Don't Worry, Be Happy

<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
14 เมษายน 2552
 

Title: นิทาน E-บ้า

กาลครั้งหนึ่งไม่ค่อยนานเท่าไหร่ ที่ใจกลางบางกอกยังมีหญิงสาวคนหนึ่ง
เธอมีชื่อว่า... “สนม” ส่วนนามสกุล เข้าใจว่าเธอคงมีเชื้อฝรั่งติดตัวมา และ “ไวท์” คือนามสกุลของเธอ

เธอไม่เคยพบ ไม่เคยพาน ไม่เคยเจอะ ไม่เคยเจอ กับสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก”
เธอเดินตามหารักแท้นั้นอยู่นานแสนนาน จนกระทั่ง เธอได้พบกับ...
กระท่อมเก่าๆ ซอมซ่อใต้ทางด่วนแห่งหนึ่ง ย่านพระราม 9
กระท่อมนั้นเป็นที่อาศัยของเหล่าคนแคระทั้งเจ็ด

และ...นั่นจึงเป็นต้นกำเนิดของรักแท้ ที่จะทำให้...เอ่อ...ไม่รู้ล่ะ ต้องลองติดตามดูเอาแล้วกัน


Title: นิทาน E-บ้า

ก๊อกๆๆ!!

ก๊อกๆๆ!!

ก๊อกๆๆ!! ก๊อกๆๆ!! ก๊อกๆๆ!!

ก๊อกๆๆ!! ปังๆๆ!! โครม!! เพล้งงงง!!

“โว้ยยยยยยยยย...รู้แล้วๆ จะพังบ้านกันหรือไงวะ!”

หลังจากได้ยินเสียงเคาะประตู คล้ายกับว่าเอาค้อนมาทุบหมายให้กระท่อมพัง
หนึ่งในเจ็ดคนแคระ ก็ทำใจนอนต่อไม่ไหว ลุกขึ้นมาเปิดประตู เขาอยากรู้ว่า
ใครกันที่มาหาในช่วงที่พวกเขา กำลังนิทราอยู่เช่นนี้...

ทันใดที่เขาเปิดประตูออกไปนั้นเอง เขาก็ต้องตกตะลึง...!!
เปล่า...ไม่ใช่ความงามของหญิงสาวแต่อย่างใด แต่เป็นข้าวของเครื่องใช้
ที่ถูกสาวเจ้ารื้อลงมา จนล้มระเนระนาด

“สวัสดีค่า...หนูชื่อ สนมค่ะ” สาวน้อย หน้าตาแอ๊บแบ๊ว ทำปากมุบมิบ แถมใส่บิ๊กอาย กล่าวสวัสดีคนแคระ

“คือหนูมาจากบ้านนอก งานก็ไม่มีทำ ที่ซุกหัวนอนก็ไม่มี
คือแบบว่าอยากจะขอคุณพี่ใจดี ให้ที่พักหน่อย
คือหนูไม่ขอมากมาย แค่เพียงเสี้ยวเล็กน้อย
ให้ที่พักหนูหน่อย แล้วจะไม่ลืมพระคุณ โย่ว์ๆ”

“อืม...การแสดงดี แต่เนื้อร้องยังขาดสัมผัสไปนิดนึง เอาไป 5 บาท แล้วไปไกลๆ ซะ”
คนแคระโยนเงิน 5 บาทให้น้องสนม ก่อนปิดประตูใส่หน้า อย่างไม่ใยดี

ก๊อกๆๆ!! ปังๆๆ!! โครม!! เพล้งงงง!! โป๊กกก!! เป๊กกก!! ตูมมมมม!!!

“โว้ยยยยย พอแล้วๆ ทุกคนตื่นโว้ยยยยย สถานการณ์ฉุกเฉิน”
หลังจากปล่อยให้น้องสนมทำลายข้าวของมานาน คนแคระทั้งเจ็ด ก็สุดทน
ตื่นขึ้นมาเป็นหมู่ขณะ และออกไปเผชิญหน้ากับน้องสนมข้างนอกทันที

“สวัสดีค่า...หนูชื่อ สนมค่ะ
คือหนูมาจากบ้านนอก งานก็ไม่มีทำ ที่ซุกหัวนอนก็ไม่มี
คือแบบว่าอยากจะขอคุณพี่ใจดี…”
“โว้ยยยยย พอแล้ว...กูรู้แล้ว ฮือๆๆ” คนแคระคนแรกที่ได้ฟังน้องสนมแร๊พให้ฟัง
ร้องขอให้น้องสนมหยุดร้อง เพราะทนฟังไม่ไหว พร้อมๆ กับร้องไห้ออกมาเป็นวรรคเป็นเวร

