Don't Worry, Be Happy

 
พฤศจิกายน 2557
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
30 พฤศจิกายน 2557
 

Title: ละเหี่ยใจ ไป Japan แดนน่ารัก ตอนจบ

ผ่านพ้นจากวันเที่ยวฟรีเดย์ไปอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็เข้าสู่ช่วงตามโปรแกรมทัวร์ที่จำเป็นต้องสลับกันอุตลุตพอสมควร

ก็ขอย้อนความจำนิดนึงครับ จากโปรแกรมแรกที่เราต้องไปอุทยานแห่งชาติฮาโกเนะ / หุบเขานรกโอวาคุตานิ เพื่อไปกินไข่ดำ / ร่องเรือโจรสลัดที่ทะเลสาบฮาชิ / ช้อปที่ Gotemba Outlet และตบท้ายด้วยบุฟเฟต์ขาปูยักษ์นั้น เรายังไม่ได้ไปครับ ซึ่งจะเก็บทริปนี้ในวันรองสุดท้ายพร้อมกับขึ้นชั้น 5 ของภูเขาไฟฟูจิด้วยในวันเดียวกัน โดยวันแรกได้ไปเพียงห้างอิออน และวัดเซ็นโซจิ หรือวัดอาซากุสะเท่านั้นครับ

บางท่านอ่านแล้ว และเคยไปแล้วอาจจะยกมือทาบอก ว่าพวกมึงไปกันได้ยังไง เพราะน่าจะทราบว่าโปรแกรมอัดแบบนี้ไม่มีทางไปทันแน่นอนครับ ซึ่ง... จริง!! 

ส่วนวันที่ 2 เป็นวันฟรีเดย์นั้นเราก็ไปลุยที่ชิบุย่า ฮาราจูกุกันจากที่เล่าไปเมื่อตอนที่แล้ว ก็วันนี้มาต่อกันเลยนะครับ กับวันที่ 3 ในญี่ปุ่น 

12 พ.ย. เที่ยวแป๊บเดียว ช๊อปเกือบทั้งวัน

เริ่มต้นทริปวันนี้ที่วัดโคโทคุอิน ย่านคามาคุระ ไปดูไปชม และสักการะพระใหญ่ ไดบุตสึ ซึ่งนั่งรถไปใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากชินจูกุก็ุถึงแล้ว ตรงทางเข้าวัดจะมีบ่อน้ำ และมีกระบวยล้างมือ คือต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาด อย่างน้อยก็ต้องล้างมือก่อนเข้าวัด ซึ่งก็เป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นเค้าครับ



หน้าประตูทางเข้าวัดจ้ะ มียักษ์เฝ้าประตูด้วยนะ



บ่อน้ำสำหรับล้างมือจ้ะ



คุณนายล้างมือก่อนเข้าวัด

เมื่อเข้าไปในวัดแล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือหลวงพ่อโต (ผมถือวิสาสะเรียกเอง) หรือพระใหญ่ไดบุตสึครับ พอเข้าไปแล้วสังเกตุได้ว่ามีนักท่องเที่ยวมาเป็นจำนวนมากเลยล่ะครับ ก็เหมือนกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของญี่ปุ่นด้วย แม้กระทั่งชาวญี่ปุ่นเอง หรือเด็กๆ ก็ยังมาทัศนศึกษาที่วัดนี้เลยครับ



ใหญ่โต และสวยงาม



เหมือนจะมาทัศนศึกษากันนะครับ เด็กนักเรียนมากันเยอะมาก แถมใส่ยูนิฟอร์มหน้าหนาวด้วย เลยแอบถ่ายมานิดนึงครับ

ซึ่งภายในวัดนี้ถือว่าร่มรื่นมากทีเดียวครับ ใบไม้ภายในวัดก็เริ่มมีเปลี่ยนสีกันบ้างแล้ว สวยงามเชียว



ลองถ่ายอีกมุมบ้าง



ใบไม้เปลี่ยนสีแล้วจร้า

หลังจากใช้เวลาตั้ง 1 ชั่วโมงอยู่ในวัด ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังเมืองโยโกฮาม่า เมืองที่ขึ้นชื่อง่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น และมีทีมฟุตบอลที่บอดเยี่ยมอย่างโยโกฮาม่า มารินอส



