Don't Worry, Be Happy

<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
25 กุมภาพันธ์ 2551
 

Title: โดดเดี่ยว...แต่ไม่เดียวดายในเมืองแห่งสายหมอก

บทนำ

กาลครั้งหนึ่งในไม่กี่วันทีผ่านมา มีชายหนุ่มมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง เกิดอาการเบื่อหน่าย และเกิดอารมณ์อยากจะกระโดดถีบสังคมที่ตัวเองยืนอยู่นั้นอย่างสุดขั้ว แต่...เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อมองไปทางขวาก็เจอแต่ปัญหา มองไปทางซ้ายก็เจอแต่พวกหมานุดขี้เหม็น มองไปข้างหน้าก็เจอพวกนอมินี...หรือจะกลับหลังหันก็ไม่ได้ เพราะมันมีใครบางคนรอเหยียบซ้ำอยู่...ชายหนุ่มนิ่งคิด...เพียงผ่านไปชั่วหนึ่งลมหายใจ ชายหนุ่มได้ตัดสินใจพักตัวเอง และคิดที่จะหลบหนีออกจากความวุ่นวายในสังคมนั้น สังคมที่มีแต่ความเกลียดชัง สังคมที่มีแต่การชิงดีชิงเด่น สังคมที่มีแต่การคิดร้ายใส่กัน...ชายหนุ่มไม่เข้าใจ ในเมื่อเขาไม่เคยที่จะคิดร้ายกับใคร ทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วย ที่ต้องโดนการกระทำเช่นนั้น

เขาส่ายหน้าพร้อมสะบัดความทรงจำที่รกสมองของเขาออกไป ในหัวของเขากลับมีสถานที่หนึ่งก้าวเข้ามาแทนที่ สถานที่แห่งนี้เขาอยากที่จะไปสัมผัสมานานมากแล้ว และที่แห่งนั้นก็คือ ปาย...หรืออำเภอปาย ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน นั่นเอง


เหตุผลของการเดินทาง

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ หลังเสียงสัญญาณบอกเวลาเลิกงาน ชายหนุ่มคนนั้นซึ่งก็คือ “ผม” นั่นเอง ได้รีบเก็บข้าวของ และเอกสารที่กองพะเนินบนโต๊ะเข้าลิ้นชักอย่างรีบร้อน ในหัวคิดแต่สถานที่ที่ผมกำลังจะเดินทางไป อีกอย่างการเดินทางในครั้งนี้ เป็นการเดินทางเพียงคนเดียวครั้งแรกของผม...

“ไปคนเดียวจะสนุกเหรอ...”
“ไม่กลัวเหรอ...ไปคนเดียว”
“อารมณ์ไหนเนี่ย บ้าหรือเปล่า”

ด้วยความสัตย์จริง...การเดินทางในครั้งนี้ของผม ไม่ได้ต้องการที่จะบอกว่า “กูแนว” หรือ “กูเท่” แต่อย่างใด และผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าอารมณ์ไหน แต่...สิ่งที่ผมต้องการก็คือ การไปพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆด้วยตัวคนเดียวบ้าง...สักครั้ง เพราะหลายต่อหลายครั้งในการเดินทางไปต่างจังหวัดของผมกับคนหมู่มาก เป็นเพียงแค่ “การเปลี่ยนสถานที่ดื่มเมรัย” เพียงเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ครั้งนี้ผมจึงตั้งใจ พาตัวเองเพื่อไปสัมผัสธรรมชาติเต็มที่ ไปสัมผัสบรรยากาศที่เงียบสงบ สัมผัสวิถีชีวิตของกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือกับเหตุผลที่ผมจะเดินทางไป...เพียงคนเดียว


ก้าวแรกของการเดินทาง

20.25 น. คือเวลาที่รถขยับตัวออกจากสถานขนส่งหมอชิต จุดหมายปลายทางที่จะไปก่อนก็คือ เชียงใหม่...เหตุก็เพราะการเดินทางไปต่อรถที่เชียงใหม่ สะดวกและรวดเร็วที่สุดแล้ว

05.30 น. หลังใช้เวลาในการเดินทาง 9 ชั่วโมง ผมก็มาถึงเชียงใหม่จนได้ หลังจากนั้นเป็นผมล่ะครับที่จะตัดสินใจ เลือกการเดินทางต่อไปยัง “ปาย” ว่าจะไปอย่างไรดี คือมีให้เลือกระหว่าง รวดเร็ว สบาย ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 ชั่วโมง นั่นก็คือใช้บริการรถตู้ สนนราคาก็คนละ 150 บาท หรือ นั่งรถชมวิว ช้าหน่อยแต่ได้บรรยากาศ โดยรถที่จะเดินทางไปเป็นรถบัสสีแดง เก่าๆ ค่าตั๋วก็ 80 บาท ซึ่งจริงๆแล้วผมเลือกอย่างหลังนะครับ แต่พอเมื่อเดินไปสถานที่ขายตั๋วแล้ว รถบัสเพิ่งออกไป ขณะที่รถตู้โดยสารเหลืออีกเพียงที่เดียว ก็จะเต็มจำนวนผู้โดยสาร พร้อมออกเดินทาง แน่นอนครับ ผมไม่อยากรอเลยตัดสินใจขึ้นรถตู้ไป เมื่อขึ้นไปแล้วจากคำเตือนของหลายคนที่บอกมาว่าทางขึ้นไปยัง ปายนั้น วกวนมาก (762 โค้ง) ทางที่ดีควรกินยาแก้เมารถไปก่อน ซึ่งผมก็ทำตามแต่โดยดีฮะ...