“แล้วจะเอายังไงดี ลำพังเจ็ดคน ก็นอนเบียดกันจะตายอยู่แล้ว” คนแคระคนที่สองกล่าวอย่างเป็นกังวล
“ก็ดีสิ...ได้นอนเบียดสาวทั้งคืน อูยยยย แค่คิดก็สยิวกิ้ว กิ๊วๆ แล้ว” คนแคระคนที่สาม เผยความหื่นออกมา
“บ้าเหรอแก...ทุกคืนแกนอนเบียดฉันยังไม่พอใช่ไหม ใช่ซี่...ฉันยังไม่ได้แปลงเพศนี่” คนแคระคนที่สี่ ที่เป็นกระเทยเก้ง อดน้อยใจคนแคระคนที่สามไม่ได้
“กร๊ากกกก ฮ่าๆๆ เออแจ่มว่ะน้อง มุขเปิดตัวทำลายข้าวของนี่ใช้ได้นะเนี่ย...” คนแคระคนที่ห้า ผู้ชื่นชอบมุขตลก หัวเราะด้วยความชอบใจ
“............” ไม่มีคำพูดใดๆ จากคนแคระคนที่หก
“ว่าแต่น้องสาวเชียร์ทีมอะไร เป็ดแดงหรือเปล่า” คนแคระคนที่เจ็ด ที่ใส่เสื้อฟุตบอลสีแดง ข้างหลังติดเบอร์เจ็ด พร้อมกับปักชื่อว่า “JETDO” เอ่ยถามน้องสนม

หลังจากนั้นบรรดาคนแคระทั้งเจ็ดก็ถกเถียงกัน จนฟังไม่ได้ศัพท์ คล้ายกับนกกระจิบจิ๊บๆ แตกรัง (นกกระจอก มันกระจอกไป ผู้เขียนไม่ชอบ) จนน้องสนมทนไม่ไหวตะโกนออกมาดังว่า

“กูปวดขี้โว้ยยยยยค่า...” ไม่ตะโกนเปล่า คุณเธอยังปล่อยลมปราณออกมาปะปนด้วย ซึ่งก็ทำให้เหล่าตลกคนแคระทั้งเจ็ดแตกฮือกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทางกันเลยสองที (ทีเดียวมันน้อยไป)

หลังจากที่น้องสนมเสร็จสมอารมณ์หมายสบายตัวไปแล้ว คนแคระทั้งเจ็ด ก็นั่งล้อมวงพูดคุยกับน้องสนม โดยที่ให้น้องสนมนั่งตรงกลาง

“เอาล่ะ...ก่อนอื่น แนะนำตัวให้พวกเราฟังซิ แล้วก็บอกด้วยว่ามีคุณสมบัติอะไร เพียงพอที่ผมจะรับคุณเข้าทำงาน เอ๊ย...รับน้องเข้ามาอยู่กับพวกเราหรือเปล่า” คนแคระคนที่สองยิงคำถามแรก คล้ายๆ กับคำสัมภาษณ์งานของผู้บริหาร


“น้องสนมน่ารักค่า...”


“...”


“โอเค...เรารับคุณ” คนแคระคนที่สองบอก
“เฮ้ยยยยย...จะบ้าเหรอ แค่นี้เนี่ยนะ รับแล้ว...” คนแคระคนที่หนึ่งแย้ง
“โถ...แค่เห็นเป็นผู้หญิงมา กูก็แทบจะอุ้มเข้าบ้านอยู่แล้ว” คนแคระคนที่สามยังหื่นไม่เลิก
“ใช่ซี่...ก็เค้ายังไม่ได้แปลงเพศนี่ยะ” คนแคระกระเทยเก้งคนที่สี่ก็ยังบ่นน้อยใจไม่เลิก
“กร๊ากๆๆ ฮ่าๆๆ เออ มุขตอบไม่ตรงคำถามนี้เด็ดว่ะน้อง ขอจดก่อนๆ” คนแคระคนที่ห้าก็ยังบ้ามุขตลกไม่เลิก
“............” ไม่มีคำพูดใดๆ จากคนแคระคนที่หก
“น้องว่า “ตอร์” กับ “โด้” ใครเจ๋งกว่ากัน” อีตาคนแคระคนที่เจ็ดนี่ก็ยังบ้าบอลไม่เลิก

“แล้วคุณมาทำอะไรที่เมืองคอนกรีตนี้” คนแคระคนที่สองยิงคำถามต่อ
“มาตามหาเจ้าชายค่า...”
“และเจ้าชายของเธอเป็นใครล่ะ” คนแคระคนที่หนึ่งถามต่อ
“ไม่รู้ค่า ถ้ารู้จะมาตามหาให้โง่หรือไงค๊า...”
“อ้าว...อีนี่” คนแคระคนแรกอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา

“แหมะแหม...น้องสาวจ๋า คืนนี้ยังไม่ต้องตามหาให้เมื่อยตุ้มหรอก มา One Day One Night กับพี่ก่อนก็ได้นะจ๊ะ หุหุ” คนแคระคนที่สามแสดงเจตจำนงความหื่นของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
“ใช่ซี่...ตัวเองเล่นเค้าไปหลายคืนแล้วนี่...อีกอย่างก็เค้ายังไม่ได้แปลงเพศด้วย ใช่ซี่...” คนแคระกระเทยเก้งคนที่สี่ยิ่งเห็นคนแคระคนที่สามทำท่าทางหื่นใส่น้องสนมก็ยิ่งน้อยใจ ปนหมั่นไส้
“กร๊ากกกๆๆ เอิ๊ก...ตรงนี้ไม่มีมุขปล่อยมานี่หว่า ฮ่าๆ เออไม่มีมุขก็ขำได้เว้ยย” คนแคระคนที่ห้าบ้าไปแล้ว
“............” ไม่มีคำพูดใดๆ จากคนแคระคนที่หก
“ก่อนจะมาตามหาเจ้าชาย ตามหาแชมป์ลีกให้ได้ก่อนดีกว่ามั้ง พวกเป็ดแดงน่ะ” ไอ้เจ้าคนแคระคนที่เจ็ดก็ยังไม่เลิกแขวะเรื่องบอล (เดี๊ยะตัดไม่ให้มีบทเสียหรอก / ผู้เขียน)

“ว่าแต่ว่า...ฝูงที่อยู่ข้างหลังน้อง นั่นมันอะไร” คนแคระคนที่หนึ่งถามต่อ
“ฝูงแกะไงค๊า...คุงพี่ไม่มีตาหรือไงค๊า...หรือคุงพี่ไม่รู้จักแกะค๊า...ว้ายยยย คุงพี่โง่นี่”
“ก็รู้แล้วว่าแกะ แต่พามาทำบ้าอะไรตั้งเยอะตั้งแยะล่ะโว้ยยยยยยย” คนแคระคนที่หนึ่งตะคอกน้องสนมอย่างสุดทน

“ก็...ก็...น้องสนมเป็นโรคนอนไม่ค่อยหลับนี่ค๊า...” น้องสนมตอบเสียงอ่อย
“แล้วเกี่ยวอะไรกันกับแกะเยอะแยะทั้งหมดนี้ล่ะครับ...” คนแคระคนที่สองสัมภาษณ์ต่อ
“ก็ถ้าน้องสนมนับแกะได้ครบ 100 ตัว น้องสนมจะได้นอนหลับฝันดีไงค๊า...”

“แหม...ถ้ามาอยู่นี่น้องไม่ต้องนับแกะ ก็หลับสบายนะ เดี๋ยวพี่ช่วยเอง” คนแคระคนที่สามยังคงความหื่นอยู่เช่นเดิม
“ใช่ซี่...ก็เค้ายังไม่ได้แปลงเพศนี่ยะ” คนแคระกระเทยเก้งคนที่สี่ก็ยังบ่นเหมือนเดิม
“พรื่ด...กร๊ากกกกๆๆ นอนไม่หลับ เลยพาแกะมาร้อยตัว มุขนี้มาเหนือเมฆจริงๆ ว่ะ อีน้องเอ๊ยยยย จดๆ” คนแคระคนที่ห้าก็ยังฮากับมุขปัญญาอ่อนๆ ดั่งเดิม”
“............” ไม่มีคำพูดใดๆ จากคนแคระคนที่หก...เหมือนเดิม
“คอยดูนะ ปีนี้ผีแดงจะกวาด 5 แชมป์” คนแคระคนที่เจ็ดยังพูดแต่เรื่องบอลเช่นเดิม (อีกทีกูตัดบทมึงแน่ / คนเขียน)

“แล้วเวลานับแกะ นับยังไง” คนแคระคนที่หนึ่งซักต่อ
“ก็นับอย่างนี้นะคะ...แกะน้อยกระโดดยางตัวที่หนึ่ง...” เมื่อน้องสนมเริ่มนับ บรรดาแกะทั้งหมดก็เข้ามาต่อแถวเล่นกระโดดยางอย่างสนุกสนานทีละตัว

“แกะน้อยกระโดดยางตัวที่สามสิบสี่...แกะน้อยกระโดดยางตัวที่สามสิบห้า...แกะน้อยกระโดดยางตัวที่สามสิบหก...” จนมาถึงตัวที่ 99 คนแคระทุกคนต่างหลับผล็อยลงไปหมดแล้ว เหลือเพียงคนแคระคนที่หนึ่ง กับน้องสนมเท่านั้น

“ตัวที่ 99 แล้ว ทำไมเธอยังไม่หลับ”
“ก็ยังไม่ครบร้อยตัวนี่ค๊า...”