ฝาท่อที่นี่ยังมีสัญลักษณ์ของทีมเลยครับ สวยงาม ครีเอท ชอบ

เรามาที่นี่เพื่อไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ราเมน ซึ่งค่าเข้าชมอยู่ที่ราว 300 เยนต่อคน (ถ้าจำผิดขออภัยครับ) พอเข้าไปปุ๊บ เค้าก็จะมีโบรชัวร์แนะนำซึ่งพิมพ์ไว้หลายประเทศมากเลยครับ แน่นอนมีภาษาไทยด้วย



เอาใจนักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติจริงๆ 

เข้าไปข้างใน เราก็จะเจอแผนผังของแต่ละร้านเลยครับว่า ราเมนของแต่ละร้านนั้นจะมีสไตล์แบบไหน น้ำซุปทำมาจากอะไร น้ำใส หรือน้ำข้น เส้นราเมนที่ใช้เป็นเส้นหนา หรือเส้นบาง โอ๊ยยย มีบอกหมดครับ และจากคำให้การของไกด์ (จริงหรือเปล่าไม่รู้) แกบอกว่า ร้านราเมนที่เข้ามาขายในพิพิธภัณฑ์นี้ได้ต้องผ่านการคัดเลือกมาก่อน ก็เหมือนกับรายการทีวีแชมเปี้ยนนั่นแหล่ะครับ คัดสรรจนได้ร้านราเมนแชมเปี้ยนที่การันตีเรื่องรสชาติถึงจะได้มาขายที่นี่ 



อยากกินร้านไหน ชอบราเมนแบบไหน เลือกเอาจากภาพเลยครับ แล้วก็มาดูแผนผังว่าร้านที่ต้องการจะกินนี่อยู่ตรงไหน



ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ






มุมถ่ายรูปมากมาก


ลักษณะของพิพธภัณฑ์และการตแต่งร้านจะเป็นแบบญี่ปุ่นย้อนยุคครับ (รายละเอียดต่างๆ มีอธิบายใน Pantip หรือเวบอื่นๆ เยอะมาก ขอข้ามเลยนะครับ) และข้อดีของที่นี่อีกอย่างก็คือมุมถ่ายรูปเยอะมากกกกกกก ชอบเลยสิผม รวมถึงคุณนายของผมด้วย แต่ก่อนจะไปถ่ายรูป เราขอไปกินราเมนกันก่อนครับ



กินราเมนกันก่อน

ซึ่งเราเลือกกินร้านหมายเลข 6 ครับ คำอธิบายในโบรชัวร์ร้านนี้มีชื่อว่าร้าน Komurasaki เป็นร้านต้นตำรับราเมนซุปกระดูกหมูในคุมาโมโตะ คิวชู โดยเริ่มก่อตั้งร้านในปี 1954 น้ำซุปร้านนี้จะใช้กระดูกหมูเป็นหลัก เสริมด้วยกระดูกไก่และผัก ใส่น้ำมันปรุงรสแบบพิเศษ และกระเทียมคั่วลงไป ทำให้เกิดกลิ่นหอมที่กระตุ้นความอยากอาหาร ซึ่ง... อร่อยมากครับ โดยเฉพาะน้ำซุปผมซดจนหมดเกลี้ยงชามเลยล่ะ 



ซัดซะเกลี้ยงเหมือนกัน คุณนายผม 


จากนั้นเวลาเหลือเพียบครับ ก็ถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนาน และขึ้นไปเดินชมผลิตภัณฑ์นิดๆ หน่อยๆ 



