Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
15 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
การเมืองใหม่

โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช 13 กรกฎาคม 2551 11:48 น.




หมู่นี้เราได้ยินคำว่า “การเมืองใหม่” บ่อยๆ ไม่เฉพาะบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ในแวดวงนักวิชาการรัฐศาสตร์ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน

ระบอบการเมืองของประเทศต่างๆ ในโลก ต่างใช้รูปแบบของประชาธิปไตยโดยมีตัวแทน นานๆ เข้าหลายประเทศก็พบว่า หลักสำคัญบางอย่างของระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะการถ่วงดุลระหว่างอำนาจทั้งสามนั้น ก็ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ความจริงก็คือ ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากกว่าฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเฉพาะในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ

รูปแบบการเมืองที่ว่านี้ ใช้กันมาเป็นร้อยปีแล้ว หลายประเทศเริ่มวิจารณ์ “ประชาธิปไตยแบบตัวแทน” ว่า ผู้แทนไม่ค่อยจะเป็น “ตัวแทน” ของประชาชนอย่างแท้จริง ในระบอบประชาธิปไตย อำนาจของประชาชนจำกัดอยู่เฉพาะวันเลือกตั้งซึ่งสี่ปีจะมีครั้งหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้พูดถึง “ประชาธิปไตยทางตรง” และประชาธิปไตยโดยการปรึกษาหารือมากขึ้น ในแคนาดามีขบวนการส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของพลเมืองอย่างกว้างขวาง นักวิชาการหันมาเน้นกระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย ว่ามีมากน้อยเพียงใด

สำหรับประเทศไทยเรา ปัญหาหลักตลอดระยะเวลา 70 กว่าปีที่ผ่านมา คือ ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยของกติกาการปกครอง นั่นก็คือ รัฐธรรมนูญของเรามีบทบัญญัติที่ขัดกับหลักประชาธิปไตยหลายเรื่อง แต่เมื่อ พ.ศ. 2540 รัฐธรรมนูญได้มีลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าในอดีต

แม้กระนั้น การเมืองของเราก็ยิ่งมีปัญหาหนักขึ้น จุดสำคัญก็คือ กระบวนการเข้าสู่อำนาจซึ่งแต่เดิมยังมี 2 ลู่คือจากพลังทางสังคม เช่น ระบบราชการ และจากพรรคการเมือง ต่อมาการเข้าสู่อำนาจเหลือเพียงลู่เดียวคือ ผ่านพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งของเราต้องใช้เงินมาก การได้อำนาจทางการเมืองจึงต้องทำ 2 สิ่ง คือ หนึ่ง ใช้ตำแหน่งทางการเมืองถอนทุนคืน และสอง ใช้ตำแหน่งทางการเมืองหาเงินเก็บไว้ใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

เราวนเวียนอยู่ในการเมืองแบบนี้มาเป็นเวลานาน และตราบเท่าที่ยังคงใช้วิธีการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองแบบลู่เดียว เราก็จะพบกับปัญหาเก่าๆ แม้รัฐธรรมนูญจะให้มีองค์กรอิสระมากำกับดูแล แต่ก็ไม่เป็นผล เวลานี้จึงเหลือแต่ฝ่ายตุลาการเท่านั้นที่พอจะทัดทานถ่วงดุล ตรวจสอบนักการเมืองได้

“การเมืองใหม่” จึงหมายถึงการทบทวนรูปแบบ และวิธีการได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองแบบเดิม แล้วหารูปแบบ วิธีการใหม่ ข้อสำคัญก็คือ รูปแบบและวิธีการใหม่นี้จะต้องได้รับความเห็นชอบ และมีความชอบธรรม

“การเมืองใหม่” มีสองความหมาย คือ ความหมายอย่างแคบ และความหมายอย่างกว้าง อย่างแคบนั้นหมายถึงโครงสร้าง และกระบวนการทางการเมืองอย่างกว้างขวางหมายถึง นโยบายและมาตรการทางการเมืองที่มีลักษณะเฉพาะ และเหมาะสมกับสภาพการณ์ของสังคมไทย

