Don't Worry, Be Happy

<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
31 ธันวาคม 2551
 

Title: ดึงหัวใจ...เก็บไว้ที่ภูกระดึง


ดึงตัว...ไปเที่ยว

บ่ายแก่ๆ วันหนึ่งในขณะที่ผมทำงานอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางเสียงโทรศัพท์หลายสายที่พร้อมใจกันส่งเสียงคล้ายดนตรีออเครสตาเพื่อเขย่าโสตประสาทหูของผม ซักพัก...เสียงเจื้อยแจ้วของลูกน้องสาวก็ดังขึ้น
“พี่โทรศัพท์ของพี่อ่ะ” ผมหยุดทำงาน มองโทรศัพท์อย่างเซ็งอารมณ์ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ใครมันโทรมาวะ...” ผมสบถเบาๆ พร้อมกับเอ่ยสวัสดีลงบนหูฟังโทรศัพท์ที่ลูกน้องสาวหยิบยื่นมาให้

“ไปเที่ยวภูกระดึงกัน...” นี่คือประโยคแรกที่ปลายสายพูดกรอกหูโทรศัพท์ส่งตรงมาถึงผม เป็นเพื่อนสาวต่างแผนกในบริษัทของผมนั่นเอง และเป็นประจำทุกครั้งหากมีใครชวนไปเที่ยวต่างจังหวัด ผมแทบจะตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า... “ไปสิ” โดยหารู้ไม่เลยว่า งานกำลังจะเข้าตัว...

จากจำนวนสมาชิกพิชิตภูกระดึง 8 คน เหลือเพียง 5 (ในจำนวนนี้มี 2 คนที่เป็นคู่รักกัน และอีกสองเป็นเพื่อนสาว) จากผมที่เป็นแขกรับเชิญ กลับกลายเป็นพ่องานที่ต้องจัดหาของให้ทุกอย่าง (โทษฐานที่พวกมัน เอ๊ย พวกหล่อนรู้ว่าผมท่องเที่ยวคนเดียวบ่อย) ตั้งแต่การจองเตนท์ จองรถทัวร์ เชควันว่าง เลยเถิดไปถึงจัดหาไฟฉายให้แต่ละคน

“อืม...สรุปคือกรูเป็นตัวตั้งตัวตีใช่ไหมเนี่ย” ผมบ่นกับตัวเองเล็กน้อย แต่...เพื่อภูกระดึงสถานที่หนึ่งในสามที่ผมอยากไปที่สุด (อีกสองที่คือเชียงคาน และอัมพวาที่ผมเพิ่งได้ไปก่อนหน้าที่จะเดินไปทางไปภูกระดึงไม่กี่วัน) ไม่มีปัญหา จัดให้ได้อยู่แล้ว...

ซึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องเตรียมก็คือ การจองเตนท์ครับ ผมไม่สามารถที่จะไว้ใจได้หากเดินทางไปถึงภูกระดึงในช่วงฤดูการท่องเที่ยวแล้วค่อยทำเรื่องติดต่อจองเตนท์ทีหลัง (อีกอย่างคือมีอีก 4 ชีวิตที่ผมต้องรับผิดชอบด้วย) มันเสี่ยงต่อการไม่มีที่พักเป็นอย่างมาก (แม้จะมีเตนท์ของเอกชนให้เช่าต่างหาก เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนแล้วก็เถอะ) ซึ่งวิธีการจองเตนท์นี่สุดจะง่ายแสนง่ายครับ เพียงเข้าไปที่ www.dnp.go.th ซึ่งเป็นเวบไซต์ของอุทยานแห่งชาติ และมีระบบการจองที่พักแบบออนไลน์ด้วย แล้วเราก็เลือกอุทยานที่เราต้องการจะไปซึ่งก็คือ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จากนั้นก็ดูสถานที่กางเตนท์ว่าจะเอาโซนไหน เมื่อเลือกแล้วก็กรอกรายละเอียดแบบฟอร์มที่ทางเวบไซต์ทำไว้ให้เป็นขั้นๆ จนกระทั่งจบขั้นตอน เมื่อเราได้ใบเสร็จที่ทางเวบไซต์ออกให้มาแล้ว ก็ปรินท์ออกมา แล้วเอาไปจ่ายเงินค่าจองเตนท์และสถานที่ ที่ธนาคาร...เห็นมะง๊ายง่าย


