มุมพักผ่อนของคนอยากเขียน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
29 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 
เพียงเปิดใจ 15

บทที่ 15




ความจริงและการเริ่มต้นใหม่





    ประตูห้องล็อค... บานนี้ก็ล็อค... อินทิราจับลูกบิดประตูเขย่าไปมายังกับมันจะเปิดให้ทั้งที่หมุนไม่ไป เพราะถูกล็อคจากด้านในเอาไว้ ก่อนนึกได้ว่าโดยปกติแล้วบ้านพักของครอบครัวเธอหากไม่มีใครมาอาศัยอยู่จะทำการล็อคประตูทุกบานในบ้านไว้... และกุญแจที่ไขประตูได้ก็อยู่กับเขาคนนั้น


    แล้วเธอจะทำยังไงดี กระโดดเข้าไปแย่งเลย... ดูจากสภาพตัวแล้วคงชนะหรอก หรือเข้าไปขอดีๆ ... แต่ก็ไม่อยากคุยกับเขาอีก อินทิรายังคงจับลูกบิดประตูมองมันแน่นใช้ความคิดหาทางไขลูกบิดประตูให้ได้ จนตัดสินใจได้ว่าจะไปนั่งตรงโซฟากลางบ้าน และถ้ายังเข้าห้องไม่ได้ก็จะนอนมันตรงนั้นนั่นแหละ แต่พอจะหันขวาจะเดินกลับไปก็พบกับ...


    “พี่ไขให้” อิทธ์เดินขึ้นบันไดที่มีไว้อยู่เพียงสามสี่ขั้นที่ทำไล่ระดับแบ่งโซนของบ้าน ใกล้เข้ามาหาหญิงสาวที่กระโดดโหยงไปข้างหลัง... ไม่บอกก็รู้ว่ากลัวเขามาก


    เขาส่ายหัวให้กับคนตัวเล็กแถมยังขี้กลัวอีกที่รีบเปิดประตูสอดตัวเข้าไปและปิดทันทีที่เขาไขให้ แล้วนี่หากเจ้าหล่อนเข้าไปอยู่ในห้องคนเดียว... จะอยู่ได้ไหมนี่


    อิทธ์เดินกลับมาไปยังห้องครัวที่มีกั้นไว้เพียงเคาเตอร์ตัวใหญ่ ก้มลงหยิบน้ำเปล่าในตู้ด้านล่างเพื่อเอามาใส่ไว้ในตู้เย็น แต่ในจังหวะที่ลุกขึ้นก็สะดุ้งตัวแทบจะพร้อมกันกับคนตรงหน้าที่มีเพียงเคาเตอร์ตัวใหญ่กันอยู่ แต่ดูคนอีกฝั่งจะตกใจมากกว่าเพราะเล่นเอายืนตัวแข็งทื่อตาโตตกใจจัด ก่อนทันเห็นเจ้าหล่อนปรับสีหน้าแล้วหันหลังเดินไปยังโซฟากลางบ้าน นั่งลงอย่างเงียบๆ ... และคนที่คบมากันตั้งเนิ่นนานจะไม่รู้เชียวหรือว่าทำไมหล่อนถึงออกมา


    กลัวผีล่ะสิ... เขาก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือ ยังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำก็ออกมาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาหากไปค้างคืนกันที่ไหนก็ต้องมีเขานี่แหละที่ต้องอยู่รอจนเธอหลับ หรือไม่ก็นอนมันห้องเดียวกัน เขานอนข้างล่างบ้าง โซฟาในห้องบ้างหากมี มีบ้างบางทีที่นอนเตียงเดียวกันแต่เขาก็ไม่เคยล่วงเกินเธอไปมากกว่าการกอด... แต่ในตอนนี้แม้จะมองหน้าเธอยังให้เขาไม่ได้... เธอจะรู้บ้างไหมว่าเขา ‘ทรมาน’ เพียงใด


    “น้ำมั้ยอิน” อิทธ์ถามขึ้นซึ่งคำตอบเป็นเพียงการส่ายหัว แต่ถึงอย่างไรเขาก็หยิบแก้วขึ้นมารินน้ำให้เธออยู่ดี มันเป็นเรื่องปกติที่เขามักบริการเธอเสมอ


    ชายหนุ่มเดินเอาน้ำไปวางไว้ตรงหน้าเธอพร้อมหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ โซฟาเดียวกัน อินทิราแทบจะกระโดดลอยตัวไปนั่งอีกฟากของโซฟาทันที อิทธ์มองท่าทีของหญิงสาวก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา เขาสงสัยว่าระหว่างผีกับเขาเธอจะกลัวอะไรมากกว่ากัน แต่การที่ออกนอกห้องมาอยู่กับเขานี่คงต้องฟันธงว่ากลัวเขาน้อยกว่านั่นแหละ เอาน่าอย่างน้อยเขาก็น่ากลัวน้อยกว่าผี


