พ่อของแผ่นดิน - ลูกแกะหลงทาง
พ่อของแผ่นดิน - ลูกแกะหลงทาง

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 กันยายน 2548 18:18 น.


พ่อบอกว่าพ่อเกลียดคนโกง ลูกแกะหลงทางบอกว่า ไม่ต้องตรวจสอบผมรับประกัน ผมใหญ่ที่สุดแล้วในครอบครัว ถ้าใครมีปัญหาระวังจะไม่มีงานทำ พ่อบอกว่านี้คือลูกที่ดีของฉัน ลูกชายผู้หลงผิดบอกว่าต้องขับออกจากพรรค พ่อบอกว่าเราควรมีเศรษฐกิจแบบพอเพียง พวกลูกแกะหลงทางกลับบอกว่า จะเอาอะไรกินเราไปอยู่กระต๊อบกันดีไหมพวกโง่ทั้งหลาย

หมายเหตุ : ข้อเขียนเรื่องลูกแกะหลงทางนั้น มาจากใน //www.manager.co.th ที่ผู้อ่านท่านหนึ่ง ใช้นามว่า 555 Post เข้ามาตรง “ความคิดเห็นที่ 9” เข้ามาท้ายเรื่อง จากกัลยาณมิตรถึงนายกฯทักษิณ ชินวัตร (15) ประธานวุฒิสภาต้องลาออก เปิดทางให้วุฒิสภาแก้ปัญหา ส่งเรื่องกลับศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเชื่อว่าใครที่ได้อ่านต้องสะเทือนใจทุกคน

คลิกที่นี่ เพื่อฟังเสียงข้อเขียนชิ้นนี้ อ่านโดย สนธิ ลิ้มทองกุล

ฉบับเต็มมีรูปแบบวิธีการวางย่อหน้าตามต้นฉบับดังนี้



พ่อมีความรักอันอบอุ่นให้ลูกเสมอ

พ่อไม่เคยเกรี้ยวกราด ด่าทอลูกว่าโง่

เวลาพ่อจะบอกลูกถึงปัญหา พ่อมักมีแง่คิดดีๆ มีนิทานแฝงคติให้ลูกได้นำไปคิดเสมอ ๆ ซึ่งเมื่อลูก ๆ ได้คิด ก็จะเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น

พ่อมักเตือนให้ลูก ๆ แปรงฟันก่อนนอนเพื่อฟันจะได้ไม่ผุ

แต่ลูก ๆ ก็มักจะคิดได้หลังจากที่ต้องถอนฟันไปซี่แล้วซี่เล่า

พ่อมักบอกให้เราซื่อสัตย์ทำงานหนัก เพื่อที่เราจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีตามอัตภาพ

พ่อไม่เคยบอกให้เราต้องร่ำรวยเพื่อจะมีความสุข

พ่อมักบอกเสมอ ๆ ว่าเรามีความสุขได้ตามอัตภาพโดยไม่ต้องร่ำรวย

พ่อที่มีลูก ๆ ของท่าน 60 กว่าล้านคน ไม่เคยคิดที่จะยอมขายลูกของตัวเอง เอาเปรียบลูกของตัวเอง เพื่อฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

แม้แต่พาหนะเดินทางของพ่อ รองเท้าเก่า ๆ ของพ่อก็ยังคงมัธยัสถ์ทะนุถนอม ใช้ของเดิม ๆ เมื่อชำรุดก็ให้คนเอาไปซ่อม

ไม่เคยคิดแม้แต่จะไถเงินจากลูกครั้งละ 40 สตางค์ เพื่อความมั่งคั่งส่วนตัวของพ่อเอง

พ่อมักบอกกับลูกเสมอ ๆ ว่าเราต้องก้าวไปพร้อม ๆ กัน ถ้าลูกคนโตสบายอยู่คนเดียว

ในขณะที่ลูก ๆ อีก 60 กว่าล้านคนต้องลำบากต้องโดนเอาเปรียบ

โดยการเปลี่ยนแปลงพี่น้องให้เป็นทาส มอมเมาพี่น้องด้วยเงินทอง โทรศัพท์มือถือ การพนัน ไม่ถือเป็นการพัฒนา

พ่อบอกว่าให้ลูก ๆ เลือกตัวแทนมาทำงาน มาบริหารครอบครัว โดยมีเป้าหมายเพื่อ ความสุขสูงสุดของลูก ๆ ทุกคน

ไม่ใช่เพื่อกำไรสูงสุด ของครอบครัว แต่เพื่อความสุขสูงสุดของครอบครัว ภายใต้เงื่อนไขที่มีอยู่มากมาย ทั้งภายในบ้าน และรอบ ๆ บ้าน

แต่มีลูกที่ดื้อรั้น หยิ่งผยองอวดดี ที่บังเอิญสวมหนังลูกแกะ และคุณธรรม คิดวัดรอยเท้าพ่อ

ใช้พี่น้องคนอื่น ๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบางคนก็รู้และสมยอมเพราะพี่ชายคนโตมีท่าไม้ตายคือ เงินฟาดหัว

จากลูก ๆ ที่เป็นแกะดำเพียงไม่กี่คน ลัทธิรวยแล้วโก้ รวยแล้วเท่ห์ รวยแล้วกร่าง ก็เริ่มแพร่หลายในสังคม

จากลูกแกะเซื่อง ๆ ที่มาจากศรัทธาของพี่น้อง ไหว้แม้แต่พี่น้องที่อาศัยอยู่ข้างถนน กลายเป็นคนใจร้อนกำแหง เกรี้ยวกราดกับทุกคน

จากคนเดิม ๆ ที่พ่อยอมให้เข้ามาบริหารครอบครัวแม้มีความไม่โปร่งใสเรื่องทรัพย์สิน

จากผู้นอบน้อม กลายเป็นศาสดาซึ่งมอบความกลัว ความเกลียดชัง การหลบหลู่และข้อกล่าวหาว่าโง่ แก่พี่น้องทุกคนที่เห็นตรงกันข้าม

กลายเป็นศาสดาที่กำแหงถึงขนาดกล้าชี้ผิดชี้ถูก รุกคืบในสิทธิมนุษยชนของพี่น้องคนอื่น ๆ เข้าไปถึงในความคิด ในวิถีชีวิตของพี่น้องอีก 60 ล้านคน