ดึงขา...ออกเดินทาง

เวลา 22.15 ก็ได้เวลาออกเดินทางจากหมอชิตมุ่งหน้าสู่เมืองเลย และสถานที่ที่เราจะไปลงที่แรกก็คือ ผานกเค้า ผมและพรรคพวกต่างก็นอนหลับอย่างรวดเร็วเพราะต่างรู้ดีว่า เมื่อถึงที่หมายแล้วต้องใช้แรงอีกมากในการเดินทาง

6 ชั่วโมงต่อมาพวกเราก็เดินทางมาถึงผานกเค้าจนได้ซึ่งเมื่อลงมาจากรถแล้ว บอกได้คำเดียวครับว่า หนาวมากๆ จนผมทนไม่ไหวต้องหยิบหมวกไหมพรมขึ้นมาใส่ และเดินไปซื้อถุงมือจากร้านค้าที่เปิดไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน ทานข้าวล้างหน้าล้างตา รอเวลาที่สองแถวจะออกรถไปที่เชิงเขาภูกระดึงตอน 6 โมงเช้า


เมื่อเดินทางมาถึงเชิงเขาภูกระดึง ก่อนที่จะขึ้นไปบนภูฯ ก็ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ตามอาคารซุ้มต่างๆ เป็นเรื่องของที่พักไปซุ้มที่ 1 (สำหรับใครที่นำเตนท์มาเองก็ไปที่ซุ้มที่ 2 เพื่อติดต่อชำระค่าธรรมเนียมที่กางเตนท์ได้เลยครับ)

จากนั้นสำหรับใครที่นำพวกขวดพลาสติก ถุงพลาสติกขึ้นไปด้วยให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ซุ้มที่ 3 เพื่อจ่ายเงินมัดจำตามชิ้นสิ่งของที่เราเอาขึ้นไป และวันลงมาก็เอาขยะที่เราเอาขึ้นไปนั้นมารับเงินคืนกับเจ้าหน้าที่ เพื่อแสดงว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วย...

และสำหรับใครที่ไม่ต้องการแบกสัมภาระขึ้นไปเองก็ให้ไปติดต่อที่ซุ้มที่ 4 ซึ่งค่าลูกหาบนี่คิดเป็นกิโลกรัมละ 15 บาทครับ แต่พวกผมจะแบกขึ้นไปเองเพราะต้องการให้ได้ฟีล...อิอิ (หารู้ไม่ว่านรกกำลังจะมาเยือน) จากนั้นก็ไปซุ้มสุดท้าย เพื่อไปจ่ายค่าธรรมเนียมเดินขึ้นเขา เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลา...ลุย!


ก่อนเดินทางเรามารู้จักภูกระดึงกันก่อนไหมครับ...ซึ่งภูกระดึงนี้เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด โดยมีที่ราบบนยอดภูประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร (37.500 ไร่) และมีระดับความสูงอยู่ระหว่าง 400-1200 เมตรจากระดับน้ำทะเล จุดสูงสุดอยู่ที่คอกเมย ซึ่งสูงถึง 1,316 เมตร โอ้ย...มีอีกเยอะครับสำหรับข้อมูล เอาเป็นว่ารู้เป็นน้ำจิ้มแค่นี้ก็พอนะครับ...

