เภตรานิรมิต ศิริวิมล
เขมิอรไม่เคยรู้เลยว่าชะตาชีวิตของเธอกำลังตกอยู่ในกำมือของใครบางคน และนับตั้งแต่เธอได้ครอบครองเรือจำลองที่แสนงดงาม หากแอบซ่อนความลี้ลับที่เธอไม่รู้เอาไว้ เส้นทางชีวิตของเขมิอรก็ใกล้ที่จะถูกส่งกลับคืนไปสู่บ้านที่แท้จริงของเธอ เพื่อพบกับชายที่รอคอยเธอมาตลอดไม่ว่าจะนานเพียงใด
เพิ่งเพื่อตัดความรำคาญ หากไม่คิดว่ามนต์เภตรานฤมิต จะบันดาลเรื่องอัศจรรย์ให้บังเกิด เมื่อมันนำสตรีที่แปลกกว่าหญิงใดในแผ่นดินรัตนโกสินทร์มาปรากฏสู่เรือนตน แม้จะไม่อยากเชื่อสายตา หากแต่เขมิอรหรือแม่อรผู้นี้ก็ทำให้หัวใจของคุณหลวงราชมนตรีผู้ไม่เคยหวั่นไหวต่อสตรีใด กลับเหมือนโดนมนตรา หากแต่ทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเลย เมื่อเขาเองก็มีคู่หมายที่คู่ควรสมกัน และเขมิอรก็คือสตรีที่มาจากอนาคต
หนทางอันใดกันเล่าจะส่งเขมิอรกลับคืนสู่บ้านของเธอ หากเมื่อทุกอย่างต้องใช้เวลา เธอก็จะเฝ้ารอ ทว่าอีกสิ่งที่ทำให้เธอต้องหนักใจ ความรักที่กำลังก่อตัวขึ้น คงมีเพียงกำแพงเดียวเท่านั้นที่ก่อขึ้นไว้เป็นปราการหัวใจ เธอจะไม่มีวันได้เป็นหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงหญิงเดียวที่ครองใจคุณหลวงราชมนตรี แต่ความรู้สึกที่แรงกล้าจะห้ามปรามได้หรือ เมื่อเขมิอรเองก็รู้ดีว่า นับวันเธอจะยิ่งผูกพันกับคุณหลวงราชมนตรีขึ้นทุกที
ใช่ว่าเขาจะไม่พยายามทุกหนทางเพื่อสลัดพันธะที่ไม่ได้ก่อขึ้น ทว่ามันคือคำสัญญาที่มั่นคงยิ่งนักจนเขาไม่อาจสลัด และยิ่งรู้ว่าการปล่อยให้เขมิอรต้องอยู่ที่นี้อาจจะนำภัยมาสู่เธอได้ คุณหลวงราชมนตรีก็ยอมที่จะตัดรัก ตัดอาลัยในตัวเธอ เหลือไว้เพียงคำสาบานว่า เธอจะเป็นหญิงเดียวที่ได้ครองใจเขาจนวันตาย ทว่าชะตาที่พลิกผัน บ่วงกรรมของความรักก็อาจนำพาให้รักที่ไม่มีวันบรรจบ ได้พบกับหนทาง แต่มันกลับเต็มไปด้วยหยดเลือดและคราบน้ำตาที่คุณหลวงราชมนตรีจะไม่มีวันลืมเลือน
เมื่อมีรัก ก็ยากจะหักใจให้ห่างหาย เขมิอรยอมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงเพื่อได้อยู่กับชายที่เธอรัก แต่แน่หรือที่รักนี้จะสมหวัง เมื่อรอยริษยาของทุกคนที่ไม่สมหวังกำลังหวนกลับมาทำร้ายเธอ และความแค้นนี้ก็จะยังคงหลอกหลอนเธอไปตลอด เพราะแรงอาฆาตที่ข้ามชาติข้ามภพ หากไม่ใช่เพราะผลแห่งกุศลกรรมดี ที่จะเป็นนาวาพาให้เขมิอรรอดปลอดภัย
