมันจะแห้งไม่พร้อมกัน บางชิ้นเปียกบางชิ้นแห้ง เมื่อนำไปแกงแล้วอาจจะคันได้"
แม่บอกต้องฝานให้ชิ้นบางเท่าๆกัน เพราะเวลาคั่วให้พิษคันในต้นอุตพิตหายไป น้ำที่อยู่ในลำต้นมันจะได้แห้งหายไปหมดทุกชิ้น แกงคั่วกินอร่อยไม่ค้นปากแน่นอน
แม่จากผมไปหลายปีแล้ว ผมไม่ได้กินแกงคั่วอุตพิตนานมากๆ น่าจะเกือบ 20 ปีด้วยซ้ำ
ก่อนเขียนเรื่องนี้ผมได้เข้าไปเสริชหาข้อมูลในเน็ต ไม่เห็นมีใครเขียนเรื่องราวของอุตพิตว่าทำอาหารอย่างโน้นอย่างนี้กินได้ไว้เลยครับ แต่เห็นมีแกงอุตพิตอยู่ถ้วยหนึ่ง ซึ่งไม่ได้อธิบายถึงวิธีการทำกินแต่อย่างใด
ผมไม่รอช้าเลย เมื่อเห็นต้นอุตพิตหลังบ้านแตกกองดงามหลังฝนตกหนักผ่านไปกว่าครึ่งเดือน แม้จะเพียงไม่กี่ยอด แต่ผมก็จะตัดมาทำแกงคั่วกินแล้วละ
นี่ไงครับ ต้นอุตพิต รู้จักกันไหมละ แต่อย่าทำเป็นสุ่มสี่สุ่มห้าไปตัดมันมาเล่นเชียวนะ คันคะเยอจริงๆด้วย
ที่บ้านนอกสมัยก่อนขึ้นอยู่เป็นดง ใครอยากกิน ก็ถือมีดมาตัดได้เลย ไม่มีใครหวงกัน เพราะมันเป็นพืชโบราณที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ขึ้นตรงไหนแล้วก็ไม่มีวันสูญหายไปถ้าไม่ขุดมันทิ้ง มีแต่จะแตกกอใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี
ต้นนี้ดอกมันกำลังบานพอดีเลย เนี่ยละที่มาของความเหม็นในตอนกลางคืน
ว่าไปแล้ว ดอกมันก็ละม้ายแม้นดอกหน้าวัวเหมือนกันนะ
ผมเคยเขียนบล็อก "อ้ายเสือ..บุก" เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการเอาต้นบุกมาแกงกิน อุตพิตก็เช่นเดียวกัน นับเป็นพืชอันตรายหากไม่รู้จักวิธีทำ กินเข้าไปคงคันปากกันอยู่ไม่ถูกแน่
ผมชื่นชมภูมิปัญญาต่างๆของคนโบราณอย่างแม่ที่มีวิธีสยบความคันกับของป่าๆตระกูลบอนพวกนี้ได้ เก่งจริงครับ ซึ่งเด็กสมัยนี้..อย่าคิดนะว่าจะรู้จักทำแกงอุตพิตกิน หรือเพียงเอ่ยชื่อ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินเสียด้วยซ้ำ ก็ขั้นตอนกว่าจะกินได้มันง่ายเสียเมื่อไหร่กันเล่า
แม่ได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตแบบบ้านป่า การหาของป่าหลากหลายมาทำเป็นอาหาร การถนอมอาหารป่าไว้กินนอกฤดูกาล เช่นเห็ดแครงถ้าเก็บมาได้เยอะกินไม่หมดก็ตากแดดเก็บเอาไว้ ส้มพี (หลุมพี) แม่ก็จะตากแห้งคลุกเกลือไว้ใส่ในต้มส้ม มากมายที่ผมจดจำมาถึงทุกวันนี้ ทำให้การใช้ชีวิตการกินอยู่ของผมในปัจจุบันเป็นไปอย่างสวยงามไม่ฟุ้งเฟ้อ
อุตพิตที่ผมตัดมา ได้ไม่มากครับ แต่คงจะสาธิตทำแกงกินได้สักมื้อ
ถ้าเป็นหน้าแล้ง เราจะไม่ได้เห็นต้นมันเลยครับ หัวมันจะฝังอยู่ในดิน ต่อเมื่อหน้าฝนมา ฝนตกชุกโน่นละมันถึงจะแทงยอดออกมาเติบโตเป็นกอๆ ถ้าในดินที่ชุ่มชื้นหน่อย มีหัวพันธุ์เก่าๆอยู่เยอะๆละก็ ขี้เกียจจะตัดกันเลยเชียว
ต้นอุตพิตที่ได้มา นำมาล้างให้สะอาด แล้วหั่นแบบนี้ครับ
ถ้าเป็นของแม่ คงจะหั่นบางๆชิ้นเท่ากันหมด แต่ของผมไม่ครับ เล็กบ้างใหญ่บ้าง 555
อ้อ..ตอนหั่น ถ้าให้ดีควรใส่ถุงมือด้วยนะครับ ป้องกันตัวเองไว้ก่อน ดีกว่าจะมานั่งเกามือในภายหลัง
สมัยก่อน พอหั่นเสร็จ แม่ก็จะติดไฟในเตา เอาอุตพิตเทใส่กระทะ แล้วนั่งคั่วเลย คั่วจนแห้งกรอบเกือบดำ รับรองสารพิษที่ทำให้คันมลายหายไปกับความร้อนเกลี้ยงแน่ๆ
แต่ยุคนี้ ผมไม่ทำอย่างแม่ ผมขี้เกียจนั่งคั่วนานๆ กว่าจะแห้ง สู้เอาไปตากแดดแรงๆสักแดดดีกว่า
พอแห้งแล้วนำมาคั่วแบบนี้ ทุ่นเวลากว่ากันตั้งเยอะ
อุตพิตที่แห้งดีแล้ว เอามาทำกิน ที่นิยมเห็นจะเป็นแกงคั่วใส่กะทินี่แหละ
โดยในการแกง เพื่อความอร่อย อาจจะใส่ปลาย่าง เนื้อปลาต้ม หมูสับ กุ้งสด ได้ทั้งนั้นครับ แล้วแต่จะดัดแปลง
ที่ผมใช้ใส่ในแกงคั่ว วันนี้เป็นกุ้งสดครับ
ขั้นตอนการปรุง ก็ไม่แตกต่างจากการแกงขี้เหล็กเลย เพียงแต่แกงคั่วอุตพิต ส่วนมากจะแห้งๆน้ำแกงขลุกขลิกเท่านั้น
กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยมากครับ
ข้อมูลของอุตพิต ที่ผมค้นคว้ามาจากอินเตอร์เน็ต (อย่าเพิ่งข้ามไปครับ เพราะที่ด้านล่าง มีตำนานของดอกอุตพิตด้วย)
หนังสือสยามไภษัชยพฤกษ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวไว้ว่า... อุตพิต มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Typhonium trilobatum ( Linn.) Schott อยู่ในวงศ์ ARACEAE เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 10-45 ซม. ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเป็นวงบริเวณผิวดิน รูปลูกศรแกมรูปหัวใจ ขอบใบเรียบหรือหยักเว้าเป็น 3 พู กว้างและยาว 10-20 ซม.
ดอกช่อ อัดแน่น เป็นรูปแท่งทรงกระบอก ออกที่ปลายยอด มีใบประดับขนาดใหญ่สีม่วงแดง หรือ ม่วงดำรองรับ ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกันสีเหลืองอ่อน (เมื่อดอกย่อยๆเหล่านี้บานเต็มที่จะมีกลิ่นเหม็นมาก)
ตำรายาไทยใช้ หัวใต้ดิน (บางแหล่งข้อมูลบอกว่า หัว มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ไม่เหม็นเหมือนดอก) รักษาอาการเถาดานในท้อง (อาการแข็งเป็นลำในท้อง) และนำมาหุงเป็นน้ำมันใส่แผล กัดฝ้า กัดหนอง สมานแผล บางแหล่งบอกว่ากาบและก้านใบใช้เป็นอาหารได้ บางแหล่งบอกว่า ราก ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร และ แก้พิษงูได้ พวกข้อมูลทางการเป็นยาของพวกพืชพื้นบ้านและวัชพืชนี่ทำให้ผู้เขียนยิ่งรู้สึกว่า เราได้แต่รับฟังคำบอกเล่าต่อๆกันมา ราวฟังนิยายหรือตำรับยาผีบอก ทั้งๆที่เรามี ทุนธรรมชาติ และ ทุนปัญญา ใช้พืชเป็นได้ทั้งอาหารและยา แต่เรากลับละเลยการทำความเข้าใจ ไม่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พัฒนาทุนที่เรามีให้แข็งแกร่ง เพื่อให้เราพึ่งตนเองได้จากสิ่งที่เรามี