แต่ว่ายังไม่ทันจะได้เริ่มไปไหน ลางดีก็ส่อเค้ามาแต่ไกลครับ เพราะสายสะพายจากกระเป๋าของผมทะลึ่งขาดซะอย่างงั้น เฮ้อ...ยังไม่ทันออกเดินก็มีปัญหาเสียแล้ว อย่างไรก็ตามพวกเราเริ่มต้นด้วยความร่าเริง เดินไป ถ่ายรูปไปอย่างสนุกสนาน แต่แค่เพียงไม่นานครับ ผมจากเสื้อกันหนาวหนาสองชั้น หมวกไหมพรม ถุงมือก็ถูกถอดออกทีละชิ้นๆ จนเหลือแต่เสื้อยืดตัวเดียว ส่วนที่เหลือไม่ต้องพูดถึง เก็บเสื้อหนาวเข้ากระเป๋าเป็นแถว และเสียงบ่นว่าของหนักก็ออกมาจากปากของสองสาวเรียบร้อย (อีกสองคนที่เป็นคู่รักกันนี่เดินไปไหนถึงไหนกันแล้ว) แต่พวกเธอก็ยังยืนกรานว่าจะแบกเอง เมื่อผมอาสาจะช่วยเธอถือของให้ หรือไม่ก็แบ่งสัมภาระมาที่ผม อืม...สปิริตแรงกล้าจริงๆ



เดินขึ้นเขากันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย...

และแล้วพวกเราก็ถึงจุดพักผ่อนที่แรกก็คือ “ซำแฮก” ที่มีระยะทางจากเชิงเขา 1000 ม. ครับ...พวกเราก็หอบแฮ่ก สมชื่อเลยครับ นั่งพักไม่นานก็เริ่มเดินทางต่อ ซึ่งระหว่างทางพวกเราก็ได้พูดคุย ทักทายกันเล็กน้อยกับหลายคนที่เดินขึ้นมาพร้อมกับเรา สังเกตุได้ว่าแม้แต่ละคนจะเหนื่อยล้าเพียงไร แต่ก็ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้กันในการเดินทางขึ้นสู่ยอดภูกระดึง พวกเราได้เห็นความรักของสองตายายที่จูงมือกันเดินขึ้นแซงหน้าพวกเราไป เห็นเด็กตัวเล็กๆเดินขึ้นอย่างสนุกสนาน แน่นอนครับ...เราไม่ยอมให้นำไปอยู่แล้ว (ไม่งั้นอายแย่)



ทะเลหมอกที่ซำแฮกฮะ...



ยังสู้กล้องกันอยู่ฮะ อิอิ ^ ^

พวกเรารีบเดินขึ้นไปต่อ โดยมีการพักเป็นระยะๆ ทั้งจากจุดพักผ่อน และตามทางต่างๆที่เราเดินขึ้น หลังจากผ่านพ้นไปเกือบ 3 ชั่วโมงเราก็มาถึง “ซำแคร่” ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนถึง “หลังแป” ที่เป็นยอดเขา แต่ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดปราบเซียนเลยครับ เพราะเราต้องปีนขึ้นในทางที่ชันมากๆ พวกเราก้าวเดินต่อไปอย่างเหนื่อยหอบ อาการอ่อนล้าเกิดขึ้นที่ขาของแต่ละคน รวมถึงหลังของผมก็ใกล้จะถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน สองแขนของผมเกิดอาการสั่น เพราะมีช่วยสองสาวถือกระเป๋าให้ในบางช่วง...ส่วนสองสาวก็ดมยาดมเป็นระยะๆ พาลเกิดอาการท้อแท้กันเป็นแถว แต่กำลังใจจากใครหลายคนที่เดินลงมา ส่งเสียงบอกเราเป็นระยะๆ “อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว” “อีกไม่กี่เมตร สู้ๆ...” “อีกแป๊บเดียวๆ” ครับ...พวกเราสูดหายใจ พร้อมก้าวเดินต่อในเฮือกสุดท้าย จนมาถึงยอดเขาจนได้ รวมระยะทางจากยอดเขาขึ้นมาก็ 5,500 ม. พอดีเป๊ะ และต้องเดินต่อไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอีก 3,550 ม. รวมระยะทางแล้วก็ 9,050 ม. พอดีฮะ