มุมถ่ายรูปแจ่มๆ เพียบ



คุณนายชอบ



มีขายเส้นราเมนด้วย



อุปกรณ์ในการทำราเมนครับ



ของที่ระลึกน่ารักๆ 

จากนั้นเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่โอไดบะครับ โดยเรามีเวลาอยู่ที่นี่ถึง 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว (ใจจริงของผมคิดว่า 5 ชั่วโมงที่ห้างฯ มันมากไปครับ) แต่ขอบอกว่าหลังจากเที่ยวเสร็จ ผมมาเปิดดูข้อมูลที่นี่ถึงกับเจ็บใจเลยครับ เพราะไปถึงที่แล้ว แต่กลับไม่ได้ไปเที่ยวที่เจ๋งๆ เช่นห้าง Decks ที่ชั้น 4 มี Tokyo Trick Art Museum รวมถึง Aquacity ที่คิดว่าเป็นห้างเหมือนกับ ไดเวอร์ซิตี้ โตเกียว พลาซ่า เลยไม่ได้เข้าไป เราเลยได้แต่ถ่ายรูปพี่กัมดั้ม และเจ๊เทพีสันติภาพมาเท่านั้น ที่เหลือเป็นเวลาของคุณนายครับ นั่นก็คือ... Shop!! อีกแล้ววววววว



กรี๊ดดดด คุณพี่กัมดั้มตัวโตเท่าตึก



อีกมุมตอนกลางคืนครับ 



เจ๊เทพีสันติภาพ ได้ยินไกด์เล่าว่าเป็นตัวต้นแบบเลยครับ ส่วนรายละเอียดก็ลองหาอ่านตามเว็บต่างๆ นะครับ ผมอ่านมาบ้างแล้ว แต่ไม่อยากเล่ารายละเอียดเพราะไม่รู้จริง ก็ได้แต่เก็บภาพมาฝากแล้วกันเนอะ ^__^

5 ชั่วโมงที่สูญเปล่าเพราะเราไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรเด่นๆ บ้าง ไกด์ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก เราก็ไม่ทำการบ้านดีพอ เลยกลายเป็นว่าอยู่แต่ในห้างฯ เดินจนขาลาก และช้อปเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ จนเมื่อถึงเวลานัดหมายเราก็มารวมตัว พร้อมเดินทางกลับพักผ่อน ซึ่งจริงๆ วันนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะต้องอยู่ที่ญี่ปุ่น ถ้าเครื่องบินไม่ดีเลย์ 24 ชั่วโมง เราจะต้องไปนอนที่โรงแรมแถวนาริตะ เพื่อเตรียมตัวกลับในวันรุ่งขึ้นครับ 

แต่... วันรุ่งขึ้นเรามีโปรแกรมไปภูเขาไฟฟูจิกัน เรากลับต้องนอนที่นาริตะ แทนที่จะเป็นโรงแรมย่านนั้น ด้วยเหตุผลที่ทางทัวร์บอกว่า โรงแรมจองไว้แล้ว ไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะทัวร์ต้องจ่ายค่าที่พักก่อน 100% (เรื่องนี้จริงหรือเปล่า ณ ช่วงเวลานั้นผมก็ไม่ทราบครับ) เราเลยจำใจต้องนั่งรถบัสย้อนกลับไปพักที่โรงแรม Marroad Hotel Narita กว่าจะถึงโรงแรมก็ปาไป 3 ทุ่ม ซึ่งวันนี้เหนื่อยมาก ผมเลยต้องมีตัวช่วยให้หลับสบายก่อนนอนซักหน่อย



ขอบอกว่ามาอยู่ที่นี่ ผมกินวันละยี่ห้อเลยครับ

13 พ.ย. เที่ยวบนรถ สุขแสน ... ทรมาณ

เช้านี้เราตื่นมาแต่เช้าเช่นเคยครับ เนื่องจากพี่ไกด์นัดเช้ามาก เพราะวันนี้เราต้องนั่งรถกันไกลไปฟูจิ ซึ่งก็ไกลจริงๆ ครับ เราออกจากโรงแรมเวลาประมาณ 7 โมงครึ่ง เราไปถึงฟูจิชั้น 5 ตอนเวลา ... บ่ายโมง