    “ง่วงยังอิน ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนเถอะเดี๋ยวพี่นอนตรงนี้แหละ มีอะไรก็บอกได้” อันที่จริงเขาอยากเข้าไปนอนในห้องมากกว่า (แน่นอนว่าคนละห้อง) แต่หากเป็นแบบนั้นเจ้าตัวคงไม่หลับไม่นอนแน่นอน เพื่อความสบายใจของเธอต่อให้ต้องลำบากแค่ไหนคนอย่างเขาก็พร้อมจะทำให้ได้เสมอ


    อินทิราเดินเข้าห้องตัวเอง แต่ก่อนจะเข้าห้องยังไม่วายหันไปมองคนนั้นเห็นเขาก้มลงค้นกระเป๋าตัวเอง แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมา เธอไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมคนนั้นถึงมีกระเป๋าสัมภาระติดตัวมา เพราะคนนั้นมักติดไว้ในรถอยู่แล้ว ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า เวลาไปไหนมาไหนถ้าต้องค้างคืนกะทันหันจะได้มีชุดไว้เปลี่ยน และหากว่าเขายังคิดกับเธอเหมือนเดิมมันต้องมีชุดเธออยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน...


    อิทธ์รู้สึกว่าตัวเองโดนจ้องมองเขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตากับเธอ ผ้าขนหนูผืนเล็กพาดบ่าอยู่ก้มลงไปหาอีกผืนเพื่อให้หญิงสาวแต่นึกได้ว่าบ้านนี้มีเสื้อผ้าของเธอติดอยู่ ก่อนเอ่ยบอกเชิงขออนุญาตจากเธอ “พี่ขออาบน้ำก่อนนอน อินมีผ้าเช็ดตัวแล้วใช่ไหม”


    อินทิราพยักหน้าให้เขาทีนึงก่อนเปิดประตูห้องกว้างพร้อมชี้นิ้วจึกๆ เข้าไปในห้อง และเหมือนชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายเธอจึงช่วยพเยิดหน้าเข้าไปในห้องแรงๆ อีกหนึ่งที เธอรู้ว่ามันดูตลกกับท่าทางของเธอแต่ทำไงได้ ก็ไม่อยากคุยนี่...


    อิทธ์เลิกคิ้วมองท่าทางของเธออย่างงงๆ พร้อมชี้ที่ตัวเองและที่ห้องพร้อมถามถึงข้อสงสัย “จะให้พี่ไปนอนด้วยเหรอ” โอ้ ส่ายหัวแบบนั้นจะหลุดมั้ยนี่ อิทธ์พยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นหัวเราะเต็มที่ ก่อนแก้ข้อความจริงออกมาใหม่ “อินอาบไปก่อนเถอะ เสร็จแล้วก็เรียกพี่ เดี๋ยวพี่เฝ้าหน้าห้องให้”


    ระหว่างรอหญิงสาวอิทธ์หยิบตารางงานที่ติดมาขึ้นดู พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเขา ส่วนวันอังคารต้องเข้าโรงพยาบาลตอนเช้า และขมวดคิ้วเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นว่าตั้งแต่เช้ายันเย็นเขาต้องอยู่แต่โรงพยาบาลเพื่อตรวจคนไข้ในความดูแล อิทธ์ถอนหายใจหนึ่งที เขาไม่อยากปิดคลินิกเพราะปกติแล้วเขาจะเปิดทำการตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงสี่ทุ่มแทบทุกวันยกเว้นวันจันทร์ และหากเขามีเวลาว่างเพิ่มเขาก็จะเปิดเร็วขึ้น เหตุผลไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เพราะคนไข้ของเขาจำเป็นต้องการเขา เขาอยากรักษาคนไข้ให้หายเพื่อให้คนไข้ทั้งหลายของเขาเจริญเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง


    อิทธ์พยายามทำตารางให้ลงล็อคเพื่อเคลียร์งานบางส่วนที่ค้างคา บางทีเขาอาจต้องหยุดรับงานที่โรงพยาบาลและมาอยู่คลีนิกแบบถาวรเลยดีกว่า แม้จะคิดแบบนี้หลายครั้งแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะบางทีหากมีเคสใหญ่ๆ เข้ามาเขาก็จำเป็นต้องใช้โรงพยาบาลเป็นตัวช่วยอันดับหนึ่ง บางทีเวลามีคนมารักษากับเขาและคลินิกของเขาอุปกรณ์ไม่พอที่จะช่วยได้ เขาก็จะนัดให้คนไข้ไปพบเขาที่โรงพยาบาล