แวะพักเข้าห้องน้ำและชมวิวกลางทางกันก่อนครับ



รถตู้คันนี้แหล่ะครับ...ที่พาผมเดินทางจากเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่ "ปาย"

สวัสดี...ปาย



3 ชั่วโมงต่อมาผมก็มาถึงเมืองที่ขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดจนได้ หลังจากที่ลงจากรถ ผมก็เริ่มเดินหาที่พักทันที จากการแนะนำของใครหลายคนบอกผมไว้ว่าที่พักนั้นควรจองไว้จะดีที่สุด...แต่ผมไม่ครับ เพราะเสน่ห์ของการเดินทางนั้น อยู่ที่การเดินหาที่พักเองต่างหาก อีกอย่างผมมาคนเดียวด้วยไม่จำเป็นต้องห่วงใคร...แต่แค่ที่แรกที่ผมเข้าไปถามหาห้องพักก็ต้องผิดหวังกลับมา “เต็มหมดแล้วเจ้า” แม้จะเป็นคำปฏิเสธ แต่ก็เป็นคำปฏิเสธที่อ่อนหวานนุ่มนวลที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยิน เลยทีเดียว

จนมาถึงที่ที่สอง ผมต้องเดินเข้าไปในซอย ซึ่งลึกนิดนึงแต่...ไม่ผิดหวังครับ ผมได้ที่พักที่ถูกใจ ติดกับแม่น้ำปายด้วย แถมยังราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะตอนแรกผมกะไว้ซักคืนละ 300 บาท แต่ผมได้ที่พักในราคาถูกกว่าครึ่ง ใช่ครับ เพียงแค่ 150 บาทผมก็ได้ที่ซุกหัวนอน ที่นี่เป็นเกสต์เฮาส์ที่ภายในถูกตกแต่งไว้ด้วยธรรมชาติล้วนๆครับ ก็ขอบอกไว้หน่อยละกัน เผื่อว่าใครจะไป เกสต์เฮาส์ที่นี่มีชื่อว่า Golden Hut ครับผม








ที่ซุกหัวนอนในปายฮะ...ขอบอกบรรยากาศดีมั่กๆเลยฮะ...

หลังจากที่อาบน้ำอาบท่า และกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ผมก็เริ่มสำรวจเมืองครับ โดยการออกไปเช่ามอเตอร์ไซค์ซึ่งมีไว้บริการให้นักท่องเที่ยว รวมทั้งมีจักรยานให้เช่าสำหรับผู้ที่ต้องการขี่ชมเมืองแบบเหนื่อยๆด้วย ส่วนผมซึ่งได้กำหนดสถานที่ที่ต้องการไปไว้แล้ว หากจะใช้จักรยานคาดว่าคงเป็นลมไปเสียก่อน จึงเลือกเช่ามอเตอร์ไซค์ครับ สนนราคาก็วันละ 120 บาท ถ้าเช่าหมวกกันน๊อคด้วยก็ใบละ 100 บาท และที่สำคัญเค้าแถมแผนที่ท่องเที่ยวในปาย ที่ดูแล้วเข้าใจได้ง่ายมากมาด้วย หลังจากนั้นผมก็เริ่มบิดคันเร่ง แล้วพาตัวเองไปชื่นชมสิ่งสวยงามตามธรรมชาติเสียที...และต่อไปนี้คือสถานที่ต่างๆที่ผมได้ไปเที่ยวชมมาในวันแรกที่มาถึงปายครับ

กองแลน (ปายแคนยอน

ลักษณะก็เป็นผืนดินที่ถูกกัดเซาะจนเป็นร่องลึกคล้ายกับหน้าผานั่นเองครับ...ซึ่งเดินจากข้างล่างขึ้นไปเพียง 100 เมตร ก็ถึงแล้วครับ ส่วนใหญ่เค้าจะมากันในเวลาเช้าๆ เพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้น กับตอนเย็นช่วงที่พระอาทิตย์ตกดิน...แต่ผมดันมาซะเที่ยง ก็ร้อนสิครับ...





สะพานประวัติศาสตร์ปาย

ถัดจากกองแลนไปไม่กี่อึดใจ ผมก็พบสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกมากที่สุดที่หนึ่งในปายเลยที่เดียว ที่แห่งนั้นคือ สะพานประวัติศาสตร์ปาย จากประวัติผมทราบมาว่าสะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกที่ 2 โดยกองทหารญี่ปุ่น เพื่อใช้ข้ามแม่น้ำปายลำเลียงเสบียงและอาวุธไปยังประเทศพม่า ซึ่งปัจจุบันก็เก่าผุพังจนใช้การไม่ได้แล้วครับ





น้ำพุร้อนปาย

ถัดไปอีกนิดเดียวครับ จะมีซอยให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีก 2 กม. ก็จะพบน้ำพุร้อนปาย ซึ่งอยู่ในเขตคุ้มครองของอุทยานห้วยน้ำดัง (จริงๆแล้วอุทยานห้วยน้ำดังต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณ 40 กม. ได้ ตรงส่วนนี้ผมเดาว่าน่าจะเป็นส่วนด้านล่างตีนเขาของอุทยานมากกว่า หากข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะครับ) ซึ่งน้ำพุร้อนที่นี่มีอุณหภูมิสูงถึง 80 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ผมเห็นข้องความโฆษณาด้วยล่ะครับว่าไข่ต้มที่นี่อร่อยที่สุดในโลก ซึ่งมีอยู่เพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น (แต่ผมไม่ได้ลองต้มกินดูแฮะ)