ครับ... นั่งรถกันตูดบาน หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึง แถมยังเป็นวันดวงแตกอีกต่างหาก เพราะเมื่อออกจากโรงแรมปุ๊บ ก็เกิดอุบัติเหตุข้างหน้าทันที ทำให้รถติดกันหนึบหนับไม่แพ้กรุงเทพฯ บ้านเรา แถมผมคิดว่าติดนานกว่าด้วยครับ เพราะมันไม่ขยับเลย จนคนขับรถต้องเปลี่ยนเส้นทางซึ่งอ้อมกว่าเดิม ก็ได้แต่ถ่ายรูปข้างทางแก้เซ็งกัน



วันนี้อาหารเช้าที่โรงแรม ดูดีกว่าทุกๆ โรงแรมที่พักมาเลยครับ



ถ่ายรูปข้างทางแก้เซ็ง



เห็นภูเขาไฟฟูจิลิบๆ แล้วววววว

ในระหว่างการเดินทางขึ้นเขา พอถึงช่วงระยะที่เข้าใกล้จะขึ้นเขา ไกด์บอกให้เราเงียบๆ เพราะจะมีเสียงเพลงเมื่อรถวิ่ง จากการสอบถามเห็นบอกว่าเสียงเพลงที่เราได้ยินขึ้นมาบนรถนั้นเหมือนกับจับเซ็นเซอร์อะไรบางอย่าง และจะได้ยินก็ต่อเมื่อรถวิ่งอยู่เท่านั้น

และในที่สุด เราก็มาถึงครับ บนชั้น 5 ของภูเขาไฟฟูจิ อุณหภูมิอยู่ที่ 2 องศา (ถามคนขับรถมานะครับ) แถมมีลมพัดเป็นระลอกๆ ซึ่งหนาวมากกกก เล่นเอามือผมแสบ ชาไปหมด เพราะชะล่าใจไม่เตรียมถุงมือไป แต่เราโชคดีอยู่อย่างนึงที่วันนี้ฟ้าเปิด ฝนไม่ตก ถ่ายรูปได้สวยงามเลยล่ะครับ 



ย้อนแสงหน่อยไหมล่ะ



ร้านขายของที่ระลึกครับ



ป้ายขอพรที่ส่วนมากก็มีแต่ภาษาไทย



เหนื่อย หนาว เมื่อย 

เราอยู่บนนี้เป็นเวลา 1 ชั่วโมงก็ต้องรีบกลับเพราะจะต้องรีบไปล่องเรือโจรสลัดต่อ (แต่เดินทางมาใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง) เพราะต้องไปให้ถึงก่อน 4 โมง จากการคำนวณของไกด์แล้วแกบอกว่าทันครับ ซึ่งในความเป็นจริง... 

มันไม่ทันครับ สาเหตุที่ไม่ทันก็คือ เจอซ่อมถนนทำให้รถติดยาวมากเลยครับ จนคนในรถบ่นกันว่าวันนี้มันวันอะไร และหวังว่าวันกลับ Jet Asia จะไม่ดีเลย์อีกนะ (ฮา) พอใช้เวลานานเข้าๆ ไกด์ก็บอกแล้วครับว่าต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเวลานี้เป็นเวลาบ่าย 3 โมงแล้ว และเราก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกัน และถ้าจะล่องเรือโจรสลัดก็จะไมได้กินข้าว เพราะรอบสุดท้ายจะหมดเวลา 4 โมง แต่ไกด์ก็บอกว่าจะพาไปตามโปรแกรมแล้วกัน ไม่อยากให้โหวต เพราะมันเสียงแตกแน่นอน เลยตัดสินใจไปตามโปรแกรมเดิมคือไปกินปิ้งย่างครับ (แต่ผมอยากจะไปล่องเรือใจจะขาด เพราะคิดว่าข้าวกินเหมื่อไหร่ก็ได้ แต่เรามากับทัวร์อ่ะเนอะ ก็ต้องตามๆ กันไป)

ไปๆ มาๆ เราก็ไม่ได้กินปิ้งย่างครับ เพราะไปไม่ทัน ทางไกด์ก็ให้ทางร้านปิ้งรอให้ เพราะระหว่างทางมีไอเดียผุดมาว่า ให้ร้านปิ้งให้ เราไปถึงเรากินๆๆ และถ้าทันจะได้ไปล่องเรือกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน แถมอีปิ้งย่างที่ปิ้งไว้เป็นแค่เซ็ทข้าว ซุปมิโสะ และหมูจำนวน 2 ชิ้นถ้วน ออกมาสภาพนี้บอกเลยครับว่าลูกทัวร์แต่ละคนไม่ประทับใจอย่างแรง ก็ได้แต่ทำใจ และถ่ายรูปเล่นๆ แถวร้านนั้นล่ะครับ 