    เขาไม่ใช่กุมารแพทย์มือหนึ่งหากแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าคนไข้เด็กๆ ทั้งหลายรักเขา เห็นได้จากเด็กชอบเรียกเขาว่า ‘คุณหมอใจดี’ เขารักษาเด็กด้วยความต้องการจริงแม้ใครจะไม่มีเงินแต่เขาก็เต็มใจช่วยเหลือเต็มที่ เขาชอบเด็ก เขาชอบเห็นการเจริญเติบโตของเด็ก และเขาคิดเสมอว่าการเจริญเติบโตของเด็กเป็นเรื่องใหญ่ เด็กจะดีได้ก็เพราะพ่อแม่ เขาซึ่งเป็นหมอก็ได้แต่ให้คำแนะนำที่ดีให้กับพ่อแม่เด็กเรื่องสุขภาพร่างกาย อิทธ์ยัดเวลาส่วนตัวที่เหลือเข้าไปในช่องตาราง ‘ว่าง’ พร้อมเขียน ‘นัดน้องนนท์ นัดน้องขิม’ ก่อนมาร์คเพิ่มว่า ‘โทรนัดพรุ่งนี้’ เพราะเขาจำเป็นต้องเลื่อนสองรายนี้ไปวันต่อไป


    เสียงประตูห้องเปิดขึ้นอิทธ์ละสายตาจากสมุดของเขา เมื่อเห็นอินทิราในอีกชุดโผล่ออกมาเขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องเธอ ซึ่งถูกนำหน้าโดยหญิงสาวเข้าไปในห้อง เธอนั่งปุอยู่บนเตียงมองหน้าเขาอย่างหวาดๆ ก่อนอ้าปากหาวในทีหนึ่งวอด อ้าแบบไม่กลัวอายไม่มีการปิดปากมีแต่การโชว์ลิ้นไก่ให้เขาเห็นอันแปลความหมายได้ว่า ‘เร็วๆ อินง่วง’ เขายิ้มอ่อนใจให้คนง่วงก่อนตอบรับความต้องการ “ครับ”


    กลิ่นยาสระผมลอยออกมาจากประตูห้องน้ำพร้อมร่างสูงที่เปิดตามออกมา อินทิราปิดตาดึงผ้าห่มมาคลุมโปรงทันที และได้ยินเสียงคนนั้นบอกก่อนประตูห้องนอนจะปิดลง “พรุ่งนี้เดี๋ยวเราเข้าเมืองกัน”



    อินทิรากระสับกระส่ายเมื่อตื่นขึ้นมาในยามรุ่งสาง มีแค่ความสลัวของฟ้าข้างนอกบ่งบอกได้ว่าพระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า เมื่อคืนเธอนอนได้ไม่เต็มอิ่มหลับๆ ตื่นๆ คิดนู่นคิดนี่แถมยังโดนคาดคั้นจากเพื่อนทั้งสองเมื่อตอนที่โทรไปรายงานตัวว่าปลอดภัยแล้ว มันไม่ได้พูดอะไรกดดันเธอสักเท่าไหร่นอกจากสั้นๆว่า ‘ฉันจะรอแกนะอิน’ แถมตอนประมาณตีสองที่โผล่ออกไปหาน้ำกินแล้วเห็นว่าคนนั้นนอนขดอยู่บนโซฟามันก็ทำให้เธอไม่สบายใจ จนต้องไปหอบผ้าห่มมาห่มให้ โชคดีอย่างที่ไม่ปลุกเขาตื่นไม่งั้นเธอคงไม่กล้าให้เขาเห็นหน้าแน่นอน
และถ้ารู้ว่าคนคนนั้นไม่ได้หลับอย่างที่คิดล่ะ และถ้ารู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ


    อินทิราค่อยๆ เปิดประตูเสียงเบาที่สุด ค่อยๆ ยื่นหัวเล็กๆ ออกไปดูที่โซฟากลางบ้านก่อนโล่งอกปนแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นเขาอยู่ตรงนั้น ก่อนย้ายตัวเองไปยังครัวรินน้ำใส่แก้วยกขึ้นดื่ม เธอตั้งใจจะเดินออกไปดูพระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบน้ำเยื้องหน้าบ้านเธอไปหน่อย ปกติแล้วเวลามาที่นี่เธอมักจะตื่นเช้าชอบออกไปรับตะวันแรกของวันใหม่ และมันจะปกติมากกว่าหากเธอออกไปดูพร้อมกับคนเดิม