และแล้วแกะตัวที่หนึ่งร้อยก็มาถึง แกะตัวนี้เป็นแกะดำ แกะตัวนี้นอกจากความแตกต่างทางสีขนกับแกะตัวที่เหลือแล้ว มันยังมีความรู้สึกนึกคิด มีความใฝ่ฝันที่แตกต่างจากแกะขาวยิ่งนัก มันฝันอยากติดทีมชาติไปแข่งเอ็กซ์เกมส์กีฬาสุดโปรดของมัน และมันก็เล่นสเก๊ตบอร์ดเพื่อหมายจะกระโดดข้ามยางที่ขวางกั้นไว้...แต่แกะดำไม่สามารถพาสเก๊ตบอร์ดข้ามยางที่กั้นไปได้ มันเสียหลัก ร่วงลงพื้นหน้าคะมำ พร้อมกับนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น…มันไปไม่ถึงฝั่งฝัน...

“...แล้วอย่างนี้ถือว่าข้ามครบหนึ่งร้อยตัวไหมเนี่ย” คนแคระคนที่หนึ่งถามน้องสนม
“เอ่อ...ถือว่าครบนะคะ...งั้นน้องสนมหลับดีกว่า...คร่อก!!” ว่าแล้วน้องสนมก็ล้มตัวนอนลง หลับสนิทไปทันที ทิ้งให้คนแคระคนที่หนึ่งยืนงงด้วยความสงสัย “ไม่ต้องนับครบร้อยตัว มันก็หลับได้นี่หว่า...” คนแคระคนที่หนึ่งคิดในใจ พร้อมกับล้มตัวลงนอน ท่ามกลางเพื่อนๆ ทั้งหกที่หลับไปก่อนหน้านั้นแล้ว รวมถึงน้องสนมและแกะอีก 100 ตัวด้วย



อีกด้านหนึ่งของซอกเมือง แม่มดสาวพราวเสน่ห์กำลังหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่
เธอค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าทีละชิ้น ท่ามกลางเสียงเชียร์ของหนุ่มๆ ทั้งหลายในโลกไซเบอร์

“ถอดเลยๆ นางฟ้าของผม”
“คุณคือนางฟ้า ขอผมดูเรือนร่างอันเซ็กซี่ของคุณหน่อยเถอะนะ”
“น่ารักจังเลยครับ นางฟ้าที่รัก”

แม่มดสาวถอดเสื้อผ้าออกเรื่อยๆ จนท่อนบนเหลือเพียงแค่บราเซียตัวจิ๋วเท่านั้น
เธอเติมไฟราคะให้หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์ด้วยการปล่อยสายบราเซียออกหนึ่งข้าง
เผยให้เห็นไหล่ขาวนวลของเธอ ยิ่งทำให้หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์ร้อนรุ่ม คลั่งหนัก จนแทบบ้า

“ถอดเลยๆๆๆ”
“โอ้ววววว!! นางฟ้าที่รัก ถอดเลยๆๆ”

“ฉันว่าเธอพอเถอะ อย่าทำเสื่อมเสียวงตระกูลแม่มดไปมากกว่านี้เลย นะนะ...ดื่มซีต้าแล้วไปนอนซะดีกว่านะ” กระจกวิเศษที่นั่งมองแม่มดโชว์หวิวมานานเอ่ยปากเตือน พร้อมกับยื่นเครื่องดื่มหมากสกัดซีต้าให้
“เมื่ออยู่ในโลกนี้ ฉันไม่ใช่แม่มด แต่ฉันคือนางฟ้า อีกอย่างไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร โฮะๆๆ หนุ่มๆเอ๋ย บอกฉันมาซิว่า ใครงามเลิศในปฐพี โฮะๆๆๆ”

เมื่อเข้ามาอยู่ในโลกเสมือนแห่งนี้แล้ว แม่มดสาวรู้สึกว่าเธอได้ปลดปล่อยอิสระให้ตัวเอง ได้โชว์สิ่งที่มีค่าที่ถูกซ้อนเร้นมานาน ให้ผู้อื่นได้ชม เธอภูมิใจในเรืนร่าง หน้าตา และผิวพรรณของเธอ เธอมีความสุข ฮอร์โมนในร่างกายของเธอได้รับสูบฉีดอย่างรุนแรงจากคำเร่งเร้าของบรรดาหนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์


แม่มดสาว ส่ายสะโพก บั้นท้ายโยกย้ายตามจังหวะเสียงเพลง หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์เร่งเร้า

แม่มดสาว ส่ายสะโพก บั้นท้ายโยกย้ายตามจังหวะเสียงเพลง หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์เร่งเร้า!!

แม่มดสาว ส่ายสะโพก บั้นท้ายโยกย้ายตามจังหวะเสียงเพลง หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์เร่งเร้า!!!

แม่มดสาว ส่ายสะโพก บั้นท้ายโยกย้ายตามจังหวะเสียงเพลง หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์เร่งเร้า!!!!


เธอตัดสินใจปลดตะขอเผยจุดซ้อนเร้นของเธอ ให้กับผู้คนมากมายที่รอคอยเธอมานานเสร็จสมอารมณ์หมาย

โอ้วววววววววววววววววว!!!!!!!!!!!!!



