• ในปีหนึ่งประเทศไทยมีคนถูกสุนัขกัดมากกว่า1ล้านคน
• เชื้อที่ทำให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้า ไม่ได้อยู่ในสุนัขอย่างเดียวนะครับ สัตว์ชนิดอื่นก็เป็นได้เช่น แมว หนู ค้างคาว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กัดเราได้และมีน้ำลาย
• การพิจารณาการรักษาขึ้นกับตำแหน่งที่โดนกัดด้วย เช่นโดนกัดที่หน้าต้องได้รับการรักษาอย่างปัจจุบันทันด่วนกว่าโดนกัดที่ขา(แต่ผมว่า ที่ไหนก็ต้องเร่งด่วนหมดแหละครับ)
• กรณีที่ถูกกัดแต่ไม่มีเลือดออก แค่ช้ำๆก็ต้องได้รับการฉีดวัคซีนเหมือนกัน
• การพิสูจน์สุนัขว่าเป็นหรือไม่เป็นบ้าโดยไม่ต้องตัดหัวคือ รอพิสูจน์10วัน
• หากสัตว์เลี้ยงมีนิสัยที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่นดุร้ายขึ้น หรือเซื่องซึมลง ให้สงสัยไว้ก่อน
• กรณีที่ตัดหัวส่งตรวจเชื้อที่สมอง ขณะนำส่งให้แช่ถุงน้ำแข็ง ห้ามแช่ฟอร์มาลีนกันเน่าเด็ดขาด เพราะจะทำให้ไม่สามารถตรวจเชื้อได้
• ตรวจด้วยวิธีย้อมด้วยแอนตี่บอดีเรืองแสง Direct Fluorescent Rabies Antibody test : DFA ทราบผลใน1วัน
• ไม่ควรเย็บบาดแผลเพราะเชื้อบาดทะยัก ไม่ใช้ออกซิเจนในการหายใจ คือต้องไม่ปิดแผลเพื่อให้เชื้อสัมผัสกับออกซิเจน หลักการเดียวกับมีดบาด
• ควรมีการฉีดวัคซีนป้องกันล่วงหน้า เช่นสัตวแพทย์ที่ต้องรักษาสัตว์ หรือหน่วยงานสงเคราะห์สัตว์ต่างๆ โดยฉีด3เข็มวันที่ 0 7 21หรือ28

ขั้นต้น แพทย์จะพิจารณาจากความรุนแรงบาดแผล และตำแหน่งที่โดนงับ จากนั้นจึงพิจารณาฉีดยา3ชนิดต่อไปนี้ โดยแบ่งเป็นวัคซีนชนิดที่เกี่ยวกับเชื้อบาดทะยักและชนิดที่เกี่ยวกับเชิ้อพิษสุนัขบ้า

1. Tetanus Toxoid(TT) เป็นวัคซีนบาดทะยักที่ใช้กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สูงขึ้น เพื่อไปฆ่าเชื้อบาดทะยัก(ไม่ใช่เชื้อพิษสุนัขบ้านะครับ)
2. Immunoglobulin(RIG) เป็นวัคซีนที่ฉีดเข้าไปแล้วสามารถไปฆ่าเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ทันที ใช้ในกรณีที่แผลถูกกัดลึก และตำแหน่งที่กัดคือหน้า หรือนิ้วมือ ฉีดเพียงครั้งเดียววันที่โดนกัด
3. PCEC เป็นวัคซีนพิษสุนัขบ้าชนิดที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา วัคซีนชนิดนี้ต้องฉีดหลายครั้ง โดยมากจะฉีดวันที่ 0 3 7 14 และ30

*กรณีที่ผู้ป่วยได้รับการฉีด PCEC มาก่อนแล้ว7วัน ไม่จำเป็นต้องให้ RIG อีกเพราะ RIG จะไปกดภูมิคุ้มกันที่กำลังจะสร้าง

คราวหน้าจะมาคุยต่อถึงชนิดของวัคซีนและวิธีการฉีดครับ;;;;;;;PharmAke