    หญิงสาวไม่ได้เตรียมใจไว้ว่าจะต้องมาเจอเขาคนนั้น และเมื่อเห็นคนนั้นยืนอยู่ตรงนั้นเธอก็เกิดอาการเอ๋อไปเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจะหมุนตัวเดินกลับบ้านหรือว่าเดินเข้าไปนั่งไกลๆ มองดูพระอาทิตย์ขึ้นดี แต่... ไหนๆ ก็มาแล้วและใช่ว่าจะได้มาบ่อยแม้มันจะไม่ไกลจากเมืองกรุงสักเท่าไหร่ นั่นเพราะมันทำให้เธอเจ็บปวดมากกว่าสงบสุขเธอจึงเลือกไม่มาเลยดีกว่า เธอเลือกที่จะไปนั่งอยู่อีกที่ที่มันไกลกว่าเขาคนนั้นหน่อยพยายามเพ่งสายตาไปยังแสงตะวันที่เริ่มทอประกายออกมาให้เห็นบ้างแล้ว กระนั้นสมาธิที่ดูเหมือนมันจะเริ่มสั้นขึ้นเมื่อคนคนนี้กลับมานั่นทำให้เธอมักแบ่งสายตาอีกนิดนึงแฉลบมองเขาอยู่บ่อยๆ และการแอบมองครั้งสุดท้ายก็แทบทำให้เธอได้วิ่งหนีเมื่อร่างใหญ่นั่นกำลังเดินมาทางเธอ


    เสียงเรียกชื่อทำให้เธอต้องหยุดการเคลื่อนไหวตัวเองไว้นิ่งก่อนหันมาสบตาสีนิลกับคนตรงหน้า ใบหน้าเรียบๆ ดูใจดีๆ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกลับไปยังจุดเดิมในอดีตอีกครั้ง แต่ภาพอดีตอีกภาพก็ฉายซ้อนนั่นถือเป็นการตอกย้ำว่า เธอไม่มีวันกลับไปจุดนั้นได้อีกแล้ว ก่อนหญิงสาวปรับหน้าได้สำเร็จมองด้วยสายตาไร้ความรู้สึกกลับไป นั่นทำให้คนที่โดนมองรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจขึ้นมาทันที


    แววตาแบบนี้เขาเคยโดนมาแล้วเมื่อสมัยที่เขาและเธอเคยคบกันมาก่อน ให้ตายเถอะ วันนี้เขาอยากคืนดีกับเธอที่สุด แต่สายตาที่จ้องมองเขาราวกับเป็นตัวประหลาดนั่นทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องมันจะยุติลงวันนี้หรือไม่ เขาอดทนใจเย็นรอมานานมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่เธอต้องฟังเขาเสียที ไม่ว่ายังไงเธอต้องฟังเขา...


    “พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย เรื่องวันนั้น... ”


    “อินไม่อยากฟัง” อินทิราตอบทันควัน เสียงเรียบเย็นชาแบบที่เธอเองยังตกใจว่าทำได้ยังไง และถ้าให้พูดตามตรงนี่คือประโยคแรกที่เธอพูดกับเขาในรอบหลายปีที่ผ่านมา


    หากนั่นกลับทำให้หนุ่มตรงข้ามยิ้มในใจได้เพราะไอ้ประโยคแรกในรอบหลายปีนี่แหละ ที่เขามั่นใจเหลือเกินว่าเธอพร้อมจะฟังแล้ว เพราะถ้าเจ้าตัวยังโกรธอยู่คงไม่มีทางคุยกับเขาหรอก


    “ครับ ไว้เดี๋ยวเราค่อยคุยกันเนอะ”


    วุ้ย! ก็บอกไม่อยากคุย ไม่อยากฟัง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงนี่ อินทิราค้อนหน้าหงิกสะบัดหน้าไปอีกทางแบบลืมตัวยามไม่ได้ดั่งใจ มองไปยังพระอาทิตย์พาลโทษว่าเพราะแกขึ้นเร็วไปใช่ไหม ถึงทำให้ผู้ชายคนนี้เพี้ยน!