ก่อนถึงหลังแปฮะ...อย่างชัน

ดึงหัว...ล้มตัวนอน

พวกเราเดินทางไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางในช่วงเกือบบ่าย รวมเวลาเดินทางด้วยเท้าเพียวๆ ก็ล่อไปเกือบ 6 ชั่วโมง สาวๆก็เค้าไปนั่งพักรอในเตนท์ ส่วนผมและพี่อีกคนที่เป็นผู้ชาย ก็ช่วยกันหอบถุงนอนไปให้ จากนั้นก็หลับกันเป็นตาย...



น้องกวางฮะ...

ผมตื่นขึ้นมาประมาณ 4 โมงเย็นได้ สองสาวยังคงนอนหลับอยู่เพราะฤทธิ์ยาพาราฯ และความอ่อนล้าจากการเดินทางทำให้ไข้ขึ้นทั้งคู่ ส่วนผมก็ไปอาบน้ำชำระร่างกาย ก่อนไปเดินเล่นรอบๆ และที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ ร้านของที่ระลึก และร้านโปสการ์ดที่ผมจะแวะเข้าไปเยี่ยมชม

ที่นี่อากาศหนาวตั้งแต่เย็นเลยครับ ผมสอบถามจากพี่ๆ เจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่าตอนนี้อุณหภูมิอยู่ที่ 8 องศา มิน่าขนาดหายใจยังเป็นไอเลย จากนั้นพวกเราก็หาข้าวทาน ซึ่งมีร้านให้เลือกมากมายเหลือเกิน (เดี๋ยวนี้ภูกระดึงเจริญแล้ว...) และก็เข้านอนแต่หัววัน เพราะในวันรุ่งขึ้นเรามีคิวที่จะต้องเที่ยวอีกทั้งวัน




ยามเย็น...บนภูกระดึง

ดึงตา...ดูความสวยงาม

ผมตื่นตอนตีห้าท่ามกลางความหนาวสั่นของร่างกายที่ถุงนอนและเสื้อกันหนาวเอาไม่อยู่ ผมเห็นหลายคนลุกขึ้นออกจากเตนท์และมุ่งหน้าไปที่ที่ผานกแอ่นกันเกือบจะทุกคน แน่นอนทุกคนต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกันนั่นก็คือการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกยามเช้านั่นเอง ซึ่งผานกแอ่นนี้มีระยะทางห่างจากที่พักราว 1200 ม.ได้ ก็ไม่ผิดหวังครับ เมื่อพวกเราเห็นจุดเริ่มต้นของแสงสีทองที่สวยงามสลับกับเงาของต้นไม่สีดำ จนท่องฟ้าสว่างจ้าให้พวกเราเดินกลับที่พักได้โดยไม่ต้องพึ่งไฟฉาย จากนั้นพวกเราก็ล้างหน้าล้างตา (โดยไม่ได้อาบน้ำ) เตรียมร่างกายพร้อมลุยชมสถานที่สวยงามต่างๆต่อไป ด้วยจักรยาน...



แสงทองจากพระอาทิตย์ยามเช้าที่ผานกแอ่น



หยิบมากินได้ไหมเนี่ย...หิว T T

จักรยานนี้มีให้เช่าสนนราคาต่อวันก็ 350 บาทครับ ในช่วงแรกจะมีเจ้าหน้าที่ปั่นนำไปก่อน ซึ่งที่แรกก็คือ องค์พระพุทธเมตตาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2463 (ตามป้ายที่เขียนไว้น่ะครับ)



ต่อด้วยน้ำตกถ้ำใหญ่ที่ในช่วงเวลานี้เป็นน้ำตกที่มีน้ำมากที่สุดแล้ว และก็มีต้นเมเปิ้ล หรือชื่อไทยว่า ก่วมแดงยืนต้นอวดใบสีแดงสวยอยู่ ซึ่งอากาศในน้ำตกถ้ำใหญ่นี้ค่อนข้างเย็นกว่าข้างบนเยอะเลยครับ พวกเราลัลลา ถ่ายรูปเล่นอยู่สักพักหนึ่งก็ออกเดินทางต่อ



น้ำตกไม่ค่อยมีน้ำ แต่ต้นเมเปิ้ลอุดมไปด้วยไบสีแดงสวย...