จากผู้ที่ดูเหมือนจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง กลายเป็นบุคคลปริศนาที่ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ กลัวการตอบคำถาม และยึดครองสมบัติของครอบครัวเป็นของตนแต่ผู้เดียว

พ่อบอกว่าพ่อเกลียดคนโกง ลูกแกะหลงทางบอกว่า ไม่ต้องตรวจสอบผมรับประกัน ผมใหญ่ที่สุดแล้วในครอบครัว ถ้าใครมีปัญหาระวังจะไม่มีงานทำ

พ่อบอกว่านี้คือลูกที่ดีของฉัน ลูกชายผู้หลงผิดบอกว่าต้องขับออกจากพรรค

พ่อบอกว่าเราควรมีเศรษฐกิจแบบพอเพียง พวกลูกแกะหลงทางกลับบอกว่า จะเอาอะไรกินเราไปอยู่กระต๊อบกันดีไหมพวกโง่ทั้งหลาย

พ่อบอกว่าเราต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน ก้าวเดินไปพร้อม ๆ กัน ลูกแกะหลงทาง ขายสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อทำกำไรแก่คณะตนเอง

รวมไปถึงการจัดตั้งกองกำลังคุ้มกันบ้าน ลูกแกะหลงทางกล่าวกำแหง ผมจะเอาคนนี้ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะพ่อต้องอยู่ใต้กฎบ้าน

ลูกแกะคนโตยังหลงทางต่อไป...ต่อไป..และต่อไป

ลูก ๆ ทั้งหลาย ตื่นเถิด ตาสว่างได้แล้ว ชีวิตนี้ของพวกท่านเป็นของพ่อโดยไม่ต้องมีกฎใด ๆ มารองรับ...

กราบแทบเท้าพ่อของแผ่นดิน








Create Date : 10 กันยายน 2548
Last Update : 10 กันยายน 2548 3:09:36 น.
Counter : 453 Pageviews.

8 comments
  
//www.oag.go.th/Information/policy/Oag_June/Document/doc19.htm
เรื่องคุณหญิงจารุวรรณ
โดย: srisawat วันที่: 10 กันยายน 2548 เวลา:3:30:46 น.
  
//www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1024&mmsID=1024%2F1024%2D1027%2Ewma+&program_id=1648
เสียงอ่านคุณสนธิ
โดย: srisawat วันที่: 10 กันยายน 2548 เวลา:3:35:03 น.
  
ดีจังเลยค่ะ

มีความสุขในวันนี้นะคะ

โดย: รักดี วันที่: 10 กันยายน 2548 เวลา:9:14:15 น.
  
ขอบคุณมากๆนะคะ
โดย: prncess วันที่: 10 กันยายน 2548 เวลา:9:40:04 น.
  
ดี มาก มาก เลย คะ
โดย: บันทึกสีขาว วันที่: 10 กันยายน 2548 เวลา:13:55:08 น.
  
วิเคราะห์ ความเห็น ของ อ. ธงทอง “ถอดเทปคำแถลงของอาจารย์ธงทองฯ เมื่อวานนี้(15 กันยายน 2548) “

ประจิณ ฐานังกรณ์ Posted : 2005-09-17 12:10:09


วิเคราะห์ ความเห็น ของ อ. ธงทอง “ถอดเทปคำแถลงของอาจารย์ธงทองฯ เมื่อวานนี้(15 กันยายน 2548) “

ผมขออนุญาตแถลงอะไรอีกสักนิดได้ไหมครับ ผมขออนุญาตเล่าอะไรที่เป็นความยาวสักนิด ถ้าจะกรุณา ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ในเรื่องการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งผมก็มีโอกาสติดตามค่อนข้างจะสม่ำเสมอเหมือนกันนะครับ ก็มีบางครั้งที่คุณสนธิกรุณากล่าวถึงผมหรืองานทางวิชาการของผม ซึ่งเคยเขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง “พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ” คุณสนธิก็ยังเคยเชิญชวนในรายการนั้นว่า อยากจะให้ผมได้มีโอกาสมาแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะบ้าง ในประเด็นที่คุณสนธิได้พูดได้หยิบยกขึ้นมากล่าวในรายการ

ผมเองเฝ้าสังเกตมาในช่วงเวลารายการ 2 – 3 ครั้งข้างท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประเด็นเนื้อหาของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ในวันศุกร์ที่ผ่านมาอาจจะกล่าวได้ว่าร้อยละ 80 ล่ะกระมัง วนเวียนเนื้อหาอยู่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวโดยรวมแล้วคุณสนธิ มีลีลาการพูดที่น่าสนใจ น่าติดตามฟัง ก็ฉลาดที่จะมีวิธีพูดที่ทำให้ผู้ฟังนั้นมีความเข้าใจที่อนุมานได้ว่า ในปัจจุบันนี้มีปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองเกิดขึ้น ก็คือเรื่องของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ท่านนายกฯ โดยตรงก็ดี ท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม ก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราชแล้วคุณสนธิ ยังก็ยังพูดไปไกล ผมจำถ้อยคำชัดเจนไม่ได้แน่ แต่คุณสนธิ บอกว่ามีความเข้าใจของคนจำนวนหนึ่งว่าเวลานี้ก็มีพระสังฆราชของรัฐบาลองค์หนึ่ง กับพระสังฆราชของพระเจ้าอยู่หัวอีกองค์หนึ่ง ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ และก็รับฟังข้อมูลจากคุณสนธิ ในวันรุ่งขึ้นปฏิกริยาที่เกิดขึ้นในเวปไซด์ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการก็ดี พันธ์ทิพย์ ก็ดี มีความเห็นที่หลากหลายแล้วก็เป็นความเห็นที่รุนแรงหลายความเห็น ความเห็นที่แตกต่างหลากหลายนั้นจำนวนหนึ่งก็คงเชื่อหรือเห็นคล้อยตามความเห็นคุณสนธิ อีกจำนวนหนึ่งก็เป็นความเห็นที่ตรงกันข้าม