    “วันนี้พี่ไม่อยากกลับเย็นมาก เดี๋ยวเรารีบกินแล้วไปเดินเล่นในเมืองกัน” อิทธ์พูดขึ้นพลางจัดขนมปังปิ้งที่เพิ่งทำขึ้นระหว่างรอเจ้าหล่อนอาบน้ำอยู่


    อ้าว แล้วมาเร่งเธอทำไมล่ะนี่ ใครใช้ให้พามาเล่า เธอสงสัยปนฉุนอย่างไม่เข้าใจ จัดการนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามกับเขาก่อนหยิบขนมปังที่เขาทำให้ทาแยมรสส้ม กินอย่างเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนตามคำบอกของเขาแต่อย่างใด... อยากรีบก็รีบไปคนเดียวเถอะ


    อิทธ์ส่ายหัวถอนหายใจเบาๆ กับความเรื่อยของหญิงสาวที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะอิ่ม หรือรีบร้อนตามที่เขาบอก รู้ทั้งรู้ว่าเขารีบกับทำเอ้อระเหยลอยชายอยู่แบบนี้อีก นี่เขาตามใจเธอมากเกินไปหรือเปล่านี่ และกว่าจะเร่งให้หล่อนกินเสร็จเร็วๆ เข็มสั้นก็เกือบใกล้เลขเก้าเข้าไปแล้ว



    เฟ้ย! นี่มันเกมบ้าเกมบออะไรฟะ ไม่รู้ว่านี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่เธอและเขาเล่นเกมจับมือกัน พอเขาจะจับเธอก็สะบัดออก แกล้งกอดอกมั่ง ล้วงกระเป๋ามั่ง ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สลัดมือของคนตัวโตได้ นี่ขนาดทำให้รู้ว่าไม่ชอบแล้วยังไม่ยอมเข้าใจแล้ว ชักโมโหแล้วนะเนี่ย


    “ไม่ต้องจับได้มั้ย ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมาสน ไม่ต้อง ไม่ต้อง ได้ยินมั้ยว่าไม่ต้อง! ” อินทิราเริ่มเสียงดังอย่างไม่พอใจขึ้นเป็นลำดับ พร้อมสายตาคนทั่วไปที่เดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าในตัวเมืองที่เริ่มหันมามองอย่างสนใจจากเสียงที่ไม่เบาเลยแม้แต่น้อยของคนตัวเล็ก


    “จะจับ”


    โอ้ แม่ จ้าว! ให้ตายเถิด อินทิราเริ่มอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงกับคำแค่สองพยางค์ และยิ่งตะลึงขึ้นเมื่อเขาเริ่มลากเธอเข้าร้านกาแฟน่ารักๆ ร้านหนึ่งในห้าง และยิ่งพยายามฝืนตัวมากเท่าไหร่ดูเหมือนว่าเขายิ่งบังคับเธอมากเท่านั้น แถมยังจัดแจงให้เธอนั่งลงพร้อมสั่งนมร้อนให้เธออีกแก้ว... นี่เขาเห็นเธอเป็นเด็กหรือยังไง


    “เดี๋ยวนี้เค้ากินกาแฟได้แล้วนะ”


    เสียงพึมพำแผ่วเบาพร้อมการเบะหน้าเสมองไปทางอื่นจากปากเธอ ทำให้อิทธ์แทบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น นับเป็นเรื่องใหม่ที่เขารู้เลยทีเดียว ต้องปรบมือให้ด้วยไหมนี่


    “สิ่งที่อินเห็นไม่ใช่อย่างที่อินคิด”


    มีใครเคยบอกผู้ชายคนนี้มาก่อนมั้ยว่ามันควรอารัมภบทก่อนที่จะเริ่มเรื่อง แล้วอยู่ดีๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้จะให้เธอทำหน้าอย่างไรล่ะนี่ เธออดไม่ได้อย่างมากที่จะไม่ให้ยกมือขึ้นมานวดขมับ... แล้วก็นะ ไอ้เรื่องนี้พูดมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว คิดว่าเธอจะเชื่อเหรอ และเมื่อภาพวันนั้นมันยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่เสมอ ยิ่งเห็นหน้าเขามากเท่าไหร่มันยิ่งชัดเจนทุกพิกเซล แล้วเดี๋ยวคำต่อไปก็ต้องเป็นคำนั้น


    “อัญชลีกับพี่ไม่ได้มีอะไรกัน เราไม่เคยมีอะไรกัน”


    โป๊ะเชะ! นั่นไงผิดที่คิดไว้ซะเมื่อไหร่ แล้วทุกครั้งเขาก็หยุดอยู่แค่นี้ เพราะเธอไม่รับฟังคำแก้ตัวของผู้ชายคนนี้ ไม่ฟังแม้ใครจะเป็นฝ่ายมาพูดก็ตาม