ขณะที่พวกเราปั่นจักรยานอยู่นั้นก็ได้พบเจอนักท่องเที่ยวอีกหลายกลุ่มเลยครับ ที่ตัดสินใจเดินด้วยเท้า จุดหมายก็คือที่ผาหล่มสัก เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินนั่นเอง ซึ่งก็คือจุดหมายปลายทางที่สุดท้ายของพวกเราเช่นกัน ในระหว่างการเดินทางนั้นพวกเราขี่จักรยานแวะชมสระอโนดาดที่เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติมีน้ำตลอดทั้งปี และเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่าด้วย จากนั้นพวกเราก็ขี่จักรยานเลาะหน้าผาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่นำทางแล้ว และแวะชมวิวของป่าสน และวิวตามหน้าผาต่างๆ ทั้ง ผานาน้อย ผาจำศีล ผาหมากดูก ผาเหยียบเมฆ (ผานี้เขาบอกว่าช่วงเดือนตุลาคมเมฆจะลอยขึ้นมาตรงผา เราสามารถเหยียบเมฆเล่นได้เลย) เรื่อยมาจนถึงผาแดง และปิดท้ายด้วยผาหล่มสัก ซึ่งกว่าพวกเราจะมาถึงก็ปาไปบ่ายสามโมงเย็นแล้วด้วยสภาพขาสั่น ก้นระบบกันเป็นแถว เพราะเส้นทางที่ปั่นมานั้นมีทั้งเนินขึ้น ทางลาดลง และที่สำคัญไม่ใช่ทางเรียบครับ แต่ก็คุ้มครับเมื่อเราได้ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป แม้จะไม่สามารถถ่ายรูปมาได้มากมายเพราะคนเยอะมาก แต่แค่นี้ก็...มีความสุขแล้ว



ป่าสนฮะ



อย่างไกล... T T

จากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับท่ามกลางความมืด โดยมีเจ้าหน้าที่ปั่นนำ โชคไม่ดีที่ไฟฉายจักรยานผมมีแสงสว่างไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่เลยให้ผมสวมไฟฉายพม่าตีกบแทน โดยในเส้นทางกลับนั้นจะไม่เหมือนเส้นทางเดิมเมื่อขามา ทำให้พวกเราต้องเร่งปั่นจักรยานตามเจ้าหน้าที่ให้ทัน โดยผมอาสาอยู่ท้ายขบวนเพื่อต้อนให้สาวๆ ตามคนข้างหน้าให้ทัน โดยในการขี่นั้นจะมีคนส่งเสียงบอกเป็นระยะๆครับว่าข้างหน้ามีเนิน หรือมีหลุม ในขณะที่ผมกำลังพยายามปั่นให้ทันคนข้างหน้าอยู่นั้น ครับ...ไฟฉายพม่าตีกบเจ้ากรรมก็ค่อยๆเลื่อนลงมาปิดตาผม และผมก็รู้ได้ว่าขี่ชนอะไรบางอย่างซึ่งมันทำให้ล้อหน้าจักรยานผมหยุดลงทันที หากคุณเคยดู X Games มันจะมีโชว์ขี่จักรยานผาดโผนด้วยใช่ไหมครับ โดยผู้ขี่จะมีโชว์ขี่ตีลังกา 360 องศา ผมก็เป็นเช่นนั้นครับ แต่ได้แค่ครึ่งเดียว และนั่นมันก็ทำให้หัวของผมปักพื้นอย่างแรง...โชคดีที่เป็นพื้นทรายถ้าเป็นก้อนหินนี่คงมีเจ็บหนักล่ะครับ ส่วนเพื่อนสาวผมเหรอครับ...มัน เอ๊ย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมลงไปนอนจับกบเล่นจนถึงที่พักนู่นล่ะครับ ถึงจะรู้เมื่อเห็นผมมีแผลเต็มตัวจากการจับกบในครั้งนี้...