เอ่อ...บ่ออาบน้ำแร่ กับบ่อต้มไข่นี่คนละที่กันนะฮะ...แหะๆ

หลังจากเที่ยวชมบรรยากาศภายในอุทยานและล้างหน้าล้างตากับน้ำแร่ที่มาจากน้ำพุร้อนนี้แล้ว ผมก็ออกเดินทางต่อครับ จุดหมายปลายทางอยู่ที่วัดพระธาตุแม่เย็น แต่ระหว่างทางที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยความที่ไม่เร่งรีบชมนกชมไม้ไปเรื่อย แวะถ่ายรูปภาพทุ่งนาทุ่งไร่สวยๆ ตัดกับท้องฟ้าสีคราม บางทีการท่องเที่ยวกับธรรมชาติให้เต็มที่โดยไม่ต้องรีบไปให้ถึงจุดหมายปลายทางก็มีความสุขไปอีกแบบนะครับ

หลังจากขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยผมก็แวะพักเหนื่อยที่ร้านกาแฟสุดเก๋แห่งหนึ่ง นอกจากร้านจะถูกตกแต่งอย่างเก๋ไก๋น่ารักแล้ว บรรยากาศก็ดี มีลมพัดโชยให้ผมนั่งดูดกาแฟมอคค่าปั่นอย่างสบายอารมณ์ ซ้ำด้านหน้าของร้านยังถูกตกแต่งให้เป็นสถานที่ถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวอีก...ชอบครับ




ชมนกชมไม้ และทิวทัศน์สวยๆริมทางฮะ...





ร้านกาแฟสวยๆ แถมยังแนวอีกต่างหาก

วัดพระธาตุแม่เย็น

ประมาณ 30 นาทีต่อมาผมก็พาตัวเองพร้อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจขี่ขึ้นเขาเพื่อไปกราบนมัสการพระธาตุแม่เย็น ซึ่งภายในวัดนี้นับเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นอำเภอปายได้อย่างทั่วถึง จนเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวอีกเช่นกันครับ





น้ำตกแม่เย็น

ผมขี่มอเตอร์ไซค์ลงจากวัดพระธาตุแม่เย็นเผอิญผมเหลือบไปเห็นป้ายบอกทางที่บอกไว้ว่ามีน้ำตกแม่เย็นอยู่ไม่ไกลจากตัววัดนักเพียงแต่ 2 ก.ม. ผมจึงตัดสินใจขี่เข้าไปครับ ซึ่งเพียงอึดใจเดียวก็ถึงแต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ผมต้องเดินเข้าไปอีก 6 กม. ถึงจะได้ชมต้นน้ำ ของน้ำตกแม่เย็นครับ...เอายังไงดี ผมยืนตัดสินใจอยู่นาน เห็นฝรั่งเดินผ่านผมไปคนหนึ่ง เลยตัดสินใจเอาวะ! ไม่ลองก็ไม่รู้ ซึ่งทางเดินขึ้นไปนั้นไม่ได้สบายอย่างที่คิดนะครับ และไม่มีป้ายบอกด้วยว่าสมควรเดินไปทางไหน ผมเดินไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่ามันชักลึกเกินไปแล้ว ส่วนอีตาฝรั่งที่เดินมาก่อนผมมันทะลึ่งเดินไปคนละทางกับผมครับ ซึ่งบอกตรงๆเลยว่าผมถอดใจ และตัดสินใจเดินกลับ...แม้ใจอยากจะเห็นต้นน้ำขนาดไหน แต่คงไม่เหมาะแน่หากจะเดินเข้าป่าคนเดียวในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยในเวลาเกือบ 5 โมงเย็นอย่างนี้



ผมกลับถึงที่พักพร้อมกับนอนแผ่หลาด้วยความเหนื่อยอ่อนและงีบหลับไปได้ซักพักจนถึงเวลาเลย 6 โมงเย็นไปหน่อยๆ ผมลุกขึ้นมาจัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้งเพื่อไปเดินในตัวเมืองในเวลาเย็น

“ปาย”เมืองเล็ก...แต่อบอุ่น

ผมเดินออกมาจากที่พักเพื่อออกไปที่ตลาดหรือถนนคนเดินโดยตัดสินจอดพักมอเตอร์ไซค์ไว้ ด้วยมั่นใจว่า ในวันรุ่งขึ้นมันต้องลุยกับผมอีกทั้งวัน ภายในตัวเมืองค่อนข้างมีคนพลุกพล่านครับ ร้านรวงของที่ระลึกกิ๊บเก๋ น่ารักๆต่างๆก็เริ่มทยอยออกมาวางขาย ร้านกาแฟที่นำรถโฟล์คตู้มาทำเป็นร้าน สามารถดึงดูดความสนใจแก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี...และที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงครับ...ร้านโปสการ์ด ที่มีวางขายเรียงรายทั้งตามทางเดินและเป็นร้านที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่มีสไตล์มองแล้วดูอบอุ่นน่ารักไปอีกแบบ

ผมเดินไปอย่างช้าๆดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนสายตามาหยุดอยู่ที่ร้านขายขนมริมทางเดินร้านหนึ่งครับ...จากข้อความที่เขียนไว้ ขนมนั้นชื่อว่า “ข้าวปุก” สอบถามจากคนขายได้ใจความว่า ขนมนี้เป็นขนมที่มีขายเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น และเป็นขนมพื้นเมืองของชาวจีนยูนนาน ราคาไม่แพงครับชิ้นล่ะ 10 บาทเท่านั้น ซึ่งข้าวปุกที่ว่านี้ก็คือข้าวเหนียวดำนั่นแหล่ะครับ นำมาปิ้งบนเตาร้อนๆ พอพองได้ที่ก็นำขึ้นมาวางบนใบตอง ใส่น้ำตาล ใส่งาดำ และนมข้นหวาน (นมข้นหวานนี้ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นสูตรที่เพิ่มมาจากดั้งเดิมนะครับ แต่ผมก็ไม่กล้าถามคนขายต่อ)