    “ปกติแล้วพี่จะหยุดอยู่แค่นี้ เพราะอินไม่อยากฟังต่อ แล้วพี่ก็ไม่อยากบังคับอินให้เชื่อพี่ พี่อยากให้อินเปิดใจคุยกับพี่ และพี่คิดว่าพี่ปล่อยเวลามานานเกินไปแล้ว... อิน ให้โอกาสพี่นะครับ”


    เหมือนอิทธ์จะรู้ว่าหญิงสาวคิดอย่างไร ใช่ ทุกครั้งเขาพูดแค่สองประโยคที่ดูเหมือนเป็นการแก้ตัวแต่ทุกคำล้วนเป็นความจริง แต่ใช่ว่าทุกครั้งเขาจะจบอยู่แค่นั้นเขาพยายามที่จะพูดอะไรต่อมิอะไรไปอีกแต่ก็เหมือนปาลูกบอลใส่กำแพง และเรื่องนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้ และนั่นก็ทำให้เขากับคนต้นเหตุแทบจะไม่เสวนาอีกต่อไป


    “วันนั้นพี่ไม่ได้ค้างที่ห้อง” เขาจ้องหน้าคนตรงข้ามที่มองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจฟังเขาอธิบาย แต่พอเขาพูดจบก็จับสังเกตได้ว่าคิ้วเรียวนั้นขมวดเป็นปมเล็กน้อย


    “อย่างที่พี่เคยพยายามบอกอิน พี่ไปค้างห้องเพื่อน เพราะต้องไปติวหนังสือ พอกลับมาที่ห้องตอนเช้าพี่ก็เห็นภาพเดียวกับที่อินเห็น ตอนนั้นพี่พยายามโทรหาก้องแต่มันก็ไม่รับสาย พอจะปลุกลีพี่ก็ไม่กล้าพอ พี่ไม่รู้จะทำยังไงเลยตัดสินใจที่จะไปอยู่ห้องเพื่อนก่อน รอลีตื่นแล้วพี่ค่อยกลับ แต่พี่จำเป็นต้องเอาหนังสือไปอ่านเพิ่มมันต้องเข้าไปหยิบในห้อง พอออกมาพี่ก็เจออิน”


    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงมากที่สุด ในตอนนั้นเขารู้สึกเบลอไปหมด เขาให้กุญแจห้องกับอัญชลีเพราะเห็นเพื่อนต้องการห้องพักเพราะที่จริงแล้วเขากับเธอเรียนกันอยู่คนละที่ แล้วนานๆ ทีเธอจะขึ้นมาหาเที่ยวและใช้ห้องเขาเป็นที่พัก และครั้งนั้นก็เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาที่เขาจะให้ห้องแล้วปลีกตัวไปนอนกับเพื่อนที่คณะ แต่มันไม่เหมือนเดิมตรงที่ว่าเธอไม่ได้มาพร้อมก้องภพที่สมัยนั้นยังคบกันอยู่ แล้วเธอกลับนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงของเขาเพียงคนเดียว แล้วใครสักคนที่อาจจะเป็นคู่นอนก็ดันไม่อยู่ให้เป็นหลักฐานว่าเขาและเธอไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่อินทิราเข้าใจ... แล้วอินทิราก็ดันมาเจอกับสิ่งที่ไม่น่าเห็นนี้อีก... ความบังเอิญที่ไม่สิ้นสุดจริงๆ


    “อิน... เชื่อพี่เถอะ” อิทธ์อ้อนวอนอย่างใจจริง ทั้งแววตาที่สื่อไป นี่เขาต้องทรมานอีกนานแค่ไหน คิดดังนั้นก็หลับตาลงสูดหายใจลึกๆ พร้อมแอบหวังไม่ได้ว่าเธอจะยอมรับในเหตุผลของเขา และคำพูดที่ได้ยินก็เหมือนหนามทิ่มแทงลงไปในใจ เขาอยากจะหลับตาอยู่ตรงนี้ตลอดไปจริงๆ


    “ถ้าอินเชื่อ... เรื่องคงจบไปนานแล้วละค่ะ” หางเสียงต่อท้ายนั้นเป็นสิ่งยืนยันเลยทีเดียวว่าเธอไม่เชื่อเรื่องที่เขาเล่า เรื่องนี้ก้องภพเองก็พูดให้เธอฟัง แถมดูเหมือนพี่ชายเธอและอัญชลีจะจบกันเพราะเรื่องนี้หรือว่ายังไงนี่แหละ โอเค ยอมรับก็ได้ว่าคำพูดของคนคนนี้มันค่อนข้างสั่นคลอนความเชื่อที่เธอมีมาตลอดบ้างแล้วก็ได้ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะยังคงไม่มีใครในช่วงเวลาที่เลิกรากับเธอไป


    และดูเหมือนว่าพอเธอยอมที่จะเสวนาด้วย ก็ไม่ยอมพลาดโอกาสงามๆ นี้ไป เธอพูดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาราวกลับจะตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ต่อไม่ติดของทั้งเขาและเธอ “ที่จริงพี่หมอไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ก็ได้นะ เพราะอินว่ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก อินก็คิดว่าพี่หมอน่าจะรู้แล้วนะค่ะว่าอินก็มีคนที่คบด้วยอยู่แล้วเหมือนกัน... เอาเป็นว่าเราไม่ติดค้างอะไรแล้ว ต่างคนก็ต่างไปเจอใครคนใหม่ แฟร์ดีออกคะ”


    หญิงสาวได้แต่ภาวนาเพิ่มว่าก้องภพจะยังไม่เอาเรื่องที่เธอเลิกกับทินกรไปบอกอะไรผู้ชายคนนี้ โดยพยายามเชิดคอขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อเพิ่มน้ำหนักความเชื่อกับถ้อยคำที่เอ่ยไป และดูเหมือนคำภาวนาของเธอจะสัมฤทธิ์ผล เพราะชายตรงหน้าแสดงหน้าตาที่เธอไม่ได้โมเมไปเองเลยว่ามันเจ็บปวดมาก... ถึงขนาดแผ่ความเจ็บปวดมาถึงเธอด้วย


    “พี่หมอเหรอ” เขาทวนสรรพนามที่สาวเจ้าเรียก แม้ฟังดูแปลกๆ เพราะปกติเธอไม่เคยเรียกเขาแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับ ดูท่าเธอจะรังเกียจที่จะเรียกชื่อเขามาก ทั้งยังคงหลับตาลงเหมือนเดิม ไม่ว่าเขาจะทำยังไงก็ตามคงไม่มีทางที่จะเปลี่ยนความคิดคนหัวดื้อนี่ได้แน่นอน แล้วจะให้เขาใจเย็นรอต่อไปมันก็รังแต่จะทำให้ชีวิตเขาไม่ปกติสุข ดังนั้นเขาควรทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อเธอไม่เชื่อเขาก็ไม่ต้องเชื่อ ลืมไม่ได้ก็ไม่ต้องลืม แล้ววิธีนี้แหละที่จะทำให้เขาและเธอกลับมาคบกันเหมือนเดิม! ... หากเธอมีลูกดื้อ เขาก็มีลูกตื้อเหมือนกัน


    ชายหนุ่มเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง ประสานมือเข้าหากันยืดแขนแล้ววางมือไว้บนตัก ก่อนลืมตาอย่างช้าๆ ประสานเข้ากับตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม พร้อมพูดขึ้นในเรื่องที่เขาตัดสินใจแล้วว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เข้าท่าที่สุด(แน่นอนว่าสำหรับเขา)


    “เรื่องที่อินคบกับใครอยู่มันก็เป็นสิทธ์ ตราบเท่าที่อินยังไม่จดทะเบียนสมรสกับใครก็ตามพี่ก็ยังมีโอกาสอยู่... และบางทีพี่คงขอเรื่องนั้นมากเกินไป แต่พี่ขอยืนยันคำเดิมว่าพี่กับลีไม่ได้มีอะไรกัน และถ้าอินไม่อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมด้วยเหตุผลใดก็ตาม อินรู้เอาไว้เลยว่าพี่ไม่สน... เพราะเดี๋ยวพี่จีบอินใหม่ก็ได้”


    เสียงเรียบๆ ออกมาอย่างเรียบง่ายทำลายความเงียบทีมีอยู่ลงไป กับคำพูดและใบหน้าที่ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่แปลกอะไรตรงไหน ทำเอาคนฟังสะดุ้งเฮือกขึ้นอย่างตกใจในลูกตื้อของคนข้างหน้า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดถึงเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวตั้งตัวแทบไม่ติด นี่ขนาดเธอพูดปิดประตูใส่เขาทุกทางแล้ว เขายังจะพยายามหากุญแจผีมาไขอีกหรือไง ขนาดเธอยอมที่จะผิดศีลข้อมุสาฯแล้วเขายังไม่แยแสอีก วันนี้เธอทำบาปฟรีหรือนี่ และเหมือนคำสุดท้ายที่ตอกย้ำลงมาว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน


    “พี่เอาจริง”