จุดชมวิวอันลือลั่นที่ผาหล่มสัก ที่มีรูปถ่ายกันทุกคนยกเว้นผม เพราะไม่มีใครกล้ามาถ่ายให้ T T ฮือๆ ทีกรูยังเสี่ยงตายถ่ายให้เลย



คุณตา...เอ่อ ขอเรียกว่าคุณพี่ได้ไหมฮะเพราะแกฟิตจริงๆ ตั้งแต่เดินขึ้นเขามา จนกระทั่งมาที่ผาหล่มสัก จากการสอบถามได้ความว่า แกเดินมาจากที่พักครับ...โห ไกลตั้ง 9 กิโลฯ พวกผมยังต้องขี่จักรยานมากันเลย นับถือครับ

ดึงมือ...จับกับมิตรภาพ

จากการเดินทางทั้งวัน ซ้ำยังเนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยบาดแผลในวันนี้ ทำให้ผมหลีกเลี่ยงในการอาบน้ำท่ามกลางอุณหภูมิ 8 องศาไม่ได้ ครับ...จากจับกบก็มาเป็นกุ้งเต้นในห้องอาบน้ำเพราะมันหนาวมากจริงๆ และผมก็ได้ยินเสียง ซี้ด...อูย...ซี้ด...อูย...จากอีกสองห้องข้างๆเช่นกัน แหม...ถ้าไม่หนาวนี่มีคิดเป็นอย่างอื่นเหมือนกันนะครับเนี่ย ฮ่าๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก็ต้องรีบเดินมาเข้าเตนท์เพื่อซุกร่างกายให้อุ่นคลายหนาวก่อนออกไปทานข้าว

ในระหว่างที่รอสองสาวอาบน้ำ ร่างกายผมอุ่นได้ที่แล้วก็เดินออกมาจากเตนท์และก็ได้เจอพี่ๆ กลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเดินทางขึ้นมาถึงในวันนี้ พร้อมกับถามไถ่ผมว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ผมก็เลยแนะนำอะไรหลายอย่างให้พวกเขาฟัง จากนั้นมิตรภาพก็เริ่มขึ้น จากคนไม่รู้จัก ก็มาเป็นเพื่อนกัน ผมรับรีเจนซี่มิตรภาพเพียวๆ พร้อมกระดกยกขึ้นดื่มรวมเดียวหมด แหม...อาการหนาวนี่หายเป็นปลิดทิ้งเชียวครับ เพราะรีเจนซี่ เอ๊ย มิตรภาพนี่มันช่างอบอุ่นจริงๆ เอิ๊ก...

หลังจากนั้นสองสาวก็ขอตัวเข้าเตนท์พร้อมคุยโทรศัพท์กับใครบางคนของพวกเธอกัน ส่วนคู่รักไม่ต้องพูดถึงปิดเตนท์นอนไปนานแล้วครับ แต่ผมยังคงนั่งอยู่ข้างนอกพร้อมกับชมจิตรกรรมบนท้องฟ้า ทะเลดาวนับล้านอวดแสงโชว์ให้ผมชมอยู่อย่างเงียบๆ คนเดียว ชั่วแวบวินาทีผมเห็นดาวตก...ผมหลับตาตั้งจิตอธิษฐานก่อนจะมุดเข้าเตนท์ ผมสอดตัวเข้ากับถุงนอน จัดแจงสวมหมวกไหมพรมอย่างเรียบร้อยก่อนหลับตาพริ้มนอนหลับอย่างมีความสุข...