ข้อมูลที่ค้นจากกูเกิ้ลอีกแง่มุมนับว่าน่าสนใจมากเพราะ ไม่ต้องเสี่ยงเอามากิน เอามาทา แต่อุตพิตได้ใช้คุณสมบัติด้านความงามของตนแทน ก็ยังดีกว่าถูกเมินและถอนทิ้ง ...กำลังเป็นที่นิยมปลูกในหมู่ผู้ที่ชอบไม้แปลกๆ นำไปปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ความงามของก้านใบที่บางพันธุ์จะมีลายคล้ายก้านใบต้นบุกดูสวยงามมาก ชาวต่างชาติจะนิยมกันแพร่หลาย ส่วนใหญ่ ปลูกประดับสวนน้ำขนาดเล็ก รวมกับไม้น้ำชนิดต่างๆ สร้างบรรยากาศเป็นธรรมชาติเด็ดขาดนัก
. นอกจากนี้..ผมยังได้นำตำนานดอกอุตพิตจากอินเตอร์เน็ตมาให้อ่าน เลยขอยกมาฝากทุกท่านด้วยครับ
(ขอบคุณอุตพิตดอกนี้จาก..กูเกิ้ล) ....แต่ครั้งแรกเริ่มที่มีดอกอุตพิตเกิดขึ้นในโลก กลิ่นของดอกอุตพิตหอมหวนชวนหลงใหลได้ปลื้มมาก ๆ กลิ่นของดอกอุตพิตนั้นหอมมาก หอมฟุ้งไปถึงสรวงสวรรค์โน่น....
ทำให้เหล่าบรรดานางฟ้าที่ได้กลิ่นหอมพากันเคลิบเคลิ้มดั่งต้องมนต์ ดังนั้นเหล่านางฟ้าจึงพากันตามหากลิ่นหอมนั้นจนมาถึงโลกมนุษย์ และได้พบกับที่มาของกลิ่นหอมนี้คือดอกอุตพิต
ยิ่งได้เห็นความงามของดอกและกลิ่นหอมนั้นยิ่งทำให้เหล่านางฟ้าหลงใหลจนลืมกลับไปยังสวรรค์ เดือดร้อนถึงพระอินทร์ และเหล่าเทวดาทั้งหลายที่เคยมีนางฟ้าปรนนิบัติขับกล่อมทุกวันคืน
พระอินทร์จึงให้เทวดามาตุลี ไปสืบสาวราวเรื่องว่านางฟ้าหายไปไหนกันหมด พอทราบสาเหตุ พระอินทร์ก็โกรธมาก จึงสาปให้ดอกอุตพิตมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง จนไม่เป็นที่โปรดปรานของใครที่ได้พบเห็นอีกต่อไปจนมาถึงทุกวันนี้.....จบ
ขอบคุณข้อมูลทั้งหมดที่ผมได้นำมาเสริมเรื่องจากกูเกิ้ลครับ
ขอบคุณภาพนางฟ้า "ซาร่า" จากละครภาคค่ำ "มณีแดนสรวง"
บล็อกนี้..กล่าวถึงแม่ด้วย เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศวันแม่นะครับ เขียน Blog วันแม่ .."รักแม่ให้โลกรู้" กะเขาบ้าง สักบล็อกก็ยังดี แต่ก็ยังไม่แคล้วเอาอาหารการกินมาเกี่ยวข้องด้วย น่าจะโหวตได้ทั้งสองอย่างเลยใช่ไหมนี่ อย่าลืมโหวตกันละ อิ อิ
สุขสันต์วันแม่กันทุกคนนะคร๊าบ (ภาพถ่ายเล่าเรื่องเมื่อ 20 กว่าปีก่อนมั้ง)
| | |
| |
อึแห้ง...
เคยมีพาดพิงกับ ดอกหน้าวัวเหมือนกัน ลูกค้าต่อรอง
ราคาดอกหน้าวัว ซะ แม่ค้าหน้าเขียว ต่อไงแม่ค้าก็ไม่
ยอม ลูกค้าก็ไม่ยอม.
สุดท้ายแม่ค้าเขาบอกว่า ดอกหน้าวัวมันแพง ก็ไปซื้อ
ดอกอุตพิตแทนก็แล้วกัน 555
เออ..เคยได้ยินเขาว่า เถาวัลย์หญ้า ตดหมา ทำอาหาร
ได้ด้วยจริงหรือเปล่าครับคุณติณ