เมื่อมนตรานำพาเขมิอรมาสู่เรือน คุณหลวงราชมนตรีก็พร้อมจะทำตามบุพเพที่ลิขิตไว้ เธอคือสตรีที่เขาเฝ้ารอคอย ไม่ว่าเธอจะมาจากไหน เป็นเช่นไร นับจากนี้แม่อรจะเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจ ให้สมกับที่เธอได้ยอมตัดอาลัยในบ้านที่เธอจากมา เภตรานิรมิตอาจเป็นเพียงผู้นำ หากมีเพียงโซ่แห่งรักเท่านั้นที่จะคล้องใจเธอไว้ ณ แผ่นดินรัตนโกสินทร์แห่งนี้
เม้นท์ส่วนตัวนะคะ
ไม่เคยอ่านนิยายของนามปากกานี้เลยค่ะ ปกติเวลาอ่านนิยายของสนพ. ณ บ้านวรรณกรรม ฟีน่าจะมีนักเขียนประจำอยู่ไม่กี่คน แต่มีคนส่งข้อความมาพูดคล้ายๆกันถึงสองคนว่า ฟีน่าน่าจะลองอ่านสักหน่อย แนวพีเรียดย้อนอดีตแบบนั้น ปกติฟีน่าก็เป็นคนชอบอ่านแนวนี้อยู่แล้ว ก็ไม่ปฏิเสธ เลยสอยมาลองอ่านดูสักหน่อย แต่ความที่ไม่มีเวลา กว่าจะพร้อมก็รอนานสักนิด
ก็สไตล์แนวนิยายแบบทวิภพล่ะคะ นางเอกเป็นสาวยุคปัจจุบัน ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องโบร่ำโบราณ เพราะเติบโตในต่างประเทศ หากแต่เธอกลับรู้สึกแปลกๆ บางประการ จนวันหนึ่งเกิดได้ครอบครองเรือจำลองลำหนึ่ง นับจากนั้นก็เริ่มเกิดเรื่องราวประหลาดๆกับชีวิตเธอ กึ่งฝัน กึ่งจริง และเธอเองไม่เคยรู้เลยว่ามีคนตามหา หนึ่งคือผู้หวังดี อีกหนึ่งคือผู้ปองร้าย หากแต่ทั้งสองก็มีบทบาทสำคัญในชีวิตของเธอ
และเมื่อนางเอกถูกส่งกลับไปอดีต แน่นอนว่าความไม่คุ้นเคย ก็อาจจะทำให้นางเอกแปลกที่แปลกทางไปบ้าง แต่โชคดีที่เธอได้อยู่ภายใต้การดูแลของแม่และพี่สาวพระเอก และความไม่เหมือนสตรีในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นของนางเอกก็จับใจพระเอก หากแต่มันก็เหมือนรักต้องห้ามนิดๆ เมื่อพระเอกก็มีคู่หมายที่ผู้ใหญ่ตกลงกันไว้ แม้จะรักนางเอกแค่ไหน ก็พยายามหักใจเพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างนางเอกจะไม่ยอมเป็นเมียรองอย่างเด็ดขาด และคู่หมายของเขาก็ร้ายกาจมาก หากแต่หนทางรักก็ต้องมีทางออกไม่ว่าการตัดสินของนางเอกที่จะกลับหรือไม่กลับ การหมั้นนหมายที่ไม่เต็มใจ แต่ทุกอย่างก็เต็มไปด้วยความสุข สมหวัง เจ็บปวดรวดร้าวของทุกคน
