กรกฏาคม 2560

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
::บันทึกการเดินทาง:: Hello Osaka! I'm coming!








::บันทึกการเดินทาง:: Hello Osaka! I'm coming!



"พี่นุ้ยไปญี่ปุ่นกัน"

จากคำชักชวนของแสตมป์ น้องร่วมสายงานแต่ทำงานกันคนละที่ในวันนั้น ทำให้นุ้ย พี่บัว พี่รถเมล์ และแสตมป์ มายืนงงๆ อยู่ ณ สนามบินคันไซ โอซาก้าาาาาา (กรีดกรายพร้อมน้ำเสียงของมิสแกรนด์พั๊งงงงง งา)



จะว่าไปก็นานมากแล้วที่ไม่ได้ออกนอกประเทศกับเป็นกลุ่มแก๊งค์ แถมยังไปกับเพื่อนร่วมงานอีก ตอนแรกเราคุยกันตั้งแต่เดือนเมษา คร่าวๆแค่ไปญี่ปุ่น แต่ยังไม่ได้คิดว่าจะไปเมืองไหน หรือไปช่วงไหน แต่พอสุมหัวคุยก็ได้มติว่า อยากไปช่วงอากาศเย็นๆ ไม่หนาวมาก แต่ใส่เสื้อโค้ทได้ และถ่ายรูปสวย เพราะฉะนั้นฤดูใบไม้ร่วงเนี่ยแหละตอบโจทย์เราที่สุด



ฤดูใบไม้ร่วงที่ญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ถ้าอากาศไม่แปรปรวนมากนัก ใบไม้จะเริ่มแดงตั้งแต่ตอนบนไล่ลงมาตอนล่าง คิดคร่าวๆก็ช่วงเดือนพฤศจิกายนน่าจะกำลังดี นุ้ยรับหน้าที่จองตั๋วเครื่องบินระหว่างนั้นก็เช็คราคาเรื่อยๆ จนเข้าเดือนสิงหาคม เงื่อนไขในครั้งนี้คือค่าตั๋วเครื่องบินบวกค่าที่พักต้องไม่เกิน 15,000 บาท โชคดีที่ตอนนั้น Hongkong Airlines มีโปรโมชั่นอยู่ ตั๋วเครื่องบินประมาณ 10,xxx บาทระหว่าง Tokyo กับ Osaka ราคาต่างกันประมาณพันกว่าบาท ซึ่งแน่นอนค่ะ เราเลือก Osaka เพราะถูกกว่า! (วิถีคนงก) แต่พอกดจองจริงๆราคามันเด้งขึ้นมาเป็น 11,500 บาท แต่ก็โอเค ยังพอรับได้


ส่วนที่พักตอนแรกก็ดูพวกโรงแรมและ Hostel แต่ห้องแบบ 4 คนและห้องน้ำในตัวค่อนข้างหายาก ที่มีก็ราคากระอักเลือดอยู่ แสตมป์เลยใช้บริการ Airbnb เป็นห้องอพาร์ตเม้นท์แถวสถานี Shin-Osaka อยู่ได้ 4คน มีห้องครัวในตัว ห้องน้ำมีอ่างไว้แช่ขาตอนเดินเยอะๆ จำนวน 4 คืนในราคา 8 พันกว่าบาท ซึ่งหารกันแล้วตกคนละ 2,xxx บาท ราคาที่พักและตั๋วเครื่องบินรวมกันไม่เกินงบ แถมยังเหลือเงินไปซื่อตั๋ว Universal Studio Japan ได้อีก เริศค่าาาาาา และหลังจากที่จองตั๋วเสร็จก็มานั่งลุ้นกันต่อว่าช่วงที่ไปจะตรงกับใบไม้แดงช่วงพีครึเปล่า พอที่ญี่ปุ่นประกาศออกมาปรากฎว่าเฉียดไป 2 อาทิตย์ เราไปเร็วกว่าช่วงพีค ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าแม้จะไม่ใช่ช่วงพีคแต่ก็คงมีใบไม้เหลืองๆ ส้มๆ มั่งแหละเนาะ




ตัดภาพมาที่ Hongkong Airlines ส่งเมลมาขอเลื่อนไฟล์ท BKK-HKG จากตี 4 เลื่อนขึ้นเป็นตี 2 ไปถึงฮ่องกง 6 โมงเช้า เท่ากับว่าต้องไปนั่งแกร่วที่สนามบินฮ่องกง 5 ชั่วโมงกว่า เพื่อเปลี่ยนเครื่องไปโอซาก้าตอน11.30 น. ก็เลยเกิดสภาพแบบนี้....




แต่เอาเข้าจริงๆ พอไปถึงสนามบินฮ่องกงเราก็เดิน Duty Free กันพรุนมากเลยนะ ด้วยความที่ก่อนหน้านี้นั่งเช็คสภาพอากาศมาตลอด แต่พอถึงวันบิน อากาศมันดันลดลงเหลือแค่เลขตัวเดียว นี่เลยไปจัดเสื้อโค้ทเพิ่มที่ Zara ถึงจะไม่ได้แลกเงิน HKD มาแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาค่ะ บัตรเครดิตช่วยคุณได้ ซึ่ง Zara ที่ฮ่องกงหลายอย่างถูกกว่าที่ไทย แม้ว่าเรทบัตรเครดิตจะแพงกว่าแลกเงินสดไปก็ตาม เพราะฉะนั้นจัดไปค่ะ!! 



พูดถึงอาหารบนเครื่อง ปกติบินไฟล์ท BKK-HKG ของ Hongkong Airlines ก็จะได้แซนวิชไก่ชีสร้อนระอุกับน้ำ ตอนแรกๆที่บินก็กินด้วยความอร่อยอยู่หรอกนะ แต่พอบินบ่อยๆ เจอไก่ชีสหลายรอบก็เริ่มเบื่อจนตอนนี้ไม่กงไม่กินมันแล้วจ้า เอาเวลาไปนอนดีกว่า แต่ไฟล์ท HKG-KIX ได้อาหารเป็นเซ็ท ดีต่อใจมากๆ คุณแอร์ให้เลือกระหว่างไก่กับมันบด และข้าวหน้าหมูอะไรสักอย่าง แต่นี่อยากกินข้าวเลยเลือกข้าวหน้าหมูมา ซึ่งในส่วนของรสชาตินั้น....ข้ามมันไปเถอะค่ะ ถือว่ากินกันตาย จริงๆ ในความรู้สึกเราคิดว่าอาหารของการบินไทยอร่อยที่สุดแล้ว โดยเฉพาะข้าวทะเลพริกไทยดำ อร่อยจนอยากจะขอเพิ่ม แต่ราคาตั๋วเครื่องบินพี่ถ้าไม่มีโปรก็แพงไม่ปราณีหนูเลยค่ะ *น้ำตาไหลพรากกกกก*




จากสนามบินนานาชาติฮ่องกง ถึงสนามบินคันไซใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า ขาก็แตะพื้น วินาทีแรกแอบตกใจเล็กน้อยนึกว่าแลนด์ผิดมาลงดอนเมืองซะอีก บรรยากาศไม่แตกต่างเลย ถึงแม้ว่าสนามบินคันไซจะค่อนข้างเล็ก แต่ข้อดีคือไม่ต้องเดินไกล นั่งรถไฟข้ามเทอมินอลสองป้าย สั้นกว่าป้ายรถเมล์แถวบ้านอีกมั้ง แป๊บเดียวลัดถึง ตม. และเจ้าหน้าที่ที่นี่พูดภาษาไทยได้ด้วยจ้า ผ่านตม. ออกมาก็มานั่งงมหาทางนั่งรถไฟเข้าเมืองกันต่อ แสตมป์หาข้อมูลว่าเราต้องไปซื้อบัตร ICOCA กับตั๋วรถไฟ Haruka แบบแพ็กเก็จในราคา 4,600¥ โดยจะได้ตั๋วรถไฟ Haruka เข้าเมืองไป-กลับ แล้วก็บัตร ICOCA ใช้ขึ้นรถไฟ รถเมล์ ซื้อของวงเงินในบัตร 2,000 ¥ แต่ใช้ได้ 1,500¥ อีก 500¥ เป็นค่ามัดจำบัตร ส่วนลายหน้าบัตรมีให้เลือกหลายแบบแต่ตอนที่ไปมีลายคิตตี้กับปราสาทโอซาก้า พนง. บอกว่ามันเป็นลาย Limited อ่ะ..ก็เป็นทาสการตลาดกันไป





ช่วงเดือนพฤศจิกายนถือว่าใกล้ฤดูหนาว แม้ว่าใบไม้จะยังไม่แดง และยังไม่ร่วง แต่ท้องฟ้าที่นี่มืดเร็วมากออกมาจากสนามบินตอน 5 โมงเย็นคือมืดไปหมด ไม่รู้ง่าแพลนที่วางไว้ตอนแรกคือเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องแล้วออกไปหาอะไรกินแถว Dotonbori จะยังได้ไปอยู่มั้ย 


เนื่องจากที่พักที่จองไว้อยู่ใกล้สถานี Shin-Osaka นั่งรถไฟ Haruka ต่อเดียวถึงเลย สะดวกสบาย ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ซึ่งสถานี Shin-Osaka เป็นสถานีใหญ่ ทางออกมากมายมหาศาล คนก็เช่นเดียวกัน เดินกันเวียนหัวไปหมด ทีนี้ก็งานเข้าละเพราะไม่รู้ว่าต้องไปออกประตูไหน เลยตัดสินใจเดินตามคนเยอะๆ ไป แล้วค่อยเปิดกูเกิ้ลแมพเดินเอา โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะในครั้งนี้ เพราะทางที่เดินงมกันมาเจอทั้งลงทางลอดรถไฟ ข้ามถนน ข้ามแยก เลาะเข้าซอย เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เดินจนล้อกระเป๋าจะหลุดเพื่อพบว่าเราเดินวนกันเป็นสี่เหลี่ยม หูยยยย ตัดกำลังขาขั้นสุดอ่ะ 



และในที่สุดเราก็มาถึงอพาร์ตเม้นท์ที่จองไว้จนได้ แต่อุปสรรคยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะหลังจากที่แสตมป์เดินไปเอากุญแจที่เจ้าของห้องล็อกเอาไว้มา เราสี่คนก็อุทานอยู่ในใจด้วยคำว่า 'ชิ*หายแล้ว' เพราะหน้าทางเข้าตึกมีป้ายว่า 'ตึกนี้ไม่อนุญาตให้ใช้เป็นห้องพัก Airbnb' แถมที่ Front desk ก็มีโอจี้ซังนั่งคุมอยู่ด้วย สุดท้ายเราก็ตัดสินใจลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปอย่างเนียนๆ ซึ่งโอจี้ซังก็ไม่ได้สนใจแม้แต่จะปรายหางตาขึ้นมามองด้วยซ้ำ


ห้องที่เราพักจริงๆ ถ้านอนสองคนคิดว่ากำลังดี คิดว่าห้องไม่น่าจะเกิน 30 ตรม. แต่แบ่งสัดส่วนแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่พอต้องมาอัดกันสี่คนมันก็จะเบียดๆนิดนึง เลยกางเตียงแล้วดันให้ติดกันก็นอนได้สบายๆแต่พื้นที่วางกระเป๋าแทบจะไม่มีเลย เอาน่ะ คิดซะว่าเอาไว้นอนกับเก็บของแล้วกัน จัดแจงอะไรเสร็จก็สองทุ่มกว่า เลยคุยกันว่าจะเอายังไงดี ไป Dotonbori ก็กลัวพวกร้านข้าวไรงี้ปิดกันไปก่อน แถมยังกลัวรถไฟหมดด้วยแต่จะให้มื้อแรกในโอซาก้าไปซื้ออาหารเวฟที่เซเว่นหน้าตึกมากินก็ไม่โอเค เลยตัดสินใจไปกินราเมงข้อสอบที่ Umeda แล้วกัน 



มื้อแรกของการดำรงชีวิตในโอซาก้าก็จะมึนๆ งงๆ หน่อย เพราะยังวุ่นวายกับการนั่งรถไฟที่พันกันยั้วเยี้ยไปหมด ตอนนั้นนุ้ยมีหน้าที่เดินตามอย่างเดียวจ้า แต่ความพังยังไม่จบเมื่อเราหลงทางอีกรอบ เพราะไม่รู้ว่าจะไปออกประตูไหน เดินวนกันอยู่แถวนั้นจนมีคุณแม่ลูกสองเดินผ่านมาเสนอตัวช่วยเหลือ ก็ฟุดฟิดฟอไฟกันไปแต่คือชีก็ไม่รู้ทางเหมือนกัน และชีก็ไม่ยอมแพ้คว้ากูเกิ้ลแมพเดินเข้าไปถามทางในร้าน Suit Select ให้ และเหมือนพนักงานในร้านก็ไม่รู้ งมไปงมมาอ้าว! ทางออกอยู่ข้างหน้านั่นแหละ ตอนร่ำลาและขอบคุณ คุณแม่กับลูกสองคนเลยขอถ่ายรูปด้วย และในที่สุดเราก็ไม่อดตาย กระเสือกกระสนมาถึงร้าน ICHIRAN Ramanกันจนได้ น้ำตาจะไหล




ICHIRAN Raman หรือราเมงข้อสอบที่คนไทยเรียกกัน มีแต่คนการันตีว่ามันอร่อยมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานเพิ่มขึ้นสามสิบเปอร์เซนต์ จนกระทั่งไปไปถึงร้านก็ไม่คิดว่าคนจะเยอะถึงขั้นต่อคิววนลงไปชั้นใต้ดิน ระหว่างต่อคิวพนักงานก็เอาใบสั่งอาหารมาให้เลือกวงว่าจะเอาน้ำซุปแบบไหน เส้นราเมงนิ่มมากมั้ย เผ็ดรึเปล่า เอาชาชูกี่ชิ้น เพิ่มไข่ เพิ่มหน่อไม้ หรือเห็ดหูหนูมั้ย ก็จิ้มๆกันไป เสร็จแล้วก็เดินไปหยอดเหรียญ สนนราคามื้อนี้ที่เกือบ 1พันเยน เพราะเพิ่มมันทุกอย่างด้วยความหิวโหย  เนื่องจากเราไปกัน 4 คน แต่ที่นั่งเป็นแบบล็อกๆ แยกเดี่ยวเราจึงต้องแยกกันไปนั่ง 2-2 ส่วนรสชาติก็ถือว่าอร่อยนะ แต่พอกินเยอะๆแล้วก็รู้สึกเลี่ยนไปนิดนึง 



กว่าจะกินเสร็จกัน ออกมาอีกทีก็เกือบสี่ทุ่ม ก็เลยไปเดินเล่นที่ร้าน Don Quijote หูยยยย ขาแทบไม่ติดพื้นอยากซื้อนั่นซื้อนี่เต็มไปหมด แต่คือเพิ่งจะวันแรกยังไม่อยากล้มละลายทางการเงินเลยเล็งๆ ไว้ก่อน วันช้อปเมื่อไรจะมาจัดการค่ะ!!! แต่การเดินร้านด๊องกี้มันเพลินมากนะ ด้วยความที่มันเปิด 24 ชั่วโมง แล้วคือมี 7ชั้น ก็เดินวนกันไป รู้ตัวอีกทีคืออีก 15 นาทีเที่ยงคืน วิ่งสิคะ รออะไร เราจะต้องไม่พลาดรถไฟขบวนสุดท้ายคือไม่รู้หรอกว่าขบวนสุดท้ายมันกี่โมง หรือออกไปแล้วรึยัง แต่ทุกคนมีธงในใจคือเที่ยงคืนรถไฟมันหมดแน่ๆ ก็วิ่งกันลิ้นห้อยอีกแล้ว ราเมงที่กินมาย่อยหมด ไม่เหลือเลย กลับถึงที่พักเที่ยงคืนกว่าเลยแวะซื้อพวกอาหารเวฟกลับไปที่ห้องเผื่อมื้อเช้าด้วย โชคดีที่เลือกที่พักรายล้อมไปด้วยของกิน คือยังไงก็ไม่อดตาย มีทั้ง SE7EN, Family Mart, Lawson 100 ไหนจะมีร้านเบนโตะอีก แฮปปี้มากค่ะ จัดการทั้งน้ำทั้งขนมกันไปเต็มสองมือ 


แป๊บเดียวก็หมดวันแรก ณ โอซาก้า พรุ่งนี้เรามีแพลนจะไปเกียวโต ไปคินคะคุจิ, ฟูชิมิอินาริ แล้วก็ใส่กิโมโนไปเดินวัดคิโยมิสึ เพราะฉะนั้นจะต้องออกจากที่พักไม่เกิน 9 โมง ทุกคนตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ 7 โมงตรง มาลุ้นกันค่ะว่าจะรอดหรือร่วง!!!!




Create Date : 21 กรกฎาคม 2560
Last Update : 21 กรกฎาคม 2560 23:52:22 น.
Counter : 793 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมีน้อยพุงพลุ้ย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]