    หากนี่เป็นเกมจ้องตากันเธอคงขอยกธงขาวยอมแพ้ตั้งแต่วินาทีแรก เพราะสายตาคมที่ส่งมาให้นั่นทำเอาถือใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว อยากรู้นักเชียวว่าไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนกันหนอ คิดเหรอว่าคนอย่างอินทิราจะยอมได้ง่ายๆ ! ทั้งฉุนทั้งตกใจ แต่เอาเถอะเขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา จะจีบมาก็จีบเพราะคนที่ตัดสินใจที่จะยอมเขาหรือไม่ยอมย่อมเป็นเราอยู่ดี เรื่องแบบนี้คงห้ามกันไม่ได้ แต่พี่หมอจำไว้นะ คนสวยคนนี้เจ็บแล้วจำ


    แล้วเมื่อไหร่จะเลิกจ้อง จะให้ละลายเลยมั้ย อินทิราเบือนหน้าหนีสายตาเรียมคมที่จ้องมองราวกับว่ายังไงเธอก็เสร็จเขาแน่ ทำไมเธอต้องแพ้เขาคนนี้เสมอนะ


แล้วถ้าอินทิราสามารถอ่านใจคนได้ เธอก็คงรู้ว่าคนที่แพ้ไม่ใช่เธอหรอก แต่คนที่แพ้คือคนที่นั่งจ้องเธออยู่นั่นแหละ ที่พยายามงัดคำพูดเสริมความมั่นใจตัวเองเพื่อไล่ไอ้ตัวปราชัยออกไปให้ไกลจากใจเขา เพราะคำพูดของเธอนั้นช่างเสียดแทงเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ที่บอกเธอแบบนั้นออกไปไม่ใช่ว่าเขามั่นใจอะไรมากหรอก เพียงแต่เขารักผู้หญิงคนนี้มากและไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าเขาก็มั่นใจว่าเธอก็รักเขาอยู่เหมือนเดิม (ถึงเธอจะบอกว่ามีใครก็ตามเถอะ)




Create Date : 29 ตุลาคม 2553
Last Update : 29 ตุลาคม 2553 17:34:10 น. 4 comments
Counter : 666 Pageviews.

 
ยิ่งเขียนยิ่งหลงรักลูกตื้อของหมออิทธ์เหลือเกินนนน ฮ่าๆ


สัปดาห์หน้าเจอกันนะค่ะ ยังไม่ทราบว่าจะลงได้วันไหน เอาเป็นวันสะดวกของผู้เขียนแล้วกันค่ะ แต่ไม่เกินวันพฤหัสแน่นอน สัญญา

ลมหนาวมาแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ


โดย: ตุยเหมี่ย วันที่: 29 ตุลาคม 2553 เวลา:17:37:03 น.  

 
เร็วๆ นี้อาจมีการย้ายบล็อคนะค่ะ เพราะคิดว่าจะเปลี่ยนนามแฝงที่ใช้อยู่ให้เป็นนามปากกาตัวเอง

รอจัดเวลาว่างๆ ก่อนแล้วจะโยกไปทั้งหมดเลย


โดย: ตุยเหมี่ย วันที่: 29 ตุลาคม 2553 เวลา:18:38:10 น.  

 
หลงรักอิทธ์เข้าแล้วเต็มเปาค่ะ แล้วมาดูว่า 'ดื้อ' หรือ 'ตื้อ' จะสำเร็จ แล้วก็ได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือ 'อัญชลี' เรื่องยุ่งๆ ทั้งในอดีต และกำลังจะเกิดในอนาคตน่าจะมาจากผู้หญิงคนนี้นะค่ะ...

รอตอนต่อไปนะค่ะ รักษาสุขภาพด้วยค่ะ


โดย: เอิงเอย IP: 68.224.193.220 วันที่: 29 ตุลาคม 2553 เวลา:22:23:48 น.  

 
พี่หมอ สู้ๆ นะคะ น้องอินโกรธนานจัง


โดย: taekoksaram IP: 58.137.30.201 วันที่: 31 ตุลาคม 2553 เวลา:14:58:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ตุยเหมี่ย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




"ดากร" ... ณ ตอนนี้ขอเปลี่ยนนามปากกาเป็นชื่อนี้แล้วนะคะ

นามปากกานี้เป็นการดึงชื่อจริงของตัวเองออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ว่าเข้าไปนั่น)

เหตุที่เปลี่ยนก็เพราะว่า รู้สึกแปลกเล็กน้อยที่เอานางเอกของเรื่องมาทำเป็นนามปากกา มันเขินบวกรู้สึกชาที่หน้าแบบบอกไม่ถูกยังไงไม่รู้

ดากร ... จำไม่ยากหรอกค่ะ ดากร
< /embed>

Friends' blogs
[Add ตุยเหมี่ย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.