ความที่ฟีน่าบ้านิยายแนวนี้มากๆ ดังนั้นฟีน่าจะมีความจิตชนิดหนึ่งคือ ถ้าตัวละครไหนในเรื่องที่มีตัวตนจริง แล้วฟีน่านึกไม่ออกว่าเขาคือใคร ฟีน่าจะอ่านต่อไม่ได้ ดังนั้นเวลาอ่านหนังสือสไตล์นี้ ฟีน่าจึงต้องมีหนังสือคู่มือประกอบการอ่านไว้ใกล้ๆ เพื่อเสริมอรรถรสค่ะ แนะนำว่าให้ลองหาเลาะวังของคุณจุลลดา ภักดีภูมินทร์มาประกอบค่ะ ยิ่งอ่านคู่กันยิ่งเข้าใจเรื่องมากขึ้นค่ะ
ความรู้สึกตอนอ่านจบแล้วเป็นเช่นไร ฟีน่าไม่เคยอ่านงานของนักเขียนท่านนี้ จึงไม่รู้แนว ซึ่งก็ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องคาดหวังมาก เมื่ออ่านจบ รู้สึกว่าสนุกดีนะคะ แต่ยังไม่สุดในอารมณ์ อาจจะเพราะฟีน่ามีเรื่องที่เป็นเล่มโปรดในใจหลายเล่ม หนึ่งในนั้นก็คือทวิภพ อารมณ์ในเรื่องนี้ บางซีนอารมณ์ค่อนข้างทำให้ฟีน่าคิดถึงทวิภพ คือต้องบอกว่าไม่ได้ลอกฉากหรืออะไรนะคะ แต่ความที่นิยายเป็นแนวทางเดียวกัน ทำให้บางซีนจะคล้ายกัน อย่างตัวคุณแม่ของพระเอกที่ค่อนข้างเอ็นดูนางเอก ความที่เธอดูผิดที่ผิดทาง ไม่ได้อ่อนหวาน ซ้ำยังดูกล้าเกินหญิงในยุค แต่ก็มีเสน่ห์แบบแปลกๆ ช่วยให้เอ็นดูรักใคร่ประหนึ่งเด็กหลงทาง ขาดพ่อขาดแม่ เหมือนคุณหญิงแสร์เอ็นดูแม่มณี แต่มาแนวนี้ดีแล้วล่ะคะ ถ้าเป็นแนวว่าที่แม่สามีชิงชังน้ำหน้าแต่แรก มันจะกลายเป็นนิยายน้ำเน่าที่ฟีน่าอาจจะอ่านไม่จบก็ได้
พูดถึงในแง่การนำเสนอเรื่อง น้อยมากที่จะเห็นนิยายพีเรียดพูดถึงยุครัชกาลที่สามค่ะ เท่าที่เคยอ่านมาอยู่ไม่กี่เรื่องเอง ซึ่งแท้จริงแล้วเหตุการณ์ในยุคนั้นมีความน่าสนใจมาก และฟีน่าเองน้ำตาร่วงตอนอ่าน กระแสพระราชดำรัสก่อนสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้จะเคยอ่านมาหลายครั้งแล้วก็ตามที ทว่าการได้อ่านอีกครั้งในช่วงนี้ ยิ่งสะท้อนว่าเรานี้แสนมีบุญแค่ไหนที่มีพระมหากษัตริย์อันแสนประเสริฐทุกพระองค์ ทรงมิเคยห่วงใยในตัวพระองค์เองเท่ากับอาณาประชาราษฎร์และประเทศชาติ
เนื้อหาของการเนื้อเรื่องนิยาย สนุกน่าติดตามดีนะคะ แต่อย่างที่บอกว่าบางทีอารมณ์มันยังไม่สุด ไม่หวานสุด ยังไม่ลงตัวเท่าที่เราเคยอ่านมา แต่ถ้าให้พูดว่าน่าสนใจไหม ค่อนข้างน่าสนใจค่ะกับฉากและเนื้อเรื่อง การผูกเรื่องว่านางเอกมาภพอดีตได้เช่นไร มันไม่ใช่แค่การมีแค่สื่อนำพา หากแต่ต้องใช้ใจส่งมาด้วย