จากนั้นเมื่อหาข้าวกินจนอิ่มหนำแล้ว ผมจึงเดินทางกลับ และพยายามไม่แวะดูอะไรอีกเนื่องจากมีแต่ของที่ระลึกสวยๆอีกเยอะแยะ อีกอย่างผมก็สอยมาจนหมดไปหลายบาทแล้วด้วย...คืนนี้จึงจบลงด้วยความเหนื่อยล้าของสองขา แต่สมองปลอดโปร่งมีความสุข และผมก็ผลอยหลับไป








ถนนคนเดินฮะ...







คาดว่าน้องหนูคนนี้คงมีคนมาขอถ่ายรูปเป็นร้อยแล้วแน่ๆฮะ...น่ารักซะไม่มีเชียว ^ ^

แสงทองยามเช้า

จริงๆแล้วผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในเวลา 6 โมงเพื่อจะเดินทางขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นครับ...แต่ด้วยอากาศที่เย็นค่อนไปทางหนาว ทำให้ผมนอนต่อเลยเถิดไปจนถึง 7 โมงกว่าครับ...เมื่อรู้ว่าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทันแล้วผมจึงลุกขึ้นจากที่นอนช้าๆล้างหน้าแปรงฟัน และออกไปหาอะไรกินที่ตลาด และไม่ลืมที่จะหยิบกล้องออกไปเก็บบรรยากาศยามเช้าด้วย

ผมประเดิมเช้านี้ด้วยการใส่บาตร ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนของผมเลยทีเดียว จากนั้นก็ซัดไข่ลวก กาแฟและขนมครกจนอิ่มแปร้ และตระเวนถ่ายรูปตามที่ต่างๆในเมือง...












วัดหมาหลางครับ ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปเจอเข้าโดยบังเอิญ ซึ่งดูจากสภาพแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นวัดเก่า หรือไม่ก็วัดร้าง

วัดน้ำฮู

เป็นสถานที่แรกที่ผมกำหนดไว้ว่าจะไปในวันนี้ จากประวัติที่ผมอ่านมาวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่ออุ่นเมือง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทำด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์ พระเศียรกลวง ส่วนบนเปิดปิดได้และมีน้ำขังอยู่ จนมีผู้คนแห่กันไปขอน้ำจากพระเศียรเพื่อนำมาสักการะ พอน้ำในพระเสียรหมดก็จะยังคงมีน้ำไหลออกมาอยู่ในลักษณะที่ซึมออกมา ส่วนด้านหลังมีองค์พระเจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิของพระพี่นางสุพรรณกัลยา ตามประวัติเล่าว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรางสร้างไว้นั่นเอง







ศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนานบ้านสันติชล

จากนั้นผมเดินทางต่อมายังบ้านสันติชล หรือศูนย์วัฒนธรรมจีนยูนาน ภายในพบว่ามีบ้านดินตั้งเรียงรายอยู่มากมาย และมีก้อนหินสลักชื่อภาษาจีนตัวใหญ่ๆไว้ (ภายหลังผมถามจากเจ้าของภาษาว่ามันแปลว่าอะไร ได้ความประมาณว่า “มั่งมีศรีสุข” อะไรประมาณนั้นแหล่ะครับ ส่วนเจ้าของภาษานั้นผมรู้จักได้อย่างไร ก็ลองติดตามอ่านเรื่อยๆนะครับ) และที่เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวไปไม่น้อยกว่ากันเลยนั้นก็คือชิงช้าครับ ดูเผินจะเหมือนชิงช้าสวรรค์แต่ว่ามันทำมาจากไม้ครับ ผมเห็นคนที่นั่งเล่น แล้วหวีดร้องด้วยความหวาดเสียว ก็ทำให้ผมรู้สึกเสียวแล้วครับ (เสียดายที่ผมมาคนเดียวเลยไม่กล้าที่จะขอเข้าไปร่วมวงลองเล่นด้วย)













น้ำตกแพมบก

ผมขี่มอเตอร์ไซค์ออกนอกเมืองอีกครั้ง ซึ่งจุดหมายปลายทางอยู่ที่น้ำตกแพมบก ซึ่งผมต้องขี่ขึ้นเขาไปตลอดระยะทางกว่า 8 กม. จนถึงจุดหมายปลายทาง และต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 200 เมตรได้ น่าเสียดายครับที่น้ำน้อยไปหน่อย แต่ก็ยังได้สัมผัสกับธรรมชาติไปอีกแบบ...ผมเดินทางต่อไปโดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่น้ำพุร้อนเมืองแปง ซึ่งต้องไปอีกประมาณเกือบ 30 กม. โดยผมอ่านจากป้ายบอกทางด้านหน้า หากเข้าไปประมาณ 25 กม. จะพบโรงเรียนครับ (ขออภัยจำชื่อโรงเรียนไม่ได้) ผมขี่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง และมั่นใจว่าขี่มาเกินกว่า 5 กม. แน่ๆ เลยตัดสินใจต้องขี่มอเตอร์ไซค์กลับอย่างน่าเสียดาย เพราะถ้าไปต่อผมไม่แน่ใจว่าจะอีกไกลหรือเปล่า ประกอบกับน้ำมันที่ผมเติมมาเต็มถังลดลงไปครึ่งถังแล้ว หากไปต่อ ผมเกรงว่ามันจะไม่พอเอาน่ะสิ...