รุ่งเช้าอันสดใส น้องสนมตื่นขึ้นมาด้วยหมอกควันสีดำ ที่ปกคลุมอยู่รอบกาย
เธอไอโขลก เธอไม่รู้ว่าหมอกสีดำนี้คืออะไร และมาจากไหน...

“ควันดำจากท่อไอเสียไง...อรุณสวัสดิ์ยามเช้าที่มีแต่มลพิษนะ” คนแคระคนที่หนึ่งที่ตื่นเป็นคนแรก เดินเข้ามาทักทายน้องสนม
“แค่กๆ โขลก ขากถุยส์!! อรุณสวัสดิ์ค่า...” น้องสนมก็ตอบกลับไปด้วยมารยาทอันงดงามเช่นกัน
“ว่าแต่...เธอบอกว่าเธอมาตามหาเจ้าชาย...แล้วเธอรู้เหรอว่าเค้าอยู่ไหน”
“น้องสนมไม่รู้หรอกค่า เจ้าชายเค้ายังไม่เผยตัวตนออกมานี่คะ”
“งั้นเหรอ แต่ฉันว่าฉันหาเจอแล้วนะ” คนแคระคนที่หนึ่งไม่พูดเปล่า เขายังก้มหยิบอะไรในขวดโหลขึ้นมาด้วย

“นี่ไง เจ้าชายกบ ตามตำนานเค้าว่ากันว่า ถ้าเธอจุมพิตเจ้าชายองค์นี้ เจ้าชายจะกลายร่างจากกบมาเป็นหนุ่มรูปงามในทันที เธอจะลองดูไหมล่ะ” คนแคระคนที่หนึ่งยื่นกบที่ถูกมัดมือมัดเท้าให้น้องสนม
“ขอบคุณนะค๊า...พี่นี่ก็ใจดีเนาะ ทำเป็นแอ๊บดุไปด้ายยยย...”
“ฉันแค่อยากให้เธอไปพ้นๆ จากที่นี่ต่างหากล่ะ” คนแคระคนที่หนึ่งพูดจบ ก็เดินเข้าบ้านไป

อีกไม่กี่นาทีต่อมาทุกๆ คนในกระท่อมก็ตื่นด้วยฝีมือของน้องสนม

เป๊งๆๆ!! “ตื่นค่าทุกคน เที่ยงแล้ว ตื่นมารับประทานอาหารเช้ากันก่อนนะค๊า...” น้องสนมใช้ตะหลิวเคาะกับจานข้าว เรียกทุกคนมารับประทานอาหารที่เธอทำ

“อื้อหือ...หอมจัง” คนแคระคนที่สองกล่าวชม
“พี่ว่านะ แก้มน้องน่าหอมกว่าตั้งแยะ” คนแคระคนที่สามหื่นแต่เช้า เอ๊ย! เที่ยงแล้วนี่หว่า
“ใช่ซี่...ฉันมันไม่หอมนี่...อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้แปลงเพศ ใช่ซี่ๆๆๆ” อีกระเทยคนแคระคนที่สี่ก็งอนแต่เที่ยง
“มุขเคาะจานเรียกหมา เอ๊ย เรียกเรามากินข้าว แหม...ปล่อยทีเด็ดแต่หัววันเชียวนะอีน้อง อย่างนี้ต้องจด” ไม่ต้องบอกแล้วได้ไหม ว่าเป็นคนแคระคนที่ห้า ที่บ้ามุขอย่างนี้...แล้วก็อย่าไปถามคนแคระคนที่หกเลย มันไม่มีอะไรจะพูดหรอก แล้วไม่ต้องสนใจคนแคระคนที่เจ็ดด้วย เพราะมันถูกแบนบทไปเรียบร้อยแล้ว

“ว่าแต่เธอทำอะไรกินน่ะ แหมน่ากินเชียว” คนแคระคนที่หนึ่งถาม
“ก็...นี่นะค๊า ผัดเผ็ดเจ้าชายกบค่า...ส่วนนี้ก็เป็นต้มยำเจ้าชายกบนะค๊า...” น้องสนมตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เฮ้ยยยยย!! ฉันให้เธอจุมพิศเจ้าชาย ไม่ใช่ให้เอาเจ้าชายมาต้มยำทำแกงอย่างนี้” คนแคระคนที่หนึ่งร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ก็...ก็...เจ้าชายกบ มันจะไปสำคัญเท่ากับปากท้องของพวกพี่ๆ ได้ยังไงล่ะค๊า อีกอย่างเจ้าชายกบมีหลายตัว น้องสนมเลือกจูบไม่ถูกหรอกค่า เดี๋ยวปากเปื่อยกันพอดี เลยเอามาผัดเผ็ดซะเลย”

“ช่างน่าซึ้งใจจริงแท้...งั้นก็ไม่เกรงใจนะครับ” คนแคระคนที่สองพุ่งเข้าไปตักเจ้าชายกบเข้าปากเป็นคนแรก