ดึงหัวใจ...ฝากไว้ที่ภูกระดึง



ในที่สุดก็ถึงเวลาเดินทางกลับ มีบางคนบอกว่า มาภูกระดึงต้องมาซัก 4-5 วันเป็นอย่างน้อย แต่พวกเรามากันแค่ 2 วัน เนื่องด้วยแต่ละคนยังคงต้องไปทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้นกันอยู่ แต่แค่นี้...ผมก็ได้ซึมซับบรรยากาศแห่งความสุขมากพอสมควรแล้วล่ะครับ และแน่นอนหากมีโอกาสอีกซักครั้ง ผมยินดีที่จะกลับมาเยี่ยมภูกระดึงอีกครั้ง



ได้เวลากลับลงไปข้างล่างอีกครั้ง T T

ผมจำได้ระหว่างการเดินทางขึ้นภูฯ มา ผมได้มีโอกาสคุยกับคุณลุงคนหนึ่ง แกบอกว่า “ใครมาถึงภูกระดึงแล้ว ขึ้นไม่ถึงหลังแป (ยอดเขา) แม่-งบ้า แต่ถ้าใครขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วอยากกลับมาขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก นี่ยิ่งบ้า” ตอนนั้นผมฟังลุงแกพร้อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ซึ่งก่อนลงจากภูฯ ผมถามเพื่อนๆว่า “ถ้ามีโอกาสจะมาอีกไหม” คำตอบของทุกคนก็คือ “ไม่!”
“แล้วแกล่ะจะมาอีกไหม?” เพื่อนสาวผมคนหนึ่งถามกลับ
ผมยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “แน่นอน...ฉันจะมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ถ้ามีโอกาส”

ใครจะว่าผมบ้าอย่างไรก็ช่างเถอะ ผมตั้งใจแล้วว่า ผมจะมาที่นี่อีกครั้งให้จงได้

อืม...เพราะผมได้ฝากใจ...เอาไว้ที่นี่แล้วนี่


ดึงภาพ...ประทับใจ
แถมท้ายด้วยรูปภาพ สาระบ้าง ไร้สาระบ้าง ก็อย่าถือสาระอะไรกับผมนะฮะ



จักรยานริมผา...พาหนะคู่ใจในวันนั้นฮะ



ไอ้ขี้เก๊กริมผา อยากรู้นักว่าถ้ามันตกลงไปจะเก๊กได้ไหม กร๊ากกกกก...



ดอกไม้ริมผา...



รองเท้าริมผา...เอ่อ สงสัยจะริมผามากมายไปและ แหะๆ วันนั้นผมใส่น้องแป้งไปครับ หลังจากโดนผมปู้ยี่ปู้ยำไปกับการใส่เธอเตะบอล เลยพาไปเที่ยวเอาใจเสียหน่อย อย่างที่เห็นสภาพครับ เละเชียว รู้จักกับเธอได้ที่นี่อีกครั้งนะฮะ บทสัมภาษณ์รองเท้าอียางฯ



สภาพรองเท้าของแต่ละคนฮะ...มีเปิดท้ายคนนึงด้วยล่ะ อิอิ



ทริปนี้เพื่อนเยอะเลยขอมีรูปถ่ายกะเค้ามั่ง อิอิ



อีกรูปๆ


ส่วนรูปถ่ายนี่มีอีกบ้างบางส่วนที่เอาลงที่นี่ไม่หมดนะฮะ ก็ถ้าใครอยากชมเพิ่มเติมก็เรียนเชิญที่นี่เลยฮะ Pink Yangmatoy Photo&Design

แล้วก็ก่อนจากกัน ปีใหม่ 2552/2009 แล้ว ก็ขอให้มีความสุขรับปีใหม่ทุกคนนะครับผม ว่าแล้วก็แจกการ์ดซะเลย...



สวัสดีปีใหม่ครับ ^ ^




L-O-V-E - Olivia





Create Date : 31 ธันวาคม 2551
Last Update : 31 ธันวาคม 2551 2:37:45 น. 7 comments
Counter : 1738 Pageviews.  
 