ผมเองก็ติดตามสถานการณ์เรื่องนี้ด้วยความลำบากใจ ผมอยากจะเรียน ท่านทั้งหลายจะกรุณาเชื่อผมมากน้อยเพียงใดก็เป็นดุลยพินิจของท่านสื่อมวลชน หรือแม้กระทั่งพี่น้องประชาชนทั่วไป ในฐานะซึ่งอย่าไปบอกว่าผมเป็นรองปลัดกระทรวงหรือผมเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันเปลี่ยนกันได้ ผมจะเป็นหรือไม่เป็นตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ ผมก็ชื่อธงทอง จันทรางศุ ผมมีประสบการณ์ ผมมีความรู้ ความศึกษาของผมในประเด็นเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผมสังเกตเห็นหรือผมเห็นในเรื่องนี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นธรรมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ในเมืองไทยนั้นเป็นที่เคารพสักการะสูงสุด เป็นสิ่งที่คนไทยหวงแหนเทิดทูนบูชา พระราชอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น มีอยู่อย่างไรนั้นก็เป็นลายลักษณ์อักษร แต่เหนือจากรัฐธรรมนูญนอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว พระมหากษัตริย์ นั้น ยังทรงมีอำนาจในระบอบประชาธิปไตยอีกหลายประการ หลายสถาน รวมถึงพระราชอำนาจที่จะได้รับคำกราบบังคมทูล และปรึกษาจากรัฐบาล พระราชอำนาจที่จะแนะนำ ตักเตือนรัฐบาล แต่การใช้พระราชอำนาจเหล่านี้มีข้อพิจารณาสำคัญก็คือว่า เป็นการภายในระหว่างรัฐบาลและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือสถาบันพระมหากษัตริย์ ธรรมเนียมประเพณีไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศอังกฤษหรือประเทศไทย ก็เหมือนกันตรงกัน ก็คือว่ารัฐบาลเมื่อกราบบังคมทูลพระกรุณาอย่างหนึ่งอย่างใด หรือได้รับพระราชทานมหากรุณาแนะนำตักเตือนชี้ทางออก ด้วยประสบการณ์พระปรีชาสามารถ รัฐบาลไม่อยู่ในฐานะซึ่งจะไปอธิบายอะไรได้ ว่าได้รับคำแนะนำนี้แนวทางอย่างนั้นมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในทางฝั่งตรงกันข้าม สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกว่าเรื่องนี้ได้เตือนแล้วได้บอกแล้ว หรือที่ทำแล้วตรงหรือไม่ตรงกับสิ่งที่ได้แนะนำได้ปรึกษาหารือร่วมกัน ผมเองอาจจะมีความลำบากใจอยู่สักนิดที่จะต้องเรียนว่าหลายอย่างหลายเรื่องที่คุณสนธิ ได้ยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงในรายการ ผมอาจจะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ผมทราบว่ามันไม่จริง แต่ผมก้ไม่อยู่ในฐานะซึ่งจะต้องบอกรายละเอียดทั้งหมดเพราะมันผิดธรรมเนียมของราชเสวกที่ดีคือคนที่เป็นข้าราชการหรือของคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจะพึงกระทำ ผมอาจจะต้องเรียนสั้น ๆ ว่า โชคร้ายของ อ.ส.ม.ท. สักนิดหนึ่ง ที่เรื่องนี้เป็นข่าวขึ้นมาบังเอิญใกล้เคียงกันกับระยะเวลาซึ่งมีข่าวในแวดวงสื่อมวลชนอยู่การเทคโอเวอร์หุ้นของสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์บางฉบับอยู่ ถ้าผมคิดถึง อ.ส.ม.ท. แต่โดยลำพัง คิดถึงความง่ายในการทำงาน การประชุมบอร์ดเมื่อกี้นี้ ท่านประธานก็ดี เพื่อนกรรมการผมก็ดี ก็อาจจะต้องไม่ต้องตัดสินใจอะไรในเรื่องนี้หรอก พูดไปก็สองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง แต่ผมคิดว่าสถานการณ์ในขณะนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมานั้นปฏิกริยาที่เกิดขึ้นในสาธารณะ ความบาดหมางในระหว่างพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง ความไม่เข้าใจถูกต้องตรงตามวิถีครรลองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผมจำเป็นร่วมกันกับที่บอร์ด อสมท ทั้งหลายได้ร่วมกันตัดสินใจ ที่ต้องตัดสินใจระงับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์

หลายท่านอาจจะบอกว่านี่เป็นความพยายามส่วนหนึ่งของอำนาจรัฐของรัฐบาลที่จะคุกคามสื่อมวลชน ท่านก็อาจจะมีสิทธิ์ที่จะคิดที่เข้าใจอย่างนั้นได้ แต่ถ้าถามใจผมเอง แล้วผมตอบกับตัวผม ถามว่าทำอะไรอยู่ สำหรับรัฐบาลนั้นผมอายุผ่านมาถึงขนาดนี้แล้วก็มีรัฐบาลมาแล้วก็ไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็แล้วแต่ ในสักวันหนึ่งในรัฐบาลของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ก็จะไปครับผม อยู่ไปจนกว่าโลกสลายไม่ได้หรอก สิ่งที่เราตัดสินใจร่วมกันวันนี้ พูดตรงกัน เห็นตรงกัน ไม่ใช่การปกป้องรัฐบาล แต่เป็นการปกป้องและทำหน้าที่ของคนไทยด้วยความสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ถ้าการตัดสินใจอย่างนี้วันนี้จำเป็นจะต้องรับผลรับคำติคำชมไม่ว่ามากไม่ว่าน้อยประการใด ผมและเพื่อนกรรมการพร้อมที่จะรับผลนั้นทุกประการ ผมถือว่าภาระหน้าที่นี้เป็นภาระหน้าที่ที่มีเกียรติยิ่งของกรรมการ บมจ. อสมท ในวันนี้ ขอบคุณครับ

จากคุณ : อยากให้อ่าน (staff team) - [ 16 ก.ย. 48 17:56:56 ]






ความคิดเห็นที่ 20

ข้อพิจารณาเกี่ยวกับ “พระราชอำนาจ” โดย ธงทอง จันทรางศุ
ในช่วงเวลาประมาณสองเดือนที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนว่าประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่า พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยพึงมี พึงเป็นสถานใด จะอยู่ในความสนใจของสาธารณชนเป็นพิเศษ มีการกล่าวอ้างทั้งโดยตรงและโดยอ้อมหลายกรณี เพื่อแสดงทัศนะว่า ผู้รับผิดชอบระดับสูงในราชการแผ่นดินทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติบางคนบางท่าน กระทำการที่ไม่เหมาะไม่ควร ล่วงละเมิดหรือขัดพระราชอำนาจ ซึ่งหากการเป็นดังนั้นจริง ก็ต้องถือว่าเป็นการกระทำที่จาบจ้วง และเป็นกรรมหนักที่สุดอย่างหนึ่งในสายตาของประชาชนชาวไทย ผู้มีความจงรักภักดีอย่างแน่นแฟ้น และถือว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นร่มเกล้าธงชัยที่สำคัญยอดยิ่งของแผ่นดิน
แต่ก่อนที่เราท่านทั้งหลายจะสรุปความเห็นว่า มีการกระทำที่ไม่เหมาะควรดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นหรือไม่ เราคงต้องย้อนกลับไปดูหลักการและสาระสำคัญแห่ง “พระราชอำนาจ” ของพระมหากษัตริย์ในระบอบ
ประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสังคมไทย โดยศึกษาจากหลักการ วิธีการและกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้รอบคอบถี่ถ้วนเสียก่อนเป็นเบื้องต้น
ตามวิถีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น ว่ากันโดยหลักแล้วพระมหากษัตริย์มิได้ทรงบริหารพระราชภาระหรือทรงใช้อำนาจอธิปไตยด้วยพระองค์เอง หากแต่ทรงใช้พระราชอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เช่น ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล เป็นต้น แต่ที่กล่าวดังนี้ ก็มิให้มีความหมายไปไกลถึงขนาดที่จะเห็นว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็น “ตรายาง” ขององค์กรต่าง ๆ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตรงกันข้ามในบรรดา
ประเทศที่ยึดถือระบอบการปกครองอย่างนี้ ย่อมเห็นตรงกันว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะทรงได้รับการปรึกษาหารือจากรัฐบาล พระราชอำนาจที่จะสนับสนุนหรือให้กำลังใจรัฐบาล และพระราชอำนาจที่จะทรงตักเตือน พระราชอำนาจทั้งสามประการนี้ เป็นพระราชอำนาจที่มีอยู่จริง ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย ซึ่งมีข้อเท็จจริงพิเศษที่ว่า รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันยั่งยืนมาถึงหกสิบปีแล้ว ตลอดเวลาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้พระราชอำนาจตามครรลองประชาธิปไตย ด้วยพระปรีชาญาณอันสุขุมคัมภีรภาพ บันดาลให้เกิดประโยชน์ไพบูลย์สุขแก่ปวงชนดังเป็นที่ประจักษ์แจ้งอยู่ทั่วไปแล้ว
เกี่ยวกับประเด็นเรื่องนี้ ผู้เขียนมีข้อสังเกตสำคัญสองประการดังนี้
ประการแรก การใช้พระราชอำนาจทั้งสามประการข้างต้น บางเรื่องเป็นเรื่องของพระมหา
กรุณาธิคุณหรือกล่าวอย่างสั้น ๆ ว่า เป็นเรื่องของ “พระคุณ” แต่ฝ่ายเดียว ไม่มีมุมด้าน “พระเดช” มาเกี่ยวข้อง เช่น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ นับพันโครงการทั่วประเทศ ที่รัฐบาลและส่วนราชการต่าง ๆ
น้อมรับพระราชดำริ ใส่เกล้าใส่กระหม่อมมาดำเนินการ ในกรณีเช่นนี้การกล่างอ้างถึง “พระราชดำริ” ย่อมกระทำได้โดยไม่มีข้อขัดข้อง เพราะมีผลในทางเฉลิมพระเกียรติคุณอย่างแจ้งชัด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อที่ต้องระมัดระวังอยู่บ้าง หากโครงการนั้นมีปัญหาอุปสรรค หรือมีความเห็นแตกต่างในรายระเอียดแห่งวิธีการ รัฐบาลรวมตลอดถึงผู้รับผิดชอบจะต้องเข้าใจและตระหนักว่าพระราชดำริที่ได้รับพระราชทานมานั้น ไม่มีฐานะเป็น “พระบรมราช
โองการ” อย่างในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐบาลพึงรับผิดชอบในรายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง มิให้มีผลกระทบในทางที่เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ได้
ประการที่สอง การใช้พระราชอำนาจทั้งหลายข้างต้น หลายกรณีเป็นเรื่องที่มีธรรมชาติเป็นการ ภายในระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ โดยจารีตประเพณีและมารยาทแล้ว ผู้ที่ได้รู้เห็นหรือได้รับพระราชทานคำปรึกษาหารือ หรือแม้แต่คำตักเตือนจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องถือว่าเรื่องดังกล่าวไม่อาจจะแพร่งพรายต่อสาธารณชนได้ เพราะอาจทำให้พระมหากษัตริย์ต้องทรงรับผิดชอบทางการเมือง เสี่ยงต่อการที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน อันเป็นการขัดต่อหลักที่ถือกันทั่วไปในนานาประเทศว่า “The King can do no wrong” หรือที่แปลกันว่า “พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้” ดังนั้นในเรื่องที่มีลักษณะเป็นได้ทั้ง “พระเดชพระคุณ” หรืออาจมีได้ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน แม้พระมหากษัตริย์จะได้พระราชทานคำปรึกษาหารือหรือคำตักเตือนแก่รัฐบาลมากน้อยเพียงใดก็ตาม ผู้ได้รับพระราชทานคำปรึกษาหรือคำตักเตือนดังกล่าว ต้องถือเป็นมารยาทเคร่งครัดที่จะไม่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงนั้นต่อสาธารณะ
ขนบประเพณีอย่างนี้ เป็นที่ยึดถือทั่วไปในประเทศที่มีการปกครองระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย
เมื่อเร็ววันนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสพบสนทนากับอดีตนายกรัฐมนตรีของเราท่านหนึ่ง ท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังด้วยความเมตตาว่า ระหว่างเวลาที่ท่านทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลี
พระบาท เพื่อกราบบังคมทูลพระกรุณาเกี่ยวกับข้อราชการ และรับพระราชทานคำปรึกษาหรือตักเตือนเป็นการสม่ำเสมอ ราวเดือนละสามหรือสี่ครั้ง เรื่องราวที่กราบบังคมทูลพระกรุณาและข้อความที่ทรงพระมหากรุณาแนะนำหรือตักเตือนมีหลากหลาย แต่ด้วยความยึดมั่นในขนบประเพณีประชาธิปไตย ท่านไม่อาจนำเรื่องเหล่านั้นมาขยายหรือเล่าต่อได้ หากมีเรื่องใดจะเล่าสู่กันฟังได้บ้าง ก็ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ และต้องไม่ใช่ข้อราชการแผ่นดิน แต่อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระอัจฉริยภาพหรือพระราชจริยวัตร ที่ท่านประทับใจเท่านั้น
โดยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น พระราชอำนาจที่จะได้รับการกราบบังคมทูลและปรึกษาก็ดี พระราชอำนาจที่จะตักเตือนก็ดี จึงมีกรณีตัวอย่างที่ปรากฏต่อสาธารณชนน้อยมาก และสาธารณชนก็ต้องมีความเข้าใจ
ด้วยว่ามีข้อราชการจำนวนมากที่รัฐบาลได้นำกราบบังคมทูลพระกรุณาและรับพระราชทานคำปรึกษา แนะนำ หรือ ตักเตือน และรัฐบาลก็ได้น้อมรับพระราชกระแสแนะนำใส่เกล้าใส่กระหม่อมปฏิบัติตามแล้ว แต่ไม่อาจชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงดังกล่าวได้
ในช่วงเวลาสองสามวันนี้เช่นเดียวกัน ผู้เขียนในฐานะที่เป็นกรรมการของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีเรื่องต้องเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจครั้งสำคัญขององค์กรเรื่องหนึ่ง คือ เรื่อง การระงับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ซึ่งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นผู้ดำเนินรายการอยู่เป็นประจำทุกวันศุกร์ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ (ช่อง ๙) ดังรายละเอียดที่ปรากฏในคำแถลงอย่างเป็นทางการของบริษัทแล้ว
ในฐานะส่วนตัว ผู้เขียนใคร่ขออนุญาตแสดงทัศนะและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวข้างต้นเพิ่มเติมสักเล็กน้อย ดังนี้
๑. รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่คุณสนธิฯ เป็นผู้จัดรายการ ได้ออกอากาศมาเป็นเวลาร่วมสองปีแล้ว แทบทุกสัปดาห์คุณสนธิฯ ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชน วิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาล พฤติกรรม พฤติการณ์
ต่าง ๆ ในสังคม ด้วยลีลาอันเป็นลักษณะเฉพาะของคุณสนธิฯ รายการดังกล่าวมีผู้ติดตามชมเป็นจำนวนไม่น้อย บ้างก็ชื่นชม บ้างก็ไม่พอใจ และบางรายถึงขนาดนำเรื่องราวขึ้นเป็นคดีความในกระบวนการยุติธรรมก็มีอยู่
แต่ไม่ว่าคุณสนธิฯ จะวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลหรือพฤติกรรม พฤติการณ์ของนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือผู้หนึ่งผู้ใด โดยประการใดก็ตาม ผู้เขียนมีความเห็นว่า การกระทำดังกล่าวพึงเป็นไปตามครรลองของสื่อมวลชนในระบอบประชาธิปไตย หากมีสิ่งใดที่ไปล่วงเกินผู้อื่น และผู้เสียหายประสงค์จะใช้สิทธิทางศาล คุณสนธิฯ ก็ต้องรับผิดชอบต่อผลนั้นตามวิถีประชาธิปไตยเช่นกัน
๒. ในช่วงประมาณเดือนสองเดือนที่ผ่านมา นอกจากการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลตามปกติของคุณสนธิฯแล้ว คุณสนธิฯ ได้นำประเด็นเรื่อง “พระราชอำนาจ” และการละเมิดหรือขัดพระราชอำนาจในทัศนะของคุณสนธิฯ มาสนทนาในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ต่อเนื่องกันเป็นประจำ ครั้งหนึ่งคุณสนธิฯ ยังได้กรุณากล่าวอ้างถึงงานวิทยานิพนธ์เรื่อง “พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ”
ของผู้เขียน และเรียกร้องให้ผู้เขียนแสดงทัศนะในประเด็นเหล่านี้ด้วย
ในชั้นนี้ เวลานี้ ผู้เขียนใคร่ขอแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า การที่คุณสนธิฯ ยกประเด็นเรื่อง “พระราชอำนาจ” ขึ้นมาสนทนาบ่อยครั้ง และบ่อยครั้งเช่นกัน ที่คุณสนธิฯ ได้กล่าวแสดงข้อเท็จจริง (ในความเห็นของคุณสนธิฯ) ว่า รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) หรือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทำการล่วงละเมิดพระราชอำนาจ เช่น การกล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นการไม่ยุติธรรม ไม่เหมาะการแก่ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และอาจสร้างความสำคัญผิดอย่างร้ายแรงในหมู่มหาชนได้
ที่ผู้เขียนกล่าวว่า “ไม่ยุติธรรม” เพราะคุณสนธิฯ อยู่ในฐานะผู้พูดฝ่ายเดียว แต่รัฐบาลไม่อยู่ในฐานะที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นว่า รัฐบาลได้กราบบังคมทูลพระกรุณา หรือได้รับพระราชทานคำปรึกษา หรือตักเตือนจากสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร เพราะรัฐบาลไม่อยู่ในฐานะที่
จะนำเรื่องดังกล่าวมาบอกเล่าแก่สาธารณะได้ ดังที่ผู้เขียนได้แถลงหลักการไว้ในเบื้องต้นแล้ว ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์เอง ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธ หรือกล่าวแก้แต่อย่างใดได้เช่นกัน ความไม่ยุติธรรมจึงบังเกิดขึ้นแก่ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์และรัฐบาล โดยไม่มีหนทางเยียวยา
ที่ผู้เขียนกล่าวว่า “ไม่เหมาะควรแก่ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข” เพราะการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอันเป็นปกติประเพณีในระบอบประชาธิปไตยนั้น ไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะกล่าวอ้าง พาดพิง หรือนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นฝักฝ่าย หรือเกี่ยวข้องเชื่อมโยงเพื่อประโยชน์ในการติเตียนฝ่ายตรงข้าม เพราะจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งต้องเป็นกลางในทางการเมืองอยู่ในฐานะลำบาก และเป็นการกระทำที่พึงหลีกเลี่ยงในทุกกรณี
ผู้เขียนตระหนักดีว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะเทิดทูนสูงสุดของประชาชนชาวไทย ผู้เขียนก็เฉกเช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยอีกจำนวนมาก ที่ได้ให้คำสัตย์ คำจริงไว้กับตัวเองแล้วว่า
จักยอมพลีแม้ชีวิตเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และหากมีการล่วงละเมิดพระราชอำนาจเกิดขึ้นจริง ผู้เขียนจะไม่รั้งรอที่จะทำหน้าที่ประชาชนชาวไทยผู้ภักดี เช่นกันกับที่ปู่ย่าตายายของผู้เขียนและของพวกเราทุกคนได้บำเพ็ญกรณีย์มาแล้วในอดีต และได้มอบภารกิจศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้เป็นมรดกแก่เราผู้เป็นลูกหลาน
ผู้เขียนขอกล่าวซ้ำทำนองเดียวกับที่ได้เคยกล่าวหรือเขียนมาแล้วบางวาระในอดีตว่า รัฐบาล
ผลัดเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่แล้วก็จากไปตามวาระ คุณสนธิฯ ก็ดี ผู้เขียนเองก็ดี สักวันหนึ่งก็ต้องลาโลกนี้ไป แต่ตราบที่ยังมีคนไทย มีแผ่นดินไทย ตราบนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์จักยั่งยืนเป็นมิ่งขวัญของทวยพสกนิกรอยู่เป็นนิจกาล
๑๖ กันยายน ๒๕๔๘