โครงสร้างและกระบวนการทางการเมือง ที่จะต้องมีการทบทวนกันก็คือ การได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เราจะมีลู่เดียวแบบเดิม คือ ผ่านพรรคการเมือง-การเลือกตั้ง-สภาผู้แทนราษฎร-รัฐบาล หรือจะมีมากกว่าหนึ่งลู่ นั่นคือ ถ้าถือว่าพรรคการเมืองเป็นเพียงองค์กรหนึ่งภายในสังคมเท่านั้น ยังมีกลุ่มประชาชน กลุ่มอื่นๆ ด้วย หากรับความเป็นจริงในสังคมไทยที่ว่า มีกลุ่มที่เข้าร่วมทางการเมืองหลายกลุ่ม ไม่จำเป็นจะต้องถือว่า การเข้าร่วมและจัดตั้งพรรคการเมืองเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในรัฐสภาและรัฐบาลได้ เราก็น่าจะยอมให้มีตัวแทนของประชาชนที่มิใช่นักการเมืองจากพรรคการเมืองด้วย วิธีการที่จะมีความชอบธรรมก็คือ ให้ตัวแทนจากองค์กรประชาชนเลือกกันเข้ามาเป็นตัวแทนภาคประชาสังคม ส่วนพรรคการเมืองจะแข่งขันกันทางการเมืองก็แข่งกันไป แต่มิใช่ให้พรรคการเมืองเท่านั้นที่ผูกขาดการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง

พรรคการเมืองควรมีผู้แทนในสภาฯ กี่ส่วน จาก 30-70% ถ้าดูพรรคการเมืองในประเทศไทยที่มีฐานมวลชนแคบมากแล้ว 30% ก็น่าจะดี อีก 50% น่าจะมาจากองค์กรปกครองท้องถิ่น และ 20% มาจากองค์กรประชาชน ถ้าเป็นเช่นนี้ หากจะมีการซื้อเสียง ผู้ต้องการได้อำนาจทางการเมืองก็ต้องใช้เงินมากขึ้น วิธีการที่ป้องกันไม่ให้เกิดการซื้อเสียงได้เลย ก็ต้องอาศัยวิธีการสรรหาที่ไม่ใช่การเลือกตั้ง หากกรรมการสรรหาเป็นผู้ซื่อตรงเที่ยงธรรม ซื้อไม่ได้ การสรรหาส่วนหนึ่ง ก็น่าจะแก้ปัญหาโลกแตกได้

การเมืองใหม่ในความหมายกว้างก็คือ การมีแนวนโยบายที่ไม่ปล่อยให้ทุนนิยมเต็มรูปเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจไทย นั่นก็คือ ส่งเสริมวิถีชีวิตทางเลือกอย่างจริงจัง สนับสนุนระบบเศรษฐกิจพอเพียง และไม่เปิดตลาดเสรีมากจนเกินไป

การเมืองใหม่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการได้มาซึ่งผู้แทนราษฎรได้หรือไม่ คำตอบคือเป็นไปได้ หากเรามีพรรคการเมืองที่เดินแนวทางดังกล่าวข้างต้นอย่างจริงจัง และเกิดการปฏิรูปการเมืองขนานใหญ่โดยพรรคการเมืองลดการซื้อเสียงลง

ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เราต้องมาช่วยกันคิดว่าทำอย่างไร การเมืองไทยจึงจะพ้นสภาพที่ไม่พึงปรารถนา วิธีการใดจึงจะลด และขจัดการซื้อเสียงได้

ในที่สุด ประเทศไทยก็อาจต้องหันไปหาระบอบ “กึ่งประชาธิปไตย” คือ ให้มีการร่วมกันใช้อำนาจระหว่างนักการเมืองกับพลังอื่นๆ ในสังคม ซึ่งแต่ก่อนคือ ข้าราชการ แต่ในปัจจุบันพลังขององค์กรประชาชนตื่นตัวมาก การร่วมกันใช้อำนาจนี้ก็น่าจะเป็นระหว่างนักการเมือง-ข้าราชการ-ภาคประชาสังคม ส่วนจะจัดกันอย่างไรนั้น ควรมีการพิจารณารายละเอียดกันอีกครั้ง

ในสังคมที่คนรังเกียจการเมือง และมีนักการเมืองแบบนี้สมควรหรือไม่ที่เราจะฝากอนาคตของชาติไว้กับนักการเมืองแต่เพียงกลุ่มเดียว





Create Date : 15 กรกฎาคม 2551
Last Update : 15 กรกฎาคม 2551 12:34:38 น. 1 comments
Counter : 550 Pageviews.

 
หากกรรมการสรรหาเป็นผู้ซื่อตรงเที่ยงธรรม ซื้อไม่ได้ การสรรหาส่วนหนึ่ง ก็น่าจะแก้ปัญหาโลกแตกได้

มันจะทำได้ยังไง กรรมการสรรหาเป็นผู้ซื่อตรงเที่ยงธรรม เฮ้อ คิดไปได้


โดย: chengake วันที่: 23 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:56:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

pitasanu
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Education is life long learning
การศึกษา เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต
Friends' blogs
[Add pitasanu's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.