อยากล่องเรือใจจะขาด แต่ก็อด ก็ได้แต่ถ่ายรูปคู่กับทะเลสาบไปพลางๆ 

จากนั้นเราก็ต้องรีบออกเดินทางเพื่อไปหุบเขานรกโอวาคุตานิ เพื่อไปกินไข่ดำกันครับ ถามว่าไปทันไหม ก็ทันนะครับ แต่เราไปถึงก็ประมาณ 5 โมงเย็น ฟ้าเริ่มมืด เราก็ต้องรีบเดินขึ้นไปดูจุดที่เค้าจัดไว้ให้ชมวิว แต่แป๊บเดียวก็มืด และเราก็ต้องรีบลงมากันครับ ยังดีที่ไกด์ไปซื้อไข่ไว้ให้ ซึ่งกินแล้วมนก็คือไข่นั่นแหล่ะครับ ไม่ได้แต่กต่างจากไข่ต้มอะไรเลย แต่เอาน่ะ มันคือไข่ดำเชียวนะเว้ยเฮ้ยยย



คิตตี้ไข่ดำ



ควันลอยขึ้นมาเห็นๆ ผสมกับกลิ่นกำมะถันคลุ้งเชียวครับ



ขึ้นไปถึงข้างบนแล้ว หนาวมาก ลดพัดแรงมาก และฉุนกำมะถันมาก อยู่ได้แป๊บเดียวก้รู้สึกแสบจมูก ต้องรีบลงครับ

จากนั้นไกด์ก็ยัดโปรแกรมเที่ยวสุดท้ายให้ นั่นก็คือไปที่ Gotemba Outlet (ช้อปอีกแล้ววววววว) ที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากครับ เดินเล่นปกติ ช้อปเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็กลับตอน 2 ทุ่ม เพื่อไปกินบุฟเฟ่ต์ขาปูยักษ์ (ช่างยึดมั่นกับโปรแกรมมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องดีนะครับ แต่แค่ทุกอย่างมันมาอัดเอาวันนี้ ทำให้เที่ยวได้ไม่เต็มที่อย่างที่หวัง)



ขาปูยักษ์ที่ลือลั่น

จากนั้นก็เดินทางกลับพักผ่อน และแช่ออนเซ็นคลายกล้ามเนื้อครับ ซึ่งขอบอกว่าสบายมากกกก คนก็น้อย หรือไม่มีเลยด้วยซ้ำตอนช่วงเวลาที่ผมไป แต่สุดท้ายก็เจอคุณลุงท่านนึง เดินโทงด้วยความมั่นใจ แถมลงแช่ด้วยท่าทีโคตรโปรฯ สุดยอดมากครับ เล่นเอาผมอายแทนเลยทีเดียวเชียว

สรุปทริปวันนี้จากตอนแรกเราต้องไปอุทยานแห่งชาติฮาโกเนะ / หุบเขานรกโอวาคุตานิ เพื่อไปกินไข่ดำ / ร่องเรือโจรสลัดที่ทะเลสาบฮาชิ / ช้อปที่ Gotemba Outlet และตบท้ายด้วยบุฟเฟต์ขาปูยักษ์นั้น เราไม่ได้ไปถึง 2 ที่เลยครับ นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติฮาโกเนะ และร่องเรือโจรสลัดที่ทะเลสาบฮาชิ