ผมกลับถึงห้องอาบน้ำอีกครั้งและนอนอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ จนเวลา 5 โมง ผมเดินทางไปยังบ้านสันติชลอีกครั้ง เพราะเนื่องจากว่ามันจะมีงาน งานหนึ่งให้ผมเข้าไปร่วมชมน่ะสิ




งานมหกรรมลีซูแห่งประเทศไทย

ถือเป็นโชคดีของผมครับที่มาตรงกับวันงานพอดี เลยได้ชมชาวเขาเผ่าต่างออกมาแสดงพอดี ซึ่งที่ผมเห็นก็มีแต่การเต้นรอบวงนี่แหล่ะครับ คนใหม่มาก็จะเข้าไปในวง คนเก่าที่เต้นมานานแล้วก็จะถอยออกมา ผมเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้นาน ว่าเค้าทำอะไรกัน เลยเดินไปถามพี่ผู้ชายชาวเขาคนหนึ่ง “ก็เหมือนๆกับงานขึ้นปีใหม่น่ะครับ เป็นวัฒนธรรมของเผ่าลีซู (หรือลีซอ)” ซึ่งคำตอบที่ได้มามันยังไม่กระจ่างชัด จนผมเห็นน้องชาวเขาคนหนึ่ง น่ารักเชียวครับเลยเข้าไปถามพร้อมกับขอถ่ายรูป ซึ่งเธอคนนี้ภาษาไทยไม่แข็งแรงสู้พี่ผู้ชายไม่ได้ ซึ่งได้ความเพิ่มเติมว่า “เป็นงานที่รวมชาวเขาเผ่าลีซอหลากหลายหมู่บ้านมารวมกัน นัยว่ามาเต้นพร้อมๆกันเพื่อเกิดความสมานฉันท์ เอ๊ยความสามัคคีในหมู่ชาวเขาด้วยกัน” อืม...เอาเป็นว่าไปดูภาพจะดีกว่าครับ





ประชันความงามฮะ...



2 ชั่วงอายุกับอากัปกิริยาที่แตกต่าง

หลังกลับจากการเสียเงินอีกครั้งกับตลาดในเมือง ผมก็เดินกลับห้องพัก ระหว่างทางเดินกลับผมเห็นการแสดงของน้องๆโรงเรียนในปาย ซึ่งผมได้แวะดุอยู่ 2-3 ชุดการแสดง จึงเดินกลับห้อง



พบเพื่อน

ในช่วงเวลาเงียบๆอย่างนี้ ไม่มีช่วงไหนเหมาะที่สุดแล้วในการออกมานั่งเขียนหนังสือ และโปสการ์ดข้างนอก ในขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับการเขียนและเอ็นจอยรูปากกับขนมกรุบกรอบอยู่นั้น พลัน! ผมเห็นร่างๆเล็กๆร่างหนึ่งเดินเข้ามาไขกุญแจประตูห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องพักของผม สายตาของเธอเหลือบมาเห็นสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ และเอ่ยทักทายผมว่า...Hello!

ครับ...ชิบหายแล้วครับ ขอประทานโทษที่ผมเขียนคำนี้ออกมา แต่ในใจผมคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะภาษาอังกฤษกับผมถูกกันเสียที่ไหนล่ะ ผมส่งยิ้มให้เธอไป แล้วทักเธอตอบ พลันเธอส่งภาษาอังกฤษถามผมมาอีกประมาณว่า ผมพักที่ห้องตรงข้ามกับเธอหรือ...ผมยิ้มและพยักหน้า และอยู่ดีๆเธอก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆผม ผมพยายามใจดีสู้เสือเลยถามเธอออกไปว่า “Are you come alone?” หลังจากนั้นอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้พลั่งพรูออกจากปากเธอเต็มไปหมด จนผมต้องบอกให้เธอช้าๆหน่อย...ผมโง่ภาษาอังกฤษคร๊าบบบบบบบบ



คนนี้แหล่ะครับสาวหมวยจากแดนมังกร นามว่าเฉิน ซี หรือ Jessy

ซึ่งหลังจากที่ทำความเข้าใจแล้ว ผมก็ได้สนทนากับเธอย่างตะกุกตะกัก ได้ใจความว่า เธอชื่อ เฉิน ซี (เธอบอกให้เรียกเธอว่า Jessy ง่ายกว่า) มาจากเสิ่นเจิ้นประเทศจีน เธอเพิ่งไปกัมพูชามา และได้ข่าวจากเพื่อนเธอว่า ที่เชียงใหม่ และที่ปายสวยมากเธอเลยเดินทางมาเยี่ยมชม และไม่ลืมหยอดคำหวานว่า คนไทยใจดี ฮะแฮ่ม...ผมเลยเผลอพลั้งปากชวนเธอออกไปว่า พรุ่งนี้เช้าผมจะตื่นตั้งแต่ 6 โมงเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เธอจะไปด้วยไหม เธอดีใจและตอบตกลงผมทันที จนเธอขอตัวรีบเข้านอนเพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า ผมบอกราตรีสวัสดิ์เธอ ภายในใจนึกว่า “งานเข้าแล้วกู...”