“อื้มมมม...อร่อย ไม่รู้ว่าน้องจะอร่อยเหมือนอาหารที่ทำหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮี่ๆๆๆ” แม้ขณะตอนกำลังกิน คนแคระคนที่สามก็ไม่วายหื่น

ใช้เวลาไม่นานนักอาหารในจานก็หมดเรียบ ทั้งคนแคระ ทั้งแกะ ตามอิ่มหมีพีมันสุขกายสบายใจ แต่ไม่นานนักคนแคระคนที่สี่ก็เริ่มเกิดอาการไม่ดี

โครก คราก...ปุ๋ง ปู้ดดดด!! “อ๊างงง...อยู่ดีๆ ทำไมตดแตกขนาดนี้ล่ะฮ้า แถมยังปวดท้องอีกต่างหาก”
“เฮ้ย...เมื่อคืนฉันไม่ได้ทำแรงเลยนะเว้ย ก็เหมือนกับทุกวัน อึ๊...!!” จู่ๆ คนแคระคนที่สามก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาด้วยเช่นกัน

ใช้เวลาไม่นาน ทั้งคนแคระทั้งแกะก็พร้อมใจขี้แตก

“คุณ...คุณเอาอะไรให้พวกเรากิน” คนแคระคนที่สองเอ่อยถามน้องสนมด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจ
“แหม...บอกให้เอาบุญก่อนตายก็ได้ค่า...คือที่น้องสนมทำให้กินน่ะ เป็นคางคกค่า ตัวโตๆ พิษเยอะๆ ทั้งน้านนนน” น้องสนมตอบด้วยน้ำเสียงสดใส

“ไอ้...ไอ้คนเนรคุณ” คนแคระคนที่สองตัดพ้อน้องสนมด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ใครบอก...จงรักภักดีต่างหาก แต่ก็แค่จงรักภักดี และตอบแทนคุณข้า...ก็เท่านั้น” เป็นคนแคระคนที่หนึ่งที่ยังคงยืนอยู่ และไม่แสดงท่าทีอาการใดๆ ให้เห็น
“พะ...พวกแกไปแอบตกลงกันตอนไหน” คนแคระคนที่สองยังคงอึดที่จะถามต่อ ขณะที่คนอื่นนอนตายจมกองขี้ไปหมดแล้ว
“ก็...แค่เธอเอาเจ้าชายกบไปผัดเผ็ดก็รู้แล้วว่าเธอยอมรับข้อเสนอของข้า”
“ข้อเสนอ...ข้อเสนออะไร”

คนแคระคนที่หนึ่งถอนหายใจ พร้อมกับรอยยิ้ม
“ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย...” คนแคระคนที่หนึ่งเอ่ยประโยคนี้เป็นทำนองเพลงพร้อมๆ กับถอดหน้ากากออก ใช่แล้วเขาคือเจ้าชายปลอมตัวมานั่นเอง (ดีที่เจ้าชายไม่ได้มียศเป็นร้อยตำรวจเอก)
“จะ...เจ้าชาย” คนแคระคนที่สองเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตา
“ใช่...ข้าคือเจ้าชาย ผู้ปกครองแคว้นตะวันออกเฉียงเหนือ เรื่อยไปถึงภาคเหนือทั้งภาค”
“ทะ...ทำไมต้องทำกับพวกเราอย่างนี้ ระ...เราไปทำอะไรให้”
“พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่ามันขมขื่นแค่ไหน...แม้หน้าตาข้าจะหล่อเหลาเพียงใด แต่ก็ไม่มีสาวไหนมองเห็นเพราะอะไรรู้ไหม...เพราะข้าเตี้ยเป็นคนแคระอย่างนี้นี่ไง” เจ้าชายรำพึง...

“ละ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกข้า”
“เกี่ยวสิ...!! เพราะพวกเจ้า เข้าไปข่มขืนพระมารดาของข้าตอนที่ท่านกำลังหลับ ลูกที่เกิดมาจึงตัวเตี้ยเป็นคนแคระอย่างข้านี่ยังไง ฮือๆๆ” พูดจบเจ้าชายก็ร้องไห้เสียใจ

“ตอนนั้น...พวกข้าเมาไปหน่อย”
“เมาไปหน่อยเหรอ!! หลักฐานที่พวกแก 6 คนทิ้งไว้มีทั้งเบียร์ 2 ลัง เหล้าครึ่งโหล ว้อดก้าอีก 2 ขวด พร้อมอุปกรณ์สูบสมุนไพรอีกเพียบ กินซะครบขนานอย่างนี้ยังเรียกว่าเมาไปหน่อยใช่ไหม!!”

แล้วคนแคระคนที่สอง และคนสุดท้ายที่ยังไม่ตาย ก็จากไป...