เรื่องชิงรักหักสวาทตามสไตล์นิยายรักปนอาฆาตแค้นของความริษยาในรัก ก็จัดว่าสนุกดี แม้ว่าตัวอิจฉานี้จะ เปิดเผยตัวตนไปนิด จนบางครั้ง แทบจะลืมไปว่าเธอเป็นสตรีผู้ดี คุณข้าหลวงในวังกันเลยทีเดียว นึกถึงนางอิจฉาละครไทยหลังข่าวที่เปลี่ยนจากปากแดง ใส่ชุดสั้นๆกุดๆ มาเป็นนุ่งผ้าจีบ กินหมาก(นี้ก็ปากแดงได้) ไว้ผมทัดอะไรแบบนั้น เพราะความร้ายกาจของหล่อนนี้ช่างล้ำเหลือ เหมือนตัวร้ายที่เรียกว่าชั่วไปจนถึงจิตวิญญาณ บางทีฟีน่าก็เลยรู้สึกว่าเหมือนดูละครมากกว่าอ่านนิยายค่ะ สำนวนการเล่าก็ยิ่งคล้ายบทละครเข้าไปใหญ่ แต่ถ้ามองรวมๆ ก็ถือว่าดีค่ะ เพราะฟีน่าชอบการนำเสนอเนื้อเรื่องในช่วงนี้ หาอ่านไม่ค่อยมี
ตัวนางเอก ในช่วงแรกๆ นำเสนอดูจะเหมือนดิ้นรนหาทางกลับบ้านน้อยไปนิดค่ะ จะมาเห็นกันเป็นจริงจังหน่อยตอนชักรู้สึกว่าโดนราวีจากคู่หมายพระเอกหนักข้อขึ้น แต่ดีที่ให้ความกระวนกระวายใจของนางเอกไปจบด้วยเหตุผลของคำว่าเวลา ดังนั้นนางเอกจะสงบใจมากขึ้นก็ถือว่ารับได้ล่ะ
แต่ปัญหาส่วนตัวของฟีน่าเองเลยก็คือความที่ฟีน่าชอบอ่านเลาะวัง เวียงวังมาก ในบางครั้งการที่ตัวละครเล่าเรื่องคล้ายๆ การซุบซิบของสังคมชาววัง ฟีน่าก็นึกทุกทีว่าตัวเองกำลังอ่านเลาะวังอยู่ คือในเล่มก็มีเชิงอรรถบอกล่ะว่าเรียบเรียงมาจากเลาะวัง นั่นล่ะ ฟีน่าก็เลยคิดถึงเลาะวังจนลืมไปบางที่ว่ากำลังอ่านนิยายไปเลย แต่ถ้าคนไม่เคยอ่าน ก็น่าจะสนุกเลยค่ะว่า มีเรื่องซุบซิบกันแบบนี้ด้วยหรือ ทั้งการชอบโยงบุคคลเข้ากับวรรณคดี เรื่องของขุนน้ำขุนนาง เรื่องเล่าเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย ประดับความรู้ แต่นั่นล่ะคะ ถ้ามีพื้นไว้สักนิดจะอ่านแล้วเข้าใจง่ายขึ้น ไม่งงว่า คือใคร ทำไมเรียกเช่นนั้น เพราะบางครั้งเรื่องจะหวนมาพูดถึงช่วงนี้อีก
สิ่งที่ฟีน่ารู้สึกขัดใจมากที่สุดก็คงเป็นการชอบใส่ชื่อจริงพร้อมนามสกุลของตัวละครบ่อยๆค่ะ คือเอาแค่ครั้งเดียวก็พอค่ะ นี้มาถี่มากจนแบบว่า จะมาทำไมคะ คือรู้แล้วว่าตัวละครนี้นามสกุลอะไร ไม่ต้องแนะนำตัวบ่อยๆก็ได้นะคะ ขนาดจดหมายถึงแม่ในตอนจบ นางเอกยังอุตส่าห์ให้ชื่อและนามสกุลจริงมาอีก เพื่ออะไรฟีน่าไม่เข้าใจเลยว่าจะทางการไปทำไม แม่ตัวเองแท้ๆ
การเล่าซ้ำกัน ฟีน่าจำได้เลยว่า มีตอนหนึ่งที่อาจารย์คนหนึ่งเล่าให้นางเอกฟังว่าทำไมถึงเรียกว่าวังท่าพระ แต่จำได้คล้ายๆว่านางเอกก็มาถามพระเอกอีก แล้วพระเอกก็เล่าซ้ำเหมือนที่อาจารย์คนนั้นเล่า คือฟีน่างงว่าทำไมนางเอกจำไม่ได้หรือว่าเธอเคยฟังมาแล้ว ถ้าเกิดอาการว่าใช่ๆนึกได้แล้วว่าเคยฟังก็ไม่ว่า นี้เหมือนเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน
หรือการที่พูดถึงท้าวศรีสัจจา ว่ามีความสำคัญเช่นไรในเชิงอรรถเรียบร้อย แต่พอผ่านไปอีกหน้า ก็มีตัวละครเล่าถึงความเป็นมาว่าท้าวศรีสัจจาคือใคร เล่าคล้ายกับเชิงอรรถ แม้จะมาในรูปคำบอกเล่า เช่นนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องเล่าซ้ำสองรอบก็ได้ค่ะ คือดึงเชิงอรรถออก แล้วให้เล่าเป็นภาษาปากแทนก็ได้ค่ะ จะจำได้มากกว่า
และตลกดีนะคะ ไปๆมาๆ ฟีน่ากลับไปลุ้นคู่อาจารย์มหรรณพกับเภตรแทนค่ะ คือดูน่ารักดี กุ๊กกิ๊กดี คือใช่ว่าคู่พระเอก นางเอกจะไม่ลุ้น แต่ดูบางช่วงมันอืดไปบ้าง เลยชอบคู่นี้แทนค่ะ
แต่ถ้ามองโดยรวม ฟีน่าถือว่าสนุกในระดับหนึ่งค่ะ อาจจะไม่สนุกแบบบ้าคลั่งหลงรักพระเอก ที่เขาก็น่ารักมาก มีใจที่มั่นคงกับนางเอกที่สุด แต่ถ้าอ่านเพื่อความบันเทิงและได้สาระ เกร็ดความรู้รอบตัวไปด้วย ก็จัดว่าดีค่ะ ยิ่งมีพื้นเล็กน้อยคุณจะเข้าใจมากขึ้นว่าตัวละครเหล่านั้นคือใคร มีความสำคัญแต่ประวัติศาสตร์ชาติไทยเช่นไร บางตัวละครก็รู้สึกว่า ถ้าเป็นดารารับเชิญนี้คงเก็บค่าตัวเยอะ อย่างคุณชายช่วง มาน้อยแต่มีบทบาทสำคัญจนเรียกว่าแค่ได้ยินชื่อจำได้ ทำเช่นไรได้ล่ะคะเพราะคุณชายช่วงเป็นคนที่มีความสำคัญมาก ไม่มีรับเชิญอาจจะแปลกได้ รวมทั้งการบอกว่ามีพื้นจะอ่านสนุกขึ้น ทั้งแก้วประจำรัชกาลที่สาม หรืออย่างตอนท้ายเรื่องที่พูดถึงพระองค์เจ้ารำเพยเอาไว้ ในภายภาคหน้าพระองค์จะเป็นบุคคลสำคัญแห่งหน้าประวัติศาสตร์ไทย นิยายเรื่องตัวฟีน่าเองก็ชอบอยู่ แต่อาจจะไม่ถึงขั้นชอบมากที่สุด เรียกว่าอ่านได้ ไม่เสียดายเงินที่ซื้อมาค่ะ ถ้าทำให้ฟีน่ามีอารมณ์ร่วมและอินได้มากกว่านี้ แบบนิยายพีเรียดเล่มโปรดๆ หลายเล่มที่ผ่านมาก็คงได้เป็นเล่มที่กรี๊ดอีกเล่มหนึ่งเลยค่ะ
ปล.ส่วนเสริมจากในเรื่องนะคะ เป็นคำกลอนอธิษฐานล้อเลียนคนดังในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งคำกลอนอธิษฐานล้อเลียนนี้มีจริงๆนะคะ และคนเขียนก็ไม่ใช่ธรรมดาเสียด้วยค่ะ เธอชื่อคุณพุ่มค่ะ หรือต่อมามีคนเรียกเธอว่า บุษบาท่าเรือจ้าง เป็นลูกสาวของบ่อแก้วแห่งรัชกาลที่ 3 พระยาราชมนตรี (ภู่)เรียกได้ว่าเป็นเซเลบสมัยนั้นเลยทีเดียว คุณพุ่มเธอเป็นสาวสมัยเปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันเอาการ หรือแม้แต่ชีวิตส่วนตัวของเธอก็โลดโผนโจนทะยานไม่น้อย ถ้าได้ลองอ่านเรื่องเภตรนิรมิตรก็จะเห็นภาพเลยค่ะ สำหรับคำกลอนอธิษฐานนี้มีอยู่ถึง 12 ข้อดังนี้ค่ะ