จากคุณ : อยากให้อ่าน (staff team) - [ 16 ก.ย. 48 17:57:14 ]


---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

………….ประเด็นที่น่าสนใจ

1 แต่คำตักเตือนจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องถือว่าเรื่องดังกล่าวไม่อาจจะแพร่งพรายต่อสาธารณชนได้ เพราะอาจทำให้พระมหากษัตริย์ต้องทรงรับผิดชอบทางการเมือง เสี่ยงต่อการที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน อันเป็นการขัดต่อหลักที่ถือกันทั่วไปในนานาประเทศว่า “The King can do no wrong” หรือที่แปลกันว่า “พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้” ดังนั้นในเรื่องที่มีลักษณะเป็นได้ทั้ง “พระเดชพระคุณ” หรืออาจมีได้ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน แม้พระมหากษัตริย์จะได้พระราชทานคำปรึกษาหารือหรือคำตักเตือนแก่รัฐบาลมากน้อยเพียงใดก็ตาม ผู้ได้รับพระราชทานคำปรึกษาหรือคำตักเตือนดังกล่าว ต้องถือเป็นมารยาทเคร่งครัดที่จะไม่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงนั้นต่อสาธารณะ
ขนบประเพณีอย่างนี้ เป็นที่ยึดถือทั่วไปในประเทศที่มีการปกครองระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย

……….ผมได้อ่านข้อความที่ คุณ ธง…เขียนมานี้แล้ว ได้ข้อสรุปว่าคุณ ธง….ก็ไม่ต่างอะไรกับ คุณ สน…..คือ ไม่มีใครได้เขียน จากความจริงเพราะไม่มีใครรู้จริง แต่ได้เขียนจากจินตนาการของตนเองเหมือนกัน โดยใช้ความคิดตามทัศนะของตนเองซึ่งถ้าบอกว่าคุณ สน…ผิด ดังนั้นข้อความของ คุณ ธง…ที่เขียนมานี้ก็ผิดเหมือนกัน ไม่เหมือนหนังสือของคุณประมวล หนังสือของคุณประมวลนั้นมีภาษีกว่าของทั้ง ๒ คน ตรงที่มีการรับรองแล้ว

2 เมื่อเร็ววันนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสพบสนทนากับอดีตนายกรัฐมนตรีของเราท่านหนึ่ง ท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังด้วยความเมตตาว่า ระหว่างเวลาที่ท่านทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลี
พระบาท เพื่อกราบบังคมทูลพระกรุณาเกี่ยวกับข้อราชการ และรับพระราชทานคำปรึกษาหรือตักเตือนเป็นการสม่ำเสมอ ราวเดือนละสามหรือสี่ครั้ง เรื่องราวที่กราบบังคมทูลพระกรุณาและข้อความที่ทรงพระมหากรุณาแนะนำหรือตักเตือนมีหลากหลาย แต่ด้วยความยึดมั่นในขนบประเพณีประชาธิปไตย ท่านไม่อาจนำเรื่องเหล่านั้นมาขยายหรือเล่าต่อได้

……..แล้วที่ คุณ ธง…ที่เขียนมานี้ คุณ ธง…..ผิดแล้วหรือยัง แล้วมาเขียนทำไม ซึ่งเป็นการเขียนลอยๆ ไม่มีหลักฐาน หรือเขียนเพื่ออวด ว่าตนเองมีเส้นใหญ่ ตนเองถึงจะรู้ลึก แต่มันก็ขัดกับข้อ๑ ที่ว่าเรื่องต่างๆเป็นความลับ แล้วที่คุณ ธง…เขียนนั้นมันจริงหรือเท็จก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้

3 โดยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น พระราชอำนาจที่จะได้รับการกราบบังคมทูลและปรึกษาก็ดี พระราชอำนาจที่จะตักเตือนก็ดี จึงมีกรณีตัวอย่างที่ปรากฏต่อสาธารณชนน้อยมาก และสาธารณชนก็ต้องมีความเข้าใจ
ด้วยว่ามีข้อราชการจำนวนมากที่รัฐบาลได้นำกราบบังคมทูลพระกรุณาและรับพระราชทานคำปรึกษา แนะนำ หรือ ตักเตือน และรัฐบาลก็ได้น้อมรับพระราชกระแสแนะนำใส่เกล้าใส่กระหม่อมปฏิบัติตามแล้ว แต่ไม่อาจชี้แจงแถลงข้อเท็จจริงดังกล่าวได้

……ความเห็นของ คุณ ธง…ในข้อความนี้ เหมือนกับว่า คุณ ธง…เป็นรัฐบาล เพราะคุณ ธง…สามารถให้ความเห็นแทนรัฐบาลได้เอง

4 ในชั้นนี้ เวลานี้ ผู้เขียนใคร่ขอแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า การที่คุณสนธิฯ ยกประเด็นเรื่อง “พระราชอำนาจ” ขึ้นมาสนทนาบ่อยครั้ง และบ่อยครั้งเช่นกัน ที่คุณสนธิฯ ได้กล่าวแสดงข้อเท็จจริง (ในความเห็นของคุณสนธิฯ) ว่า รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) หรือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทำการล่วงละเมิดพระราชอำนาจ เช่น การกล่าวถึงกรณีการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นการไม่ยุติธรรม ไม่เหมาะการแก่ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และอาจสร้างความสำคัญผิดอย่างร้ายแรงในหมู่มหาชนได้

……ในความเห็นนี้ ที่บอกว่าไม่เหมาะนั้นใครเป็นคนตัดสิน และตัดสินเพื่อเข้าข้างรัฐบาลหรือไม่ เพราะคุณ ธง….ก็เอียงทางฝ่ายรัฐบาลอยู่แล้ว

5 ที่ผู้เขียนกล่าวว่า “ไม่ยุติธรรม” เพราะคุณสนธิฯ อยู่ในฐานะผู้พูดฝ่ายเดียว แต่รัฐบาลไม่อยู่ในฐานะที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างไรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นว่า รัฐบาลได้กราบบังคมทูลพระกรุณา หรือได้รับพระราชทานคำปรึกษา หรือตักเตือนจากสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร เพราะรัฐบาลไม่อยู่ในฐานะที่
จะนำเรื่องดังกล่าวมาบอกเล่าแก่สาธารณะได้ ดังที่ผู้เขียนได้แถลงหลักการไว้ในเบื้องต้นแล้ว ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์เอง ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธ หรือกล่าวแก้แต่อย่างใดได้เช่นกัน ความไม่ยุติธรรมจึงบังเกิดขึ้นแก่ทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์และรัฐบาล โดยไม่มีหนทางเยียวยา

……ข้อความนี้ ยิ่งเห็นภาพได้ชัดว่า คุณ ธง….พูดแทนรัฐบาล เพราะความจริง รัฐบาลเขามีความสามารถที่จะค้านหรือฟ้องคุณ สน….เองได้ โดยไม่ต้อง ให้ คุณ ธง….ต้องมาขยันเกิน ทำหน้าที่เดือดร้อนแทนรัฐบาล จนทำให้ประชาชนสงสัยว่าคุณ ธง…ทำเพื่อเอาหน้ากับรัฐบาล หรือทำเพราะถูกรัฐบาลสั่ง

6 ที่ผู้เขียนกล่าวว่า “ไม่เหมาะควรแก่ประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข” เพราะการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอันเป็นปกติประเพณีในระบอบประชาธิปไตยนั้น ไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะกล่าวอ้าง พาดพิง หรือนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นฝักฝ่าย หรือเกี่ยวข้องเชื่อมโยงเพื่อประโยชน์ในการติเตียนฝ่ายตรงข้าม เพราะจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งต้องเป็นกลางในทางการเมืองอยู่ในฐานะลำบาก และเป็นการกระทำที่พึงหลีกเลี่ยงในทุกกรณี
ผู้เขียนตระหนักดีว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะเทิดทูนสูงสุดของประชาชนชาวไทย ผู้เขียนก็เฉกเช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยอีกจำนวนมาก ที่ได้ให้คำสัตย์ คำจริงไว้กับตัวเองแล้วว่า
จักยอมพลีแม้ชีวิตเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และหากมีการล่วงละเมิดพระราชอำนาจเกิดขึ้นจริง ผู้เขียนจะไม่รั้งรอที่จะทำหน้าที่ประชาชนชาวไทยผู้ภักดี เช่นกันกับที่ปู่ย่าตายายของผู้เขียนและของพวกเราทุกคนได้บำเพ็ญกรณีย์มาแล้วในอดีต และได้มอบภารกิจศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้เป็นมรดกแก่เราผู้เป็นลูกหลาน
ผู้เขียนขอกล่าวซ้ำทำนองเดียวกับที่ได้เคยกล่าวหรือเขียนมาแล้วบางวาระในอดีตว่า รัฐบาล
ผลัดเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่แล้วก็จากไปตามวาระ คุณสนธิฯ ก็ดี ผู้เขียนเองก็ดี สักวันหนึ่งก็ต้องลาโลกนี้ไป แต่ตราบที่ยังมีคนไทย มีแผ่นดินไทย ตราบนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์จักยั่งยืนเป็นมิ่งขวัญของทวยพสกนิกรอยู่เป็นนิจกาล
๑๖ กันยายน ๒๕๔๘

…….โดย สรุป การกระทำของคุณ ธง…..นั้นทำเพื่อใครกันแน่ ………..เพราะผมเห็นภาพที่ค่อนข้างชัดว่า คุณ ธง….ทำเพื่อรัฐบาลเสียมากกว่า แต่เอาสถาบันมาอ้าง เหมือนกับที่คุณ ธง….กล่าวหา คุณ สน…..เหมือนกัน








IP : (203.118.123.154)



เบื่อชมรมเลื่อนลอย Posted : 2005-09-17 12:25:35 IP : (66.191.112.237)


ผู้เป็นข้าราชสำนัก ได้รับการอบรมสั่งสอนเสมอว่า "ความในอย่านำออก"

อาจารย์ธงทองพูดเท่านี้ในครั้งนี้ก็มีนัยมากมายเหลือเกินแล้ว

ไปสืบเอาเองแล้วกันว่าอาจารย์ธงทองเคยทำงานสนองพระเดชพระคุณเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของสถาบันฯ อย่างต่อเนื่องมานานเพียงใด ได้รับพระมหากรุณาและพระกรุณาจากเจ้านายพระองค์ใดบ้าง และเป็นพระสหายสนิทของเจ้านายพระองค์ใด

คนอย่างอาจารย์ธงทองไม่โง่พอที่จะเปลืองตัวออกมาออกโรงเป็นเครื่องมือของรัฐบาลหรอกถ้าไม่มีสาเหตุอื่นที่จำเป็นยิ่งกว่า

คิดให้ลึกซึ้ง ตีความคำแถลงการณ์ (ซึ่งอ่านโดยนายเรวัติฯ) โดยเฉพาะเรื่องการเข้าพบราชเลขาธิการให้แตก แล้วจะเห็นเองว่านัยนั้นคืออะไร

แต่พูดไปก็เท่านั้นแหละ เพราะผมทราบว่าคุณประจิณก็ไม่ใคร่จะสักการบูชาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสุดหัวใจสักเท่าไหร่ เท่าที่ปรากฏข้อเขียนทีผ่านๆ มาของคุณ





Comment : 1



ช้างยิ้ม Posted : 2005-09-17 16:50:33 IP : (10.128.20.54)


ถามธงทอง ง่ายๆ สั้นๆ

ว่าได้ มีการเตือนคุณสนธิ สักครั้งแล้วหรือ ยัง ว่า พูดแบบนี้ไม่เหมาะสม

แต่ การบอกว่า ดูมาหลายครั้ง แต่ สังเกตุว่า ไม่มีการเตือนเลยสักครั้ง

นี้มันหมายความว่า อย่างไร

ธงทอง เห็นแก่ท่านจริง และ คิดว่าสนธิพูดไม่ดีจริง เห็นครั้งแรกก็น่าจะเตือนไปตั้งแต่แรกแล้ว

นี้กะปิด กันเท่านั้นแหละ

อ้างเรื่อย

ส่วนเรื่องการเตือน แต่ ที่ธงทอง อ้างว่า บอกไม่ได้ ว่า เตือนแล้ว
ผมว่า ไม่ต้องพูดหรอก เพราะเห็น การเตือนบ่อยครั้ง แรงขึ้นแรงขึ้น
ทุกครั้ง ในวันสำคัญต่างๆ

แม้แต่ มีการสาบแช่ง คนโกง ให้หมดไป

แต่ คอรัปชั่น ยังเห็นอย่างชัดเจน และ ปกป้อง พวกพ้อง อยู่ อย่างมาก
เรื่อง CTX เป็นตัวอย่างๆ ดี

เรื่องผู้ว่าสตง. ที่ทำเรื่องมหัศจรรย์ ยังไม่ทุลของให้คุณหญิงพ้นตำแหน่ง
แต่ ดัน ทำประหลาด เสนอคนใหม่แทน

เรื่องการแต่งตั้งข้ามหัว ในกองทำ เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

คุณธงทอง บางอย่าง ไม่ต้องบอกว่า พูดได้ หรือไม่ได้ แต่ มันเห็นชัดเจน

ว่า ที่พูดไป เพื่อประเทศ

แต่ คนฟัง มันได้สำเนียก หรือไม่อย่างไร







Comment : 2



ยิ้มค้าง Posted : 2005-09-17 22:43:16 IP : (66.191.112.237)


แล้วถ้าตอบว่าเตือนแล้วหลายครั้งล่ะครับ จะว่ายังไง?



โดย: sw IP: 203.188.60.235 วันที่: 18 กันยายน 2548 เวลา:4:11:16 น.
  
ทำไมไม่มองในมุมกลับว่า ที่คุณสนธิพูดถึงองค์ในหลวง ก็เพราะอยากให้คนในรัฐบาลรู้จักเคารพองค์ในหลวงบ้าง

เพราะการกระทำของคนในรัฐบาลที่ผ่านมาหลายๆเรื่อง เป็นการท้าทายพระราชอำนาจอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องสังฆราช ทั้งเรื่องผู้ว่า สตง. ฯลฯ
การมีคนออกมาพูดเตือนสติอย่างนี้ ไม่ดีหรอกหรือ จะได้รู้สึกตระหนักว่า บ้านเมืองเรายังมีองค์ในหลวงเป็นที่เคารพสูงสุดของประชาชนชาวไทย
ไม่ใช่ใครมาบริหารแผ่นดิน จะกระทำการใดๆก็ได้ตามที่ตัวเองเห็นควรอยากจะทำ มีพ่ออยู่ทั้งคน แต่กลับกล้าขึ้นไปท้าทายอำนาจของพ่อแผ่นดิน

ผมก็ไม่เห็นว่า คุณสนธิจะแอบอ้างองค์ในหลวงเพื่อผลประโยชน์อันใด นอกจากเพื่อจะเตือนสติคนในรัฐบาลให้หันมาสำนึกการกระทำของตัวเองบ้าง
คุณสนธิจะได้อะไรจากการแอบอ้างเบื้องสูง มีแต่เจ็บตัวกับเจ็บตัว ผมว่าคุณสนธิฉลาดพอที่จะรู้ว่า ทำอย่างนี้ ยังไงก็ต้องมีคนออกมาต่อต้านแกวันยันค่ำ
แต่คุณสนธิก็ยังกล้าจะทำ ทั้งที่รู้ว่าเงาหัวอาจจะขาดได้ รายการอาจถูกสั่งยุบได้ เพราะแกก็เคยเปรยๆเรื่องพวกนี้อยู่บ่อยๆ ในรายการของตัวเอง
ผมไม่คิดว่า คุณสนธิแกจะมีอะไรแอบแฝงจากการพูดถึงองค์ในหลวง เพราะปกติ ที่แกตำหนิรัฐบาลช่วงนี้ แกก็เหยียบขาลงบ่อจระเข้ไปครึ่งตัวแล้ว
ยิ่งแกมาพูดถึงองค์ในหลวง ร้อยทั้งร้อยก็ต้องรู้ว่า ตูโดนรุมเฉ่งจากทุกสารทิศแน่ เพราะกล้าแตะเบื้องสูง แต่ก็แกทำ เพราะว่าหวังดีต่อรัฐบาลนายกฯทักษิณ

แต่การณ์กลับออกมาอย่างนี้ ก็เศร้าใจครับ มันเหมือนเป็นการตอกย้ำไปอีกว่า ลองคิดเป็นคนดีสิ มีชีวิตอยู่ไม่นานหรอก จะโดนเล่นงานวันนี้วันพรุ่งก็ไม่รู้
บ้านเมืองเรา คนดีถูกเล่นงานจนมิอาจอยู่อย่างสงบสุขได้มาหลายคนแล้ว คุณสนธิอาจไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐศรี แต่ผมว่า แกเป็นคนที่หวังดีต่อบ้านเมือง
ถ้าเราจะกล้าสักครึ่งหนึ่งของแกบ้าง รัฐบาลแบบนี้ ไม่มีทางได้นั่งหน้าสลอนอยู่ในสภาแล้ว

จากคุณ : อายานุ - [ 15 ก.ย. 48 23:56:46 ]

ขออนุญาตนะครับ คุณอายานุ
ผมถูกใจในความเห็นของคุณ

จากคุณ : เรารักในหลวง (REGENCY TOGO!!) - [ 18 ก.ย. 48 01:55:08 ]
โดย: sw IP: 203.188.60.235 วันที่: 18 กันยายน 2548 เวลา:4:18:09 น.
  
ขอสุขภาพแขงแข็ง
โดย: ชมพู่ IP: 222.123.239.130 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2550 เวลา:11:15:26 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

srisawat
Location :
นครราชสีมา  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



กันยายน 2548

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29