พาเพื่อนเที่ยว

6 โมงเช้า เฉิน ซี หรือ Jessy ออกมาจากห้องนอนได้ตรงตามเวลานัดเป๊ะ เราขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ซึ่งสถานที่ที่จะขึ้นไปนั้นก็อยู่ตรงข้ามกับกองแลนนั่นแหล่ะ หลังพระอาทิตย์ขึ้นมาจากขอบฟ้า ผมที่คิดในใจว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยพาเธอเที่ยวชมที่กองแลน สะพานประวัติศาสตร์ และน้ำพุร้อนปาย จนเวลาเลยเถิดถึง 11 โมง ผมจึงบอกเธอว่า ได้เวลาที่ผมต้องเช็คเอาท์ออกจากที่พักแล้วล่ะ ซึ่งเธอก็ยอมกลับแต่โดยดี และขอบคุณผมอย่างมากมายที่พาเธอเที่ยว เธอบอกผมว่าสนุกมากๆ ผมยิ้มแล้วบอกเธอไปว่า “You’re Welcome”



ระหว่างรอฮะ...อิอิ มีรูปกะเค้าบ้างและ







ช็อตต่อช็อตกับรูปพระอาทิตย์โผล่จากขอบฟ้า

หลังจากนั้น...ก็ระดมถ่ายรูปกันอย่างเมามันฮะ...และผมก็มีรูปไว้ให้เป็นเกียรติประวัติแก่วงตระกูลกับเค้าบ้างว่าเคยมาเหยียบที่ปายมาแล้ว...





จากรูปจะสังเกตุได้เลยฮะ ว่าเธอเป็นนักเดินทางสาวที่ตัวเล็กมากๆ





เป็นที่ระทึก...เอ๊ยที่ระลึกก่อนจากกัน

ได้เวลา...บอกลา

หลังจากเช็คเอาท์ผมก็พา เฉิน ซี ไปกินข้าวด้วยกัน ผมถามว่าเธอจะไปไหนต่อเพราะว่าเธอเองก็เช็คเอาท์พร้อมกับผม เธอบอกว่าจะเข้าไปในเมืองแม่ฮ่องสอนต่อ และหลังจากนั้นเธอจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปหาที่พักแถวถนนข้าวสาร แต่ในระหว่างนี้เธอจะเที่ยวชมในเมืองปายอีกซักพัก บ่ายๆค่อยเดินทาง หลังจากกินข้าวเสร็จพร้อมกับส่งคืนรถมอเตอร์ไซค์ที่เช่าเรียบร้อยแล้ว เป็นขณะเดียวกันที่รถบัสแดงจะออกจากท่ารถ ผมบอกลาเฉิน ซี และกระโดดขึ้นรถเป็นที่สุดท้ายพอดี เธอเดินมาส่งผมพร้อมกับโบกมือบ๊ายบาย ผมโบกมือตอบ รถเคลื่อนตัวออกจากสถานี ผมมองบ้านเรือนในปายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ภาพๆนั้น จะลับตาไป...



รถบัสแดงที่พาผมกลับบ้านทั้งๆที่ใจอยากจะอยู่ต่อมากๆ

ปายเป็นเมืองเล็กๆที่น่าอยู่ ปายเป็นเมืองที่เหมือนจะไม่มีอะไร แทบจะไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ ที่แปลกประหลาด ที่ต้องค้นหาหรือค้นพบ ราวกับว่าปาย เป็นเมืองที่รวมความเป็นธรรมดา ความเป็นสามัญของชีวิต อาหารง่ายๆ บันเทิงง่ายๆธรรมชาติแบบปกติ บ้านเรือนที่แสนธรรมดา

ผมคิดว่าบางทีชีวิตคนเราที่ซับซ้อนขึ้น สังคมที่มีระเบียบแบบแผนมากเกินไป ก็ทำให้จิตใจของเราหาความสงบไม่ได้ การได้มาอยู่มาเที่ยวเมืองปาย การได้ทำกิจกรรมง่ายๆ โง่ๆ อย่างช้าๆ การเดินเล่นในตลาดเช้า การกินกาแฟ กับปาท่องโก๋ ขนมครก หรือไข่ลวก หรืออะไรที่แสนจะดูธรรมดาเหล่านี้ กลับทำให้เราได้ทบทวนถึงอะไรบางอย่างในชีวิต ที่ความเร่งรีบพาชีวิตเราให้เดินข้ามสิ่งเล็กๆเหล่านี้ไป

หากเปรียบกับหญิงสาว ปายคงเป็นหญิงสาวที่หน้าตาธรรมดาที่สุด แต่งตัวธรรมดาๆ แต่เจือไว้ด้วยความอ่อนหวานและความอบอุ่น...ขอบคุณในความธรรมดาเหล่านี้ ขอบคุณความสุขง่ายๆ ขอบคุณในมิตรภาพที่เกิดขึ้น ขอบคุณที่มอบประสบการณ์อีกด้านให้ผมได้จดจำไปอีกนาน...และสุดท้าย ขอบคุณ “ปาย” เมืองเล็กๆที่แสนอบอุ่นแห่งนี้




ดอกไม้ที่ผมถ่ายไว้ตามที่ต่างๆ ในปาย...ส่งท้ายก่อนลาจากฮะ...

ขอบคุณ
- //www.thai-tour.com สำหรับข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว
- ร้านมิตรไทย //mitthaiart.wordpress.com/2006/08/18/13/#more-31 ที่ทำให้รู้จักปายมากยิ่งขึ้น
- ป้าโคเคน (หรือโอปอล์) เพื่อนหนอนคนสำคัญสำหรับแรงผลักดันให้ผมได้แบกเป้ไปเที่ยวบ้าง และคำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากมาย แต๊งกิ้วหลายๆเจ้า
- ทุกๆแรงกดดันที่ทำให้ผมอยากออกไปพักผ่อนสมองไกลๆ
- ความอยากในตัวที่ทำให้ออกเดินทาง
- ประสบการณ์การเปลี่ยนที่ร่ำเมรัยจนเคยตัวจนถึงขั้นเบื่อหน่าย
- เฉิน ซี (Jessy) กับมิตรภาพไร้พรมแดน และที่ทำให้ผมได้มีรูปถ่ายของตัวเองกับวิวทิวทัศน์บ้าง
- สุดท้าย...ตีนเหม็นๆของใครบางคนที่นั่งข้างๆบนรถทัวร์ขากลับ...ถ้ารู้ว่าตีนมึงเหม็นจะถอดรองเท้าออกทำซากอะไรครับ นี่กูต้องดมตีนมึงตั้ง 8-9 ชัวโมงเลยนะโว้ยยยยยยยย

ปล.สำหรับเพื่อนหนอนบางคนที่ไม่ได้รับโปสการ์ด ผมต้องขออภัยด้วยฮะ...เพราะผมทำที่อยู่พวกท่านหาย พอติดต่อไปก็ติดต่อไม่ได้...หวังว่ารูปภาพเหล่านี้คงแทนกันได้นะครับผม...ขอบคุณครับ ^ ^


Get this widget | Track details | eSnips Social DNA



Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 7:42:20 น. 16 comments
Counter : 1390 Pageviews.  
 
 
 
 
"ผมคิดว่าบางทีชีวิตคนเราที่ซับซ้อนขึ้น สังคมที่มีระเบียบแบบแผนมากเกินไป ก็ทำให้จิตใจของเราหาความสงบไม่ได้ การได้มาอยู่มาเที่ยวเมืองปาย การได้ทำกิจกรรมง่ายๆ โง่ๆ อย่างช้าๆ การเดินเล่นในตลาดเช้า การกินกาแฟ กับปาท่องโก๋ ขนมครก หรือไข่ลวก หรืออะไรที่แสนจะดูธรรมดาเหล่านี้ กลับทำให้เราได้ทบทวนถึงอะไรบางอย่างในชีวิต ที่ความเร่งรีบพาชีวิตเราให้เดินข้ามสิ่งเล็กๆเหล่านี้ไป "

ชอบควาคิดนี้จังเลยค่ะ และก็เห็นด้วยมากๆ
ยินดีกับความสุขสดชื่ที่ได้รับจากการเที่ยวปายครั้งนี้ด้วยนะคะ และก็ขอบคณที่ทำให้คนอ่านได้มีความสุขร่วมไปกับตัวอักษร..บรรยายได้เห็นภาพชัดดีจัง ^^
 
 

โดย: Silarin IP: 203.131.212.75 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:53:20 น.  

 
 
 
อ้อ ลืมบอกไป

ภาพสวยและเพลงเพราะมากค่ะ
 
 

โดย: Silarin IP: 203.131.212.75 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:57:13 น.  

 
 
 
ยินดีด้วย..ที่ได้มีความสุขกายสบายใจ..แม้จะช่วงนึงก็ยังดีนะ..


กลับมาโลกที่วุ่นวาย..หลังจากไปชาร์ตแบตมา
 
 

โดย: เราเองแหล่ะ..เหอะเหอะ IP: 125.26.182.126 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:44:14 น.  

 
 
 
สั้นๆเลย กูอิจฉามึงว่ะ ไปป์
 
 

โดย: nisogood IP: 124.120.203.210 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:44:50 น.  

 
 
 
น้องหยาฮะ - บางทีการได้ออกไปข้างนอกไกลๆ มันได้ทำให้เราได้ทบทวนอะไรบางอย่างในชีวิตด้วยนะฮะ...ซึ่งยอมรับเลยว่าที่ กทม. พี่ทำไมได้ เหตุเพราะตื่นขึ้นมา คอมพิวเตอร์ หรือทีวี มันก็อยู่ตรงหน้าพี่แล้ว...ดีใจที่มีความสุขร่วมกับการเดินทางครั้งนี้ของพี่นะฮะ ^ ^

เออ เรารู้แล้วว่าเป็นใคร - อืมไปชาร์ตแบ็ตมา แต่ไม่รู้ว่าจะหมดอีกเมื่อไหร่ว่ะ ช่วงนี้แบ็ตยิ่งอ่อนๆอยู่ 555+ ขอให้หนีใครคนนั้นไปเที่ยวได้เช่นกันนะ...อิอิ
 
 

โดย: ยางมะตอยสีชมพู วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:33:43 น.  

 
 
 
ไปคนเดียวแต่ได้เพื่อนกลับมา
มิตรภาพไม่มีพรมแดน

^ ^

เป็นอีกที่ที่อยากไปแต่ไม่มีโอกาสได้ไปซะที
เห็นบรรยากาศแล้วสวยมากๆค่ะ
 
 

โดย: หมูปิ้งไม้ละ 5 บาท วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:19:59 น.  

 
 
 
รูปวิวสวยมากๆ
 
 

โดย: พี่เปิ้ล IP: 58.8.174.56 วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:22:03:37 น.  

 
 
 
ว่าจะไปตามหละครับ
 
 

โดย: Epinephrine (Epinephrine ) วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:2:14:38 น.  

 
 
 
เข้ามาขำตีนเหม็นด้วยคน เออนั่นสิ รู้ว่าตัวเองตีนเหม็นแล้วจะถอดรองเท้าทำซากฟอซซิลรึไง ฮ่าๆ บนเครื่องบินนี่บางทีทนไม่ไหวจนต้องประกาศเลยนะ "ท่านผู้โดยสารคะ กรุณาใส่รองเท้าของท่านเพื่อไม่เป็นการรบกวนประสาทสำผัสของผู้อื่นด้วยค่ะ" อาเมน....