ขออย่าให้เป็นชิดของเจ้าคุณผู้ใหญ่
ที่ขอกันเช่นนี้ก็เพราะว่าท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชาหรือเจ้าคุณผู้ใหญ่นั้นดุมากขนาดว่าแม้แต่ลูกหลานท่าน ใครขลาดกลัวหนีทัพก็จับประหารสิ้นมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ใครอยู่รับใช้ใกล้ชิดเป็นได้หลังลายมากกว่าคนไกล นอกจากท่านจะเป็นคนดุแล้ว ท่านยังเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อการเป็นขุนนางต่างพระเนตรพระกรรณเป็นอย่างมาก ในครั้งที่นายสนิท หุ้มแพร (แสง) บุตรชายของท่านลักลอบค้าฝิ่นซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงห้ามการขายฝิ่นเพราะกลัวว่าทางสยามจะมีแต่คนติดฝิ่นและเสียเปรียบต่างชาติในเรื่องฝิ่นเช่นที่จีนเป็น หากบุตรชายของท่านกลับทำเสียเอง เลยจัดการเฆี่ยนเสีย 100 ทีเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ใครห้ามปราม หรือให้ลดโทษก็ไม่ฟัง และได้พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งที่กินใจมากค่ะ
เราเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ ต่างพระเนตรพระกรรณล้นเกล้าล้นกระหม่อม เราเห็นว่าผู้ใดเป็นเสี้ยนหนามหลักตอต่อทางราชการแผ่นดินแผ่นทราย ประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมายแล้วเรามีอำนาจอันชอบธรรมที่จะลงโทษผู้กระทำผิดได้ เช่นครั้งนี้อ้ายแสงประพฤติผิดกฎหมาย ลักลอบขายฝิ่นที่เป็นของต้องห้ามตามพระราชประสงค์นั้น เราจึงจะลงโทษเฆี่ยนหลังอ้ายแสง 100 ที ตามมีพระราชบัญญัติในรัชกาลปัจจุบันนี้ ถ้าผู้ใดไม่เป็นคนทนสาบานต่อน้ำพระพิพัฒน์สัตยาแล้ว คงจะไม่มาเกี่ยวข้องขัดขวางทางที่จะลงโทษอ้ายแสงนี้ ถ้าผู้ใดเป็นร่วมคิดด้วยอ้ายแสงผู้กระทำความผิดแล้วผู้นั้นคงจะมากีดขวางขัดข้องด้วยการจะลงโทษอ้ายแสงนี้บ้าง
2.ขออย่าให้เป็นคนรับใช้ของเจ้าพระนคร
ขึ้นชื่อว่าเจ้าพระยานครมักจะลงโทษคนรับใช้ของท่านที่ทำผิดด้วยวิธีประหลาดๆ จนใครๆก็ไม่อยากเป็นคนรับใช้ของท่าน
3.ขออย่าให้เป็นคนต้มน้ำร้อนของพระยาศรี