วิธีแช่ออนเซ็นที่ทำมาเข้าใจง่ายเชียวครับ



14 พ.ย. บ๊ายบาย เจแปน แล้วพบกันใหม่

เช้าวันสุดท้ายของการใช้ชีวิที่ญี่ปุ่นก้ต้องตื่นแต่เช้าเหมือนเดิมครับ เพราะว่ากลัวตกเครื่องไฟลท์เวลาบ่ายครึ่ง ซึ่งก็จริงครับ เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมงเลยทีเดียว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าวันที่ผมไปทำไมเจอแต่รถติด และหลายๆ สิ่งก็ติดขัดตลอด แถมเมื่อไปถึงสนามบินก็ยังต้องลุ้นอีกครับว่า Jet Asia จะดีเลย์อีกไหม และมันก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง มันดีเลย์จริงๆ ครับ โดยจากเวลาบ่ายโมงครึ่ง ก็แจ้งเลื่อนมาเป็น 4 โมงเย็น และ 5 โมงเย็นตามลำดับ แต่สุดท้ายมาจบที่ 3 โมงครึ่งครับ ก็ยังดีที่ได้กลับอ่ะเนอะ 

ช่วงรอเชคอิน ผมก็คุ้นๆ หน้าคนไทยที่เจอวันขาไป ที่จองทัวร์ที่เดียวกัน แต่ของเค้าตรงเวลาเพราะเค้าเดินทางวันที่ 9 ส่วนผมวันที่ 8 โดนดีเลย์ให้เดินทางวันที่ 9 พร้อมกัน ด้วยความสงสัยเลยสอบถามเค้าครับว่าทริปเป็นยังไงบ้าง ได้เที่ยวครบไหม ติดขัดอะไรหรือเปล่า คำตอบที่ได้ก็คือ Happy ดี ได้เที่ยวตามโปรแกรมทุกอย่าง

สรุปได้เลยครับว่า กรุ๊ปผม


"ซวย" จริงๆ 


อย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนี้ก็ให้ประสบการณ์ใหม่ๆ ทั้งดี และไม่ดี เพื่อที่จะได้จำไว้ และระมัดระวังในครั้งต่อไป ได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ได้เห็นอะไรแปลกๆ ได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของคนญี่ปุ่นที่ครีเอทไปเสียทุกเรื่อง ได้เห็นระเบียบวินัย ประชากรคุณภาพของประเทศเค้า ว่าใช้ชีวิตยังไง ดำเนินชีวิตแบบไหน ได้พบเห็นเทคโนโลยีต่างๆ ที่ง่ายๆ แต่ใช้ได้จริง แม้จะเจอสิ่งเหล่านี้แค่ผิวเผิน แต่มันก็ยังดีที่ได้สัมผัสของจริงบ้าง ด้วยจำนวนเงินที่เสียไป อย่างน้อยมันก็พอคุ้มค่าให้เราจดจำการเดินทางในครั้งนี้ครับ 


ปีหน้าคงต้องขอแก้ตัวใหม่ ด้วยการไปเที่ยวเอง ไม่ง้อทัวร์ แล้วพบกันใหม่ ขอบคุณคร๊าบบบบ




Create Date : 30 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 2 ธันวาคม 2557 1:09:06 น. 0 comments
Counter : 6937 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

ยางมะตอยสีชมพู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นมนุษย์เงินเดือน รับใช้การตลาด
ต้องคิดงานให้เกินคาด แล้วจะได้ตังค์ใช้

ชอบดนตรี เสียงเพลงเป็น ชีวิตจิตใจ
ตัวอักษรนั้นไซร้ กัดแทะได้ ทุกวี่วัน



ลายปากกา


ของเค้าดีจริง เข้าไปเยี่ยมชมกันได้ครับ ^ ^
ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียน ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติแม้ที่จะคิดเขียน และถึงแม้ว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่ว่ามันก็ออกมาจากมันสมองอันน้อยนิดของผม ขอร้องเถิดครับ กรุณาอย่าเอาไป คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนี่งส่วนใดหรือทั้งหมดของงานเขียนของผมเลย (ยางมะตอยสีชมพู) ผมขอสงวนสิทธิ์ตามกฏหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จะมีโทษ ปรับตามกฏหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือนำเรื่องไปเสนอสำนักพิมพ์ ถือเป็น การเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 800,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ยังเข้าใจ และเห็นใจคนชอบเขียนห่วยๆอย่างผม (ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฏหมายลิขสิทธิ์)
[Add ยางมะตอยสีชมพู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com