ดีจังเลย คุณยางฯ ได้เพื่อนมาร่วมทริปเที่ยวด้วย คงจะมีความน่าประทับใจสุดๆเลยนะ เราเองก็อยากมีเพื่อนเดินทางแบบนี้บ้างจังนะ

เห็นแล้วแอบอิจฉาคุณยางฯจิงๆน๊า ได้แอบหนีเที่ยวคนเดียว อยากมีความสุขกับตัวเองโดยปราศจากสุขที่มาจากคนอื่นได้อย่างนี้จริงๆเล้ยยย...
 
 

โดย: GottaBeMary วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:18:22:35 น.  

 
 
 
เริ่มดองบล๊อคอีกแล้ว
 
 

โดย: หมูปิ้งไม้ละ 5 บาท วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:16:45:03 น.  

 
 
 
เขียนซะอยากไปมั่งจัง แง แง
 
 

โดย: พี่ป๊อป IP: 202.91.18.205 วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:22:07:51 น.  

 
 
 
i have been there 3 time , i love it very much

and i will go again next time
 
 

โดย: little toon IP: 202.142.217.130 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:8:09:53 น.  

 
 
 
5555 ฮาตีนเหม็นอ่ะ

อยากไปมั่งจัง สวยดีนะ
 
 

โดย: พลอย IP: 58.8.86.247 วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:20:58:54 น.  

 
 
 
ตามมาอ่านค่ะคุณ เล่นเอามึนเลย ทั้งยาวทั้งหลากสีสัน
แต่กระนั้นก็เต็มอิ่มครบทุกรสชาตินะคะคุณยางฯ ชอบ ๆ
ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้อยากไปปายมากขึ้นนะคะ เหอะ ๆ
ชอบตรงที่ว่า "รวมความเป็นธรรมดา" เอาไว้ที่นี่น่ะค่ะ
เหมือนกลับไปสู่ความธรรมดาของชีวิต ที่ไม่ต้องยุ่งยาก
เพราะปอยเองก็เบื่อเหลือเกินค่ะ กับเรื่องราวในปัจจุบันน่ะ
จะแก่งแย่งให้เหน็ดเหนื่อยอะไรไปถึงไหนนะ ปัญหา ๆ ๆ
ทั้งที่เราไม่ผิด ไม่ได้เป็นคนก่อขึ้น แต่เราต้องรับกรรม
จะดีแค่ไหน ถ้าได้ใช้ชีวิตที่ไม่ต้องเจออะไรแบบนี้อีก
ปัญหาอาจจะยังคงมีอยู่ แต่เป็นปัญหาธรรมดา ธรรมชาติ
ไม่ใช่การชิงดีจากเพื่อนมนุษย์กันเอง ปวดหัวจังเลยค่ะ

เป็นทริปที่ดีทริปนึงเลยนะคะ แถมยังได้เจอสาวน้อยอีก
เสน่ห์การเดินทางคนเดียวก็อย่างนี้นะคะ ได้พบเพื่อนร่วมทาง
อาจเจอคนถูกใจ หรือปอยอาจจะอ่านนิยายมากเกินไป 55

แต่แม้จะอยากไปแค่ไหน ก็ยังติดปัญหานิดนึงน่ะสิคะ
คือว่า ปอยขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น 5555 ทำยังไงดีละเนี่ย
 
 

โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 5 พฤศจิกายน 2551 เวลา:2:02:01 น.  

 
 
 
อยากไปมั่งแต่ไม่มีเพื่อนไป ว่าจะลองไปคนเดียวดูมั่งเผื่อจะคิดอะไรออกดูแล้วไปเที่ยวคนเดียวก็น่าจะสนุกได้เนอะ
 
 

โดย: คนอกหัก IP: 125.26.156.208 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:04:12 น.  

 
 
 
อยากไป ฮะ
 
 

โดย: dang IP: 61.90.101.52 วันที่: 4 กันยายน 2554 เวลา:13:34:06 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ยางมะตอยสีชมพู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นมนุษย์เงินเดือน รับใช้การตลาด
ต้องคิดงานให้เกินคาด แล้วจะได้ตังค์ใช้

ชอบดนตรี เสียงเพลงเป็น ชีวิตจิตใจ
ตัวอักษรนั้นไซร้ กัดแทะได้ ทุกวี่วัน



ลายปากกา


ของเค้าดีจริง เข้าไปเยี่ยมชมกันได้ครับ ^ ^
ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังไม่ใช่นักเขียน ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่มีคุณสมบัติแม้ที่จะคิดเขียน และถึงแม้ว่า เรื่องที่ผมเขียนนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม แต่ว่ามันก็ออกมาจากมันสมองอันน้อยนิดของผม ขอร้องเถิดครับ กรุณาอย่าเอาไป คัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนี่งส่วนใดหรือทั้งหมดของงานเขียนของผมเลย (ยางมะตอยสีชมพู) ผมขอสงวนสิทธิ์ตามกฏหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จะมีโทษ ปรับตามกฏหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือนำเรื่องไปเสนอสำนักพิมพ์ ถือเป็น การเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 800,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับนะครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ที่ยังเข้าใจ และเห็นใจคนชอบเขียนห่วยๆอย่างผม (ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฏหมายลิขสิทธิ์)
[Add ยางมะตอยสีชมพู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com