ท่านพระยาศรีสหเทพ ท่านเป็นขุนคลังแก้วแห่งรัชกาลที่ 3 จึงนับว่าเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัวคนหนึ่ง ท่านจึงเป็นบุคคลที่มีคนไปมาหาสู่อยู่มิได้ขาดเลยค่ะ จนต้องต้มน้ำร้อนชงชารับแขกกันไม่ขาดสาย จนคนต้มน้ำร้อนมิได้พักผ่อน จึงมีกลอนล้อว่าอย่าได้เป็นคนต้มน้ำบ้านของท่านเจ้าพระยาเลย
ไหนๆก็พูดถึงบ่อแก้ว ขุนคลังแก้วกันมาแล้ว ก็ขอแถมเรื่องเบญจพละทั้ง 5 หรือแก้วทั้ง 5 แห่งแผ่นดินของร.3 ค่ะ เชื่อกันว่าทุกแผ่นดินจะมีแก้วทั้ง 5 นี้คู่บัลลังก์เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งแผ่นดินค่ะ สำหรับร.3 นั้นประกอบด้วย
บ่อแก้ว พระยาราชมนตรี (ภู่) บิดาคุณพุ่มหรือบุษบาท่าเรือ
ช้างแก้ว พระยามงคลคชพงศ์
นางแก้ว พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ พระองค์เจ้าวิลาศ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
นั้นทรงเป็นผู้ชุบเลี้ยงให้การอุปการะสุนทรภู่ยามตกอับในร.3 นั่นเองค่ะ
ขุนพลแก้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชา
ขุนคลังแก้ว เจ้าพระยาศรีสหเทพ
4.ขออย่าให้เป็นมโหรีของพระยาโคราช
ท่านเจ้าเมืองโคราชในตอนนั้น ท่านอยากเล่นมโหรี มีวงแบบขุนนางในกรุง (เป็นการบอกความเป็นเซเลบที่แปลกดีนะคะ) ก็เลยจับเอาพวกเชลยสารพัดเชื้อชาติมาเล่นมโหรี ก็เลยทำให้เป็นมโหรีที่เล่นได้แย่เอาการ ใครได้ฟังก็เบือนหน้าหนีเพราะทำนองที่เล่นมันแปร่งหูเสียเหลือเกิน
5.ขออย่าให้เป็นสวาดิของพระองค์ชุมสาย
คำว่าสวาดิ หมายถึงว่าโปรดปรานค่ะ ว่ากันว่า กรมขุนราชสีหวิกรม (พระองค์เจ้าชุมสาย ต้นราชสกุลชุมสาย ณ อยุธยา) หากทรงโปรดใช้มหาดเล็กคนไหน คนนั้นก็มักถูกจำโซ่ตรวนเวลาใช้ไม่ได้ดั่งพระทัย
6.ขออย่าให้เป็นฝีพายของเจ้าฟ้าอาภรณ์
ที่ล้อเลียนกันแบบนี้ก็เพราะฝีพายเรือพระที่นั่งของเจ้าฟ้าอาภรณ์ว่ากันว่า ขานยาวและถี่กว่าเรือใครๆ ฝีพายเลยต้องเสียแรงมากกว่าฝีเรือของเจ้านายพระองค์อื่นๆ
7.ขออย่าให้เป็นละครของแม่น้อยบ้า
ปกติเวลาใครเขาจ้างละครโรงไหนๆไปเล่น เขารับแต่เงิน แต่ละครของแม่น้อยรับทุกอย่างจะให้เป็นของกินของใช้ แกรับหมดไม่มีปฏิเสธ ตัวละครเล่นไปแทนจะได้เงินกลับได้ ข้าวสาร กะปิ แทนก็มี
8.ขออย่าให้รู้ชะตาเหมือนอาจารย์เซ่ง
ร่ำลือกับว่าอาจารย์เซ่งเป็นหมอดูที่แม่นมาก แต่แกคงลืมดูดวงตัวเอง ท้ายสุดก็ถูกลงพระอาญา หุๆๆ ไม่ต่างกับหมอดูสมัยนี้เหมือนนะเนี่ย
