Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 
21 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
บันทึกการเทรดวันที่21มิ.ย.เป็นเพราะbiasแท้ๆ

วันนี้เปิดกราฟไม่ได้นะครับ ระบบsettradeล่มตั้งแต่เย็นก่อนตลาดปิดจนบัดนี้ยังเข้าไม่ได้เลย เลยขอแค่เล่าให้ฟังก็แล้วกันนะครับ
   สำหรับภาคเช้าเป็นดังนี้ครับ
  เปิดเช้ามาหล่นตุ้บไปเยอะเลยแล้วก็ลงต่อเนื่อง แล้วมะเช้าเพื่อนที่เล่นเฟกโทรบอกว่าวันนี้จะลงแรงน่าจะเล่นฝั่งช้อตอย่างเดียว ก็เลยเหมือนเมมไว้ในหัว พอได้จังหวะเส้น5วันไม่ผ่านbbaเลยเปิดช้อตไป ทั้งๆที่มีสัญญาณเตือนว่าอาจจะกลับตัวตั้งแต่สิบเอ็ดโมงแล้ว แล้วยังทำผิดซ้ำเพราะประมาทที่ไม่ตั้งต๊อปที่2จุดเหมือนเคย พอราคาเริ่มวิ่งเกิน4จุดก็สั่งปิดแต่มันไม่แมทเพราะขึ้นเร็วมาก จะสั่งแคนเซิลก็ทำไม่เป็นเพราะไม่เคยทำ โทรหามาร์กว่าจะรับสายกว่าจะปิดได้ก็ผ่านไป 11 จุดแล้ว เป็นบทเรียนว่าต้องเชื่อสิ่งที่เห็น และต้องมีวินัยในการตั้งคัทลอส แต่ไม่เป็นไร จะได้จำใว้(แต่มักจะลืมทุกทีเวลาเทรด อิ อิ) ต่อไปแก้ไขกันใหม่ ก่อนปิดเที่ยงราคาขึ้นไปปิดที่932มั้ง เส้น5วันตัดเส้น20วันขึ้นไปในtf15นาทีเป็นสัญญาณเปิดลอง แต่เห็นตลาดจะปิดแล้วเลยรอบ่ายดีก่า
   บ่ายเปิดมาโดดไปร่วมสิบจุดมั้ง แล้วไปทางข้างเด้งบ้างย่อบ้าง ที่จริงกรอบก็กว้างพอเล่นสั้นได้ แต่ในtf15และ5นาทีสัญญาณไม่ค่อยชัดเจน แล้วtf15นาทีมีเส้น100วันขวงไว้ผ่านไม่ได้ซะที เลยคิดว่าปล่อยไปดีกว่า จนระบบล่มเลยไม่ต้องทำไร ดีเหมือนกัน
   สรุปสัปดาห์นี้ได้มาซัก3จุดมั้งแต่เสียไป11จุด ขาดทุน8จุดไม่รวมคอม ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพราะหลายๆอย่างคือ
   1.คิดเอาเองว่าตลาดจะไปทางโน้นทางนี้ ทำให้ละเลยการเอาใจใส่ในสัญญาณต่างๆให้รอบคอบ
   2.ไร้วินัยและประมาท ไม่ตั้งคัทลอสอย่างที่เคยทำ คิดว่าจะปิดทัน แต่พอราคาวิ่งแก้ไม่ทันแล้วก็แก้ปัญหาไม่เป็นด้วย(ปกติเวลาตั้งคัทกับแคนเซิลจะให้มาร์ตั้งให้)
   3.ไม่มีวินัยในการทำตามระบบอย่างเคร่งครัด
   ต่อไปคงต้องดูสัญญาณและแนวรับ/ต้านเท่านั้น ไม่ต้องสนใจใคร ทำตามระบบไป และต้องมีวินัยอย่างมากทั้งในการเข้า ออก และการคัทลอส อ้อ แล้วต้องศึกษาการใช้ไอแพทให้ดีด้วย วันนี้เป็นวันที่เจ็บแล้วต้องจำ
   วันศุกร์อีกแล้วครับท่าน สุขสันต์วันหยุดนะครับทุกท่าน บายครับSmileySmiley



Create Date : 21 มิถุนายน 2556
Last Update : 21 มิถุนายน 2556 21:01:00 น. 19 comments
Counter : 1613 Pageviews.

 
เมื่อตลาดเต็มไปด้วย Professional เราก็ต้องคิดอย่าง Professional
บทความนี้คัดลอกมาจาก Hedge Fund Manager สัญชาติไทย ที่เป็น idol แห่งระบบเทรดที่ไม่มี cut loss ที่หลายคนชื่นชอบในแนวคิดและตรรกะของเค้า...รวมทั้งผมก็ฝากตัวเป็นศิษย์ร่วมสำนัก mudley group!
______________________________
Plan Your Work Then Work Your Plan
ตลาดเงิน ตลาดทุน "ถ้าหากจะเป็นนักเก็งกำไรหวังส่วนต่างจากภาวะตลาดแล้ว" มันเป็นสนามแข่งแบบ open ไม่มี handicap ไม่มีจัดแบ่งรุ่นนะครับ ดังนั้น หากเราไม่มี plan หรือ แม้กระทั่งมี plan แล้วแต่หลุด ผลประโยชน์ตรงนั้น จะตกไปเป็นเงินรางวัลทันที
แม้กระทั่งผมบริหารเงินเยอะแค่ไหน แต่ทุกวันนี้ผมยังคงต้องฝึก ต้องซ้อม ส่วนการฝึกซ้อมในยุค google ทำได้ไม่ยากครับ แค่พยามศึกษาแนวคิดของคนเก่งๆหลายคนเค้าคิดอะไร เค้าทำอะไร เช่น เอ....ตอนนี้ Ray ทำอะไรน้า Soros ทำไรอยู่
พอเราได้คอนเซ็ปแนวคิดเค้าแล้วให้นำมาคิดต่ออย่าเพิกเฉยหยุดคิดครับ ลองคิดต่อดูว่าถ้านำมาสร้างเป็นโมเดลจริงๆจะทำได้อย่างไร ผมจะทำแบบนี้เรื่อยๆอย่างน้อยวันล่ะ 2-3 ชม ขั้นต่ำ ไม่รวมกับการฝึกเรื่องจิตวิทยาต่างๆอีกวันล่ะ 1-2 ชม พยามขัดเกลาจิตใจ ทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเองให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ล่ะครั้ง
ท้ายนี้ขอยืมคำพูดเพื่อนผมที่อเมริกา ที่คอยเตือนสติผมเมื่อก่อนหน่อย
"กฏของการแข่งขัน ถ้าคู่แข่งเรา professional แล้ว เราก็จะต้องพยามพัฒนาทำตัวเราให้เป็น professional ด้วย "

“Plan your work for today and every day, then work your plan”

― Margaret Thatcher
ลอกมาให้อ่านกันเล่นๆครับ


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:10:01:07 น.  

 
แนวรับ SET50 ที่(เชื่อว่า)น้อยคนจะสังเกตเห็น
หมกมุ่นอยู่ในตลาดบางทีก็ทำให้มองภาพใหญ่ไม่เห็น

ลองมานั่งดู SET50 time frame month เจอแนวรับที่น่าสนใจเส้นหนึ่ง

ว่ากันตามกราฟแล้ว SET50 ได้ทำการ Breakout แนวต้านในรอบ 14ปี ไปเมื่อปลายปี 2555 และการปรับตัวในเดือนที่ผ่านมาเป็นการ Pull Back ลงมา ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยในทุกๆการ Breakout

//www.stock2morrow.com/attachment.php?attachmentid=164255&stc=1&d=1371736837


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:10:04:28 น.  

 
สภาพตลาดหุ้นช่วงนี้ ทำให้ผมนึกถึงช่วงผมเริ่มลงทุนใหม่ๆจัง
จากที่หุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาถึงช่วงปรับฐาน-ผันผวน
"เป็นช่วงร่อนตะแกรงหาตัวจริงของตลาดฯ และเป็นช่วงร่อนตะแกรงหาตัวตนจริงของนักลงทุน"


กำไรง่ายๆ เริ่มจะยากขึ้น จนถึงพลิกขาดทุนแบบสาหัสด้วยเหตุผลเล็กๆน้อยๆแบบ
ว้าา พลาดตรงนี้นิดเดียว หรือเกือบจะได้แล้วเชียว ไม่น่า..


แทบจะไม่ค่อยมีพลาดแบบใหญ่ๆเท่าไหร่ มีแต่พลาดนิดหน่อย แต่ทุกครั้งเกิดความเสียหายมากมาย
ซึ่งหากทบทวนกันให้ดีๆ ก็จะเห็นว่า "จุดเล็กๆน้อยๆนั่นแหละใหญ่"
เพียงแต่จะคิดว่ามันเล็กน้อย หรือจะกล้าลองพิจารณาแบบจริงจังหรือเปล่าแค่นั้นเอง


เพราะตลาดหุ้นช่วงนี้ เหมาะกับการค้นหาคนจริง และตัวตนจริงๆ



นี่ก็ลอกเขามาให้อ่านอีก....


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:10:15:41 น.  

 
“คำพูดยอดฮิตติดหูของ Warren Buffet”
รายได้: อย่าพึ่งรายได้จากแหล่งเดียว...จงลงทุนเพื่อสร้างแหล่งรายได้ที่สอง
การใช้จ่าย: ถ้าคุณใช้เงิน ซื้อของที่ไม่มีความจำเป็น อยู่เรื่อยๆ...ในไม่ช้า คุณก็จะต้องขายของที่จำเป็นไป
การออม: อย่ารอเก็บเงินออม จากเงินที่เหลือหลังจากใช้จ่าย...จงใช้จ่าย จากเงินที่เหลือจากการออม
ความเสี่ยง: อย่าทดสอบความลึกของแม่น้ำ ด้วยขาทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน (ถ้าน้ำลึก...จมแน่)
การลงทุน: อย่าทุ่มลงทุนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว (อย่าตั้งความหวังไว้กับสิ่งเดียว)
ความคาดหวัง: ความซื่อสัตย์เป็นของขวัญที่มีคุณค่า...อย่าได้หวังความซื่อสัตย์จากคนไร้ค่า

เอาไปอีกหน่อย...


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:10:46:34 น.  

 

คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch (**แนะนำให้อ่านครับ)





ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ผู้มีอายุน้อยได้เปรียบผู้มีอายุมาก พ่อแม่อาจจะไม่ได้รู้เรื่องหุ้นไปมากกว่าคุณ แน่นอนพวกท่านมีเงินลงทุนมากกว