“แล้วเราจะทำอย่างไรกับศพพวกนี้ดี” เจ้าชายเอ่ยถามน้องสนม
“ไม่ต้องห่วงค่า...” ว่าแล้วน้องสนมก็พาแกะออกมาห้าตัว แกะห้าตัวนี้รอดพ้นจากพิษคางคกมาได้ ก็เพราะว่าน้องสนมไม่ให้กิน “เราก็บอกว่าเจ้าห้า ตัวนี้เป็นคนฆ่าก็สิ้นเรื่องค่า...”
“แกะรับบาปว่าอย่างนั้น...”
“ไม่ใช่แกะหรอกค่า แพะต่างหาก” น้องสนมไม่พูดเปล่า เธอถลกหนังแกะที่ปกคลุมแพะทั้ง 5 ตัวนั้นออกมาด้วย
“โอ้ววว...สุดยอดจริงๆ เธอ สมแล้วที่จะเป็นคู่ครองของข้าในอนาคต”

“ว่าแต่...ขอของที่ตกลงไว้ก่อนได้ไหมค๊า...”
“อ่ะอ้อ...ค่าจ้างน่ะเหรอ อ่ะเอาไป” เจ้าชายควักเงินในกระเป่าหลุยส์มาริโอ้ออกมา เขานับพันธบัตร และยื่นให้น้องสนมเพียงหยิบมือหนึ่ง
“แค่นี้เองเหรอค๊า...ที่ตกลงไว่มันเยอะกว่านี้นี่”
“เรื่องมากจริง เจ้าจะได้เยอะกว่านี้แน่นอน เมื่อแต่งงานกับข้า”
“สงสัยจะไม่ทันอ่ะค่ะ...น้องสนมจำเป็นต้องใช้เงินเดี๋ยวนี้ ขอโทษด้วยนะค๊า...” น้องสนมเอ่ยขอโทษเจ้าชายด้วยรอยยิ้ม

ชั่ววินาทีที่เจ้าชายมองใบหน้าอันยิ้มแย้มแอ๊บแบ๊วของน้องสนมอยู่นั่น เขาก็รู้สึกได้ว่ามีของแหลมมาทิ่มแทงที่หลัง มีใครบางคนเข้ามาแทงข้างหลังเขา...!!

เป็นแกะดำนั่นเอง ที่ใช้มีดสปาต้าปลายแหลม ทิ่มแทงผ่านกระดูกสันหลังของเจ้าชาย ผ่านตับไตไส้พุงจนทะลุออกมาที่ท้อง

“สำเหนียกตัวเองไว้ด้วยนะค๊า...ใครจะไปแต่งงานกับคนแคระได้ล่ะค๊า สำคัญตัวผิดหรือเปล่า”
“เจ้า...หักหลังข้า”
“น้องสนมเธอไม่ได้หักหลังใครทั้งนั้นหรอกครับ คุณเจ้าชาย แต่จงรักภักดีต่างหากล่ะ น่าเสียดาย ที่เธอจงรักภักดีกับผมแต่เพียงผู้เดียว” เจ้าแกะดำพูดพร้อมถอดชุดแกะดำออก...เขาเป็นเด็กแว้นปลอมตัวมา!! อะไรจะหักมุมได้น่าเกลียดขนาดนี้ (น่าเสียดายที่เด็กแว้นท์คนนี้ก็ไม่ได้มียศเป็นร้อยตำรวจเอกเหมือนกัน)

“ไปกันเถอะที่รัก เงินขนาดนี้ก็พอสำหรับแต่งรถ แล้วก็ซื้อยาได้อีกตั้งเยอะแน่ะ” เด็กแว้นท์ผู้ที่ปลอมตัวเป็นแกะดำ ผู้ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันโอบกอดประคองน้องสนมขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ออโตเมติกที่กำลังฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ที่ถูกแต่งไว้ครบครัน ทั้งท่อสูตรทรง MotoGP ฝังเซ็นเซอร์เพื่อการทำงานของระบบหัวฉีดที่สมบูรณ์แบบ เบาะปาดสไตล์นักแข่ง ยางล้อขอบ 14 โช้คอัพหน้า สไตล์ หัวกลับ โช้คอัพหลังเลือกใช้แบบมีซับแท้งค์ และ ฯลฯ (จะแต่งบ้าอะไรมากมายเนี่ย!) ทิ้งให้เจ้าชายนอนหายใจรวยรินท่ามกลางกองขี้ ก่อนจะหมดลมหายใจไปอย่างเดียวดาย



อีกด้านหนึ่งของซอกเมือง แม่มดสาวพราวเสน่ห์กำลังหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่
เธอค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าทีละชิ้น ท่ามกลางเสียงเชียร์ของหนุ่มๆ ทั้งหลายในโลกไซเบอร์


แม่มดสาว ส่ายสะโพก บั้นท้ายโยกย้ายตามจังหวะเสียงเพลง หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์เร่งเร้า

แม่มดสาว ส่ายสะโพก บั้นท้ายโยกย้ายตามจังหวะเสียงเพลง หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์เร่งเร้า!!

