|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Nobody Know : ขอคารวะหัวใจดวงเล็กๆ
เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่อยากดูมานาน เคยมีน้องเอาแผ่นมาไว้ให้ดู แต่ด้วยอะไรสักอย่าง ทำให้ผมไม่ได้หยิบขึ้นมาดูสักที ใจอยากดูในโรง จอใหญ่ๆ มากกว่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาส
เมื่อวานนั่งรถไป house RCA โดยไม่ได้ตั้งใจว่า จะมีหนังเรื่องอะไรให้ดู ในเทศกาลฉลองครบ 3 ปี ไปถึงก็ 12.45 น. แล้ว ดูโปรแกรม 12.30 น. ฉายเรื่อง Nobody Know อ้าว เหรอ รีบเดินเข้าไปซื้อตั๋วทันที แม้หนังจะเริ่มฉายไปแล้ว แต่ผมไม่ยอมพลาดโอกาส
เข้าไปถึงหนังผ่านช่วงแรกไปแล้ว ครอบครัว ที่ประกอบไปด้วย ผู้ใหญ่หนึ่งคน กับเด็กๆ 4 คน ย้ายมาอยู่ในอพาร์ตเมนท์ใหม่ ด้วยการตั้งกฏกติกาของแม่ ทำให้ผมได้รู้ว่า เด็กๆ อีก 3 คนต้องทำตัวเสมือนว่า ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เพราะฉะนั้น ทุกคนห้ามออกจากห้อง มีเพียงอากิระ พี่คนโตเท่านั้นที่ออกนอกห้องได้
แม่ของเด็กทั้งสี่ ยังไม่เหมือนแม่เลย เ พราะเธอยังดูเหมือนเด็กสาวใจแตก ซะมากกว่าที่จะเป็นแม่ ที่มีลูกแล้ว 4 คน ในบางครั้งเรากลับรู้สึกว่า อากิระ ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าซะด้วยซ้ำ
แล้วเมื่อวันหนึ่งแม่ไม่อยู่ ออกนอกบ้านไปแล้ว มีเพียงจดหมาย + เงินจำนวนหนึ่งฝากไว้ ภาระทุกอย่างจึงตกอยู่กับอากิระ การซื้อของ จับจ่ายใช้สอย หาเงินจากบรรดาพ่อๆ หรืออดีตแฟนของแม่
ยิ่งเวลาผ่านไป สภาพของเด็กทั้งสี่ก็แย่ลงเรื่อยๆ เมื่อไม่มีตังค์จ่ายค่าน้ำ ไม่มีตังค์จ่ายค่าไฟ เด็กๆ ต้องอุดอู้อยู่ในห้องร้อนๆ
ยิ่งเวลาผ่านไป ผมยิ่งรู้สึกว่า บ่าเล็กๆ ของเด็กน้อยอายุ 12 ปีคนนี้ แบกอะไรไว้บ้าง ภาระที่ดูใหญ่เกินตัว ทำให้อากิระมีแต่หน้าที่เรียบเฉย
อากิระเองก็เป็นเพียงเด็ก เด็กที่ต้องการเวลาสนุกและเวลาเล่นกับเพื่อน ในหนังนั้น เราจะเห็นหน้าตาที่มีรอยยิ้มของเด็กน้อยเพียงไม่กี่ครั้ง พาลให้ชวนคิดไปว่า ถ้าเป็นเรา เราจะทำได้ดีขนาดนี้เหรอ ?
ผู้กำกับเลือกที่จะเล่าหนังใน ภาพที่ไม่ชวนหดหู่ โศกสลดจนเกินไปหนัก ทั้งๆ ที่เรื่องราวเอื้อให้ทำอย่างนั้นได้สบาย ผมเชื่อว่า เรื่องแบบนี้มาสร้างเป็นละครในบ้านเรา จะเป็นละครเรียกน้ำตาได้สบายๆ เลยเรื่องหนึ่ง
แต่ผู้กำกับเลือกที่จะไม่บีบคั้นอารมณ์กันเกินไปนัก ภาพส่วนใหญ่จึงออกมาสว่างๆ ไม่มีฉากที่เรียกอารมณ์มากนัก
แต่ผมคิดดูอีกที อาจจะเป็นการทำหนังในสายตาของเด็กๆ ก็ได้ เด็กเองอาจจะไม่รู้ว่าปัญหาที่พวกเขาเจอมันหนักหนาสาหัสปานใด เด็กยังมองเห็นโลกที่สดใสอยู่ตลอดเวลา พวกเขายังออกไปวิ่งเล่นได้ ในวันที่แทบจะไม่มีตังค์ ในวันที่น้ำที่บ้านไม่ไหลแล้ว ต้องมาใช้น้ำที่สวนสาธารณะ ถ้าเป็นผู้ใหญ่เจอสภาพแบบนี้ อาจจะประคองตัวเองไม่ไหวแล้วก็เป็นได้
ภาพที่เราเห็นในหนัง จึงเป็นมุมมองของเด็กๆ คือเป็นชีวิตที่มีความหวังอยู่เสมอ แม้ในช่วงตอนจบ เมื่อพวกเขาต้องเจอเรื่องที่เลวร้ายสุดๆ แต่ภาพพวกเขาเดินไป พร้อมๆ กับแดดสดใส ก็ทำให้เป็นภาพที่ดูสดใส เกินกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
Nobody Know เป็นหนังที่ชวนให้ผมสงสัยว่า โลกมันโหดร้ายปานนี้เชียวเหรอ เพราะหนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เป็นไปได้อย่างไรที่ สังคมยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เด็ก 4 คนต้องอยู่กันเพียงลำพัง แบบหลบๆ ซ่อนๆ โดยที่มีผู้ใหญ่เพียงไม่กี่คนยื่นมือเข้ามาช่วย (และช่วยแบบให้ผ่านไปวันๆ)
และเป็นหนังที่ชวนให้ผม คิดว่า ความเป็นผู้ใหญ่ และเด็กนั้นอาจจะไม่สำคัญเท่าหัวจิตหัวใจ ความเข้มแข็งของก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นที่อกข้างซ้ายของคนเรานั้น อาจจะไม่ได้เกิดจากอายุที่มากขึ้นเพียงอย่างเดียว แม่ของเด็กๆ และเหล่าผู้ชายของเธอได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่า เมื่อถึงเวลาขับคัน ผู้ใหญ่แก้ไขปัญหาอย่างไร ในขณะที่อากิระและน้องๆ เลือกจะแก้ไขปัญหาอย่างไร
หนังเศร้ามากๆ แต่น่าแปลกใจที่มันยังดูสดใส นั่นคงเพราะเรา ดูหนังที่สร้างผ่านมุมมองของเด็กๆ นั่นเอง ........................................................................................................ คะแนน 9/10 โรงภาพยนตร์ House (ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ที่ทำให้ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ ผมว่า ดูในจอเล็กๆ คงไม่เห็นรอยยิ้มของอากิระ สดใสได้ขนาดนี้แน่เลยครับ) วันที่ 19 สิงหาคม 2550
Create Date : 20 สิงหาคม 2550 |
|
2 comments |
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 12:04:37 น. |
Counter : 1767 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
ผมเองก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูหนังอะไรประมานนี้ด้วย
แต่ก็อยากจะหามาดูครับ เค้ามีขายกันที่ไหนอะ