 
 
 
เเวะมาอัญเชิญไปรับการ์ดปีใหม่จ้า... คุณตอยฯ ...


ปล... สเเกนด้วยสายตาคร่าวๆไปละหนึ่งรอบ... หุๆๆๆ ...เดี๋ยวว่างๆจะกลับมาอ่านให้ละเอียดอีกทีน้า...
 
 

โดย: อมิธีสท์ วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:11:40:13 น.  

 
 
 
สุขสันต์วันปีใหม่ ขอให้มีความสุขกาย สบายใจ ปราศจากทุกข์โศก โรคภัยทั้งหลายทั้งปวง
 
 

โดย: ความเจ็บปวด วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:16:02:41 น.  

 
 
 
ท่าทางคุณตอย (ขออนุญาตย่อชื่อซะ) จะชอบเที่ยวนะนี่ ดีจังค่ะ

มาอวยพรปีใหม่ค่ะ รับ สคส ด้วย

Photobucket
 
 

โดย: BestChild วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:23:34:09 น.  

 
 
 
“ ศุภวาระศุภนิมิตร
สิ่งใดคิดให้สมมาตรปรารถนา
ให้ร่ำรวยทั้งลาภยศแลเงินตรา
ให้แข็งกล้าทั้งร่างกายแลจิตใจ ”

สุข สดชื่น สมหวัง ตลอดปีตลอดไปนะคะ (เชยจังประโยคนี้อ่ะ..อิอิ)


.
.
ภูกระดึงไปมา5ครั้ง อย่างนี้ต้องเรียก"บ้าเป็นบ้า"

แนะนำให้ไปช่วงปลายตุลาคมอีกครั้ง
ถึงเมเปิ้ลไม่แดง แต่ดอกไม้สวยๆเยอะ
ที่สำคัญ ฝนตกพรำๆ ทากชะเง้อคอคอย...
..
 
 

โดย: สิงห์อมบ๊วย วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:2:34:39 น.  

 
 
 
สวัสดีค่ะ คุณยาง (จะย่ออย่างไรดีนี่)

ตามมาจากป้ายที่ลายปากกาขออนุญาต
แอดบล็อกนะคะ
 
 

โดย: ปณาลี วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:20:33:22 น.  

 
 
 
แวะมาเดินเกะกะก่อนนะตัวเอง ตาปิดแล้ว เดี๋ยวมาเที่ยวด้วยใหม่ (บางรูปเห็นแล้วกลัว กร๊าก)
 
 

โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:20:36:45 น.  

 
 
 
เเวะมาสวัสดีปีใหม่จ้า... เจ้าของบ้านหายเหนื่อยจากการขึ้นภูฯหรือยังน้า...
 
 

โดย: อมิธีสท์ วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:23:39:06 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ยางมะตอยสีชมพู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นมนุษย์เงินเดือน รับใช้การตลาด
ต้องคิดงานให้เกินคาด แล้วจะได้ตังค์ใช้

ชอบดนตรี เสียงเพลงเป็น ชีวิตจิตใจ
ตัวอักษรนั้นไซร้ กัดแทะได้ ทุกวี่วัน



ลายปากกา


ของเค้าดีจริง เข้าไปเยี่ยมชมกันได้ครับ ^ ^
ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียน ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติแม้ที่จะคิดเขียน และถึงแม้ว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่ว่ามันก็ออกมาจากมันสมองอันน้อยนิดของผม ขอร้องเถิดครับ กรุณาอย่าเอาไป คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนี่งส่วนใดหรือทั้งหมดของงานเขียนของผมเลย (ยางมะตอยสีชมพู) ผมขอสงวนสิทธิ์ตามกฏหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จะมีโทษ ปรับตามกฏหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือนำเรื่องไปเสนอสำนักพิมพ์ ถือเป็น การเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 800,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ยังเข้าใจ และเห็นใจคนชอบเขียนห่วยๆอย่างผม (ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฏหมายลิขสิทธิ์)
[Add ยางมะตอยสีชมพู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com