แม่มดสาว ส่ายสะโพก บั้นท้ายโยกย้ายตามจังหวะเสียงเพลง หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์เร่งเร้า!!!

แม่มดสาว ส่ายสะโพก บั้นท้ายโยกย้ายตามจังหวะเสียงเพลง หนุ่มๆ ในโลกไซเบอร์เร่งเร้า!!!!


“เฮ้อ...ฉันว่า เธอดื่มซีต้าแล้วไปนอนดีกว่านะ อย่าทำให้ตระกูลแม่มดเสื่อมเสียไปมากกว่านี้เลย” กระจกวิเศษออกปากเตือนแม่มดด้วยความเป็นห่วงปนอ่อนใจ
“ในนี้ฉันคือนางฟ้า ฉันคือเจ้าหญิง ฉันมีอำนาจต่อรองกับผู้ชายเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนคน มันเป็นความสุขของฉัน โฮะๆๆๆ”

กระจกวิเศษคอตก ก่อนจะยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย “เฮ้อ...ฉันว่า เธอดื่มซีต้า แล้ว...ไปตายซะ! น่าจะดีที่สุด”

ฉึก!!!



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าไว้ใจสาวแอ๊บแบ๊วไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น บางทีเธออาจถูกหนุ่มเด็กแว้นท์ใช้งานมาก็ได้

คำเตือน : นิทานเรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้มือถือสากปากถือศีล และเยาวชนผู้ไร้ความคิด ที่ไม่สามารถแยกแยะว่าอย่างไหนจริง อย่างไหนลวง อย่างไหนถูกต้อง อย่างไหนไม่ควรทำ และอย่างไหนฮา อย่างไหนแป้ก และกรุณาอย่าคาดหวังสาระจากเรื่องสั้นเรื่องนี้ เพราะอาจจะทำให้คุณระทมกบาลไปเปล่าๆ


เรื่องสั้นขำๆ ในวันร้อนๆ อย่าซีเรียสกับชีวิตให้มันมากนักเลยนะครับ ^ ^




Create Date : 14 เมษายน 2552
Last Update : 14 เมษายน 2552 19:47:49 น. 5 comments
Counter : 912 Pageviews.  
 
 
 
 
..
ลงชื่อไว้ก่อนได้ป่ะ
 
 

โดย: สิงห์อมบ๊วย วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:23:57:44 น.  

 
 
 
555555555555555555555555555
เรื่องอย่างฮา

ฉากแม่มดสาวนี่เอามาจากประสบการณ์จริงเปล่าคะ

 
 

โดย: หมูปิ้งไม้ละ 5 บาท วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:11:47:36 น.  

 
 
 
เรื่องไม่สั้นเลยค่ะ คุณยาง
ยาวเหมือนกันนะนี่
 
 

โดย: ปณาลี วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:13:55:20 น.  

 
 
 
คุณสิงห์ฯ - ยินดีฮะ ^ ^

คุณหมูปิ้งฯ - บ้า...!! ผมไม่เคยเอาชีวิตจริงมาเขียนนะ แหะๆ

คุณตูน - นานๆ ทีจะบ้าเขียนอะไรยาวๆ อย่างนี้ซักทีนึงอ่ะฮะ
 
 

โดย: ยางมะตอยสีชมพู IP: 124.121.128.219 วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:19:17:23 น.  

 
 
 
ครั้งนี้ไง...เรื่องจริงเอามาเขียนอิอิ
สงกรานต์ไปเที่ยวไหนมาอ่ะคุณยางมะตอย

 
 

โดย: หมูปิ้งไม้ละ 5 บาท วันที่: 19 เมษายน 2552 เวลา:10:43:26 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ยางมะตอยสีชมพู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นมนุษย์เงินเดือน รับใช้การตลาด
ต้องคิดงานให้เกินคาด แล้วจะได้ตังค์ใช้

ชอบดนตรี เสียงเพลงเป็น ชีวิตจิตใจ
ตัวอักษรนั้นไซร้ กัดแทะได้ ทุกวี่วัน



ลายปากกา


ของเค้าดีจริง เข้าไปเยี่ยมชมกันได้ครับ ^ ^
ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียน ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติแม้ที่จะคิดเขียน และถึงแม้ว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่ว่ามันก็ออกมาจากมันสมองอันน้อยนิดของผม ขอร้องเถิดครับ กรุณาอย่าเอาไป คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนี่งส่วนใดหรือทั้งหมดของงานเขียนของผมเลย (ยางมะตอยสีชมพู) ผมขอสงวนสิทธิ์ตามกฏหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จะมีโทษ ปรับตามกฏหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือนำเรื่องไปเสนอสำนักพิมพ์ ถือเป็น การเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 800,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ยังเข้าใจ และเห็นใจคนชอบเขียนห่วยๆอย่างผม (ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฏหมายลิขสิทธิ์)
[Add ยางมะตอยสีชมพู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com