9.ขออย่าให้เป็นนักเลงอย่างท่านผู้หญิงฟัก
ท่านผู้หญิงฟักเป็นคนที่ชอบเข้าบ่อนมากๆ ก็เลยมีพฤติกรรมประหลาดๆเพื่อโกงบ่อน โดยพฤติกรรมแผลงๆ ของท่านผู้หญิงคือ มักจะทำอุบายให้ของดีใต้ร่มผ้ามาวับๆแวมๆ จนนายบ่อนเผลอมองของดี ทำให้พรรคพวกท่านผู้หญิงช่วยกันโกงได้
10.ขออย่าให้เป็นสมปักของพระนายไวย
พระนายไวยคนนี้ก็ไม่ใช่คนอื่นไกลค่ะ คุณชายช่วงหรือจมื่นไวยวรนาถนั่นเองค่ะ (และสุดท้ายท่านได้เป็นถึงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) เค้านินทากันให้กระฉ่อนว่า ท่านนุ่งผ้าสมปักพื้นเขียวของท่านอยู่ผืนเดียว ไม่ยอมเปลี่ยนเสียที จนไม่มีใครอยากจะป็นสมปักของท่าน
11.ขออย่าให้เป็นดอกไม้เจ้าคุณวัง
เจ้าคุณวังที่พูดถึงคือ เจ้าจอมมารดาตานี ในรัชกาลที่ 1 จะให้นับญาติท่านก็คือว่าเป็นพี่สาวคนละแม่ของท่านเจ้าพระยาพระคลังนั่นเองค่ะ (แต่เจ้าจอมตานีนั้นท่านเป็นธิดาที่เกิดแต่คุณส้มลิ้มอันเป็นภรรยาแรกของเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) หลังจากคุณส้มลิ้มเสียชีวิตเพราะโจรฆ่าตายตอนกลับกรุงเก่าไปเอาสมบัติ ความทราบถึงท่านผู้หญิงนากภรรยาท่านเจ้าพระยาจักรี จึงได้ยกคุณนวลน้องสาวให้เป็นภรรยา แต่มาจึงเรียกสายที่เกิดแต่คุณนวลหรือเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวลว่า สายเจ้าคุณพระราชพันธู์นวลชั้นที่... จึงเรียกได้ว่า ราชินิกุลบุนนาคเป็นราชินิกุลที่ใกล้ชิดมากสายหนึ่งทีเดียว) ร่ำลือกันว่าเจ้าคุณวังนั่นท่านมีฝีมือในการเป็นช่างดอกไม้มากๆค่ะ จนใครมีงานก็มักจะขอให้ท่านช่วยงานทางด้านดอกไม้เสมอ จนดอกไม้ในสวนท่านโดนเด็ดเป็นประจำไม่เคยได้บานเลยเสียที
12.ขออย่าให้เป็นระฆังวัดบวรนิเวศวิหาร
ปกติวัดอื่นเค้าจะตีระฆังกันแต่วันละ 2 ครั้ง แต่วัดบวรฯนั้น พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ครั้งที่ทรงเป็นเจ้าอาวาสที่วัดบวรนิเวศวิหาร โปรดให้ใช้ระฆังของวัดตีบอกอาณัติสัญญาณอย่างอื่นเสมอ จนระฆังที่นี้โดนใช้งานหนักกว่าที่อื่น
ความรู้ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ฟีน่าก็เรียบเรียงมากจากหนังสือเลาะวังของคุณจุลลดา ภักดีภูมินทร์อีกทอดค่ะ เอาไว้สักวันจะเอาเลาะวัง เวียงวังมาแนะนำบ้างดีกว่านะคะ