ปวดประจำเดือน ทำนังไงเพื่อลดอาการปวด คุณผู้หญิงหลายท่านเคยสงสัยมั้ยครับ ทำมั้ยดิฉันมีประจำเดือนแล้ว ยังมีอาการปวดท้องน้อยตามมาอีกในช่วงนั้นๆของแต่ละเดือน ลองมาฟังสาระความรู้เกี่ยวกับประจำเดือน จะได้ไม่ต้องมาวิตกกังวลในรอบเดือนต่อไปดีไหมครับ
สาเหตุ
ก่อนอื่น คุณผู้หญิงคงต้องทราบก่อนนะครับว่า การมีประจำเดือนเป็นเครื่องหมายของสตรีปกติที่อยู่ในช่วงแห่งวัยเจริญพันธุ์ คือตั้งแต่อายุได้ประมาณ 12 ปี จนถึงอายุเฉลี่ย 55 ปี โดยการทำงานของฮอร์โมนเพศหญิง 2 ตัวหลักๆที่ชื่อว่า เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ทั้งคู่มีหน้าที่ในการควบคุมกระบวนการสร้างไข่ ตกไข่ ตลอดจนการนำไปสู่การปฏิสนธิกับเชื้ออสุจิของฝ่ายชาย และการฟักตัวเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆในที่สุด ประจำเดือนที่มาตามปกตินั้น จะช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายดำเนินไปตามปกติตามไปด้วย เพราะไข่ที่ไม่ได้รับการผสม จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับเป็นที่ฝังตัวของไข่ไม่ได้ใช้จึงถูกขับออกมา เป็นการถ่ายเทเลือดของเก่าออกไป เพื่อสร้างของใหม่ ทำให้ไม่มีของเสียคั่งค้างภายใน จึงนับว่าเป็นผลดีของการมีประจำเดือน
สาเหตุเกิดจากตัวมดลูกเองเรียกว่า primary dysmenorrhea มักจะร่วมกับประจำเดือนมามากเกิดจากสารที่ชื่อว่า prostaglandinmeทำให้มดลูกบีบตัวมาก
ส่วนสาเหตุปวดประจำเดือนที่มาจากสาเหตุอื่นเรียก secondary dysmenorrhea เช่น กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน การใส่ห่วง การหยุดยาคุมกำเนิด ความเครียด การติดเชื้ออุ้งเชิงกรานendometriosis และยังมีสาเหตุอื่นอีกมากครับ
อาการปวดประจำเดือนพบได้ประมาณ 70% ของผู้หญิงทั้งหมดเป็นอาการโดยธรรมชาติ สาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนระหว่างการมีประจำเดือน ร่างกายของคุณผู้หญิงตรงที่ผนังมดลูกจะมีการสร้างสารชนิดที่เรียกว่า โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) หลั่งออกมามากขึ้นหรือมีความไวต่อสารตัวนี้เพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาก้อทำให้มีการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกและมดลูกหดตัวแรงขึ้น อันเป็นสาเหตุตามมาทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน โดยทั่วไปอาการปวดจะเริ่มก่อนมีประจำเดือนหลายชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณสารดังกล่าวที่หลั่งออกมาและเมื่อระดับของสารนี้กลับสู่ปรกติ อาการปวดก็จะหายไป
นอกจากนั้น การปวดประจำเดือนนั้นไม่ได้มีเฉพาะอาการปวดท้องน้อยแต่เพียงอย่างเดียว ยังมีอาการอื่นๆ พ่วงตามมาด้วย เพราะสารโพรสตาแกลนดินที่กล่าวมาแล้ว หากพลัดเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตสู่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้เส้นเลือดหดตัวจึงทำให้มีอาการไม่สบายตัวได้ที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้ อาเจียน เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ปวดหลัง ปวดเอว ท้องเดิน ปวดศีรษะ ยิ่งไปกว่านี้ยังพบอาการเป็นลม วิงเวียน หงุดหงิด ได้ในบางราย
วิธีบรรเทาอาการปวด
อาการปวดประจำเดือนมักจะรุนแรงในวันแรกๆของการมีประจำเดือน แล้วค่อย ๆ ลดลง แต่ก็มีสตรีบางคนอาจจะมีอาการปวดตลอดระยะเวลาของการมีประจำเดือน ซึ่งสามารถแบ่งอาการปวดประจำเดือนออกได้เป็น 3 ระดับ
1. ปวดน้อย มีอาการปวดนิดๆ หน่อยๆ อาการปวดคงอยู่กับที่ บรรเทาอาการปวดได้ โดยการวางถุงน้ำร้อนบริเวณหน้าท้องหรือพักผ่อน ให้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องกินยาแก้ปวด
2. ปวดปานกลาง ให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ครั้งละ 2 เม็ดเวลาปวด กินซ้ำได้ทุก 4-6 ชม. ก้อจะบรรเทาลง
3. ปวดมาก ร้อยละ 10 ของคุณสุภาพสตรีที่มีอาการมากถึงขั้นต้องหยุดเรียนหรือลางาน วิธีการรักษามี 2 ทางครับ วิธีแรกให้ยายับยั้งการสร้างโพรสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นต้นตอของอาการปวดประจำเดือน ได้แก่ กลุ่มยาต้านอักเสบที่มิใช่สเตียรอยด์ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า NSAIDs (non-steroidal anti-inflammatory drugs) เช่น mefenamic acid, indomethacin, piroxicam, ibuprofen เป็นต้น ซึ่งหลายรายงานกล่าวว่า ยาที่ได้ผลดีที่สุดในการบรรเทาอาการปวดประจำเดือนคือ mefenamic acid ยาเหล่านี้จะออกฤทธิ์ภายในครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากกินยา และมักจะมีฤทธิ์อยู่นาน 4-6 ชั่วโมง ดังนั้น สามารถกินยากลุ่มนี้ได้ทุก 4-6 ชั่วโมงตามระยะเวลาออกฤทธิ์ของยา
ส่วนแนวทางที่สองในการบรรเทาอาการปวดประจำเดือนก้อคือ การให้รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดผสม ระหว่างเอสโตรเจนกับโปรเจสติน ที่มีผลในการปรับฮอร์โมนให้ดีขึ้น กินแบบเดียวกับยาคุมกำเนิด คือวันละ 1 เม็ดทุกวัน เพื่อไม่ให้มีการตกไข่ จะช่วยไม่ให้ปวดได้ แต่วิธีนี้จะไม่เหมาะกับสตรีผู้ที่รอการตั้งครรภ์ และมีข้อเสีย ตรงที่ต้องกินยาทุกวันต่อเนื่องกัน 4-6 เดือน จนกว่าอาการจะบรรเทาลง
นอกเหนือจากวิธีการกินยาแล้วที่กล่าวมาแล้ว การนวดท้องเบาๆ การประคบน้ำอุ่น การออกกำลังกาย หรือการยืดเส้นยืดสายก็อาจช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้และสำหรับสตรีบางคน การอดนอน ความเครียด และการดื่มกาแฟอาจทำให้อาการปวดรุนแรง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้ |
นอนน้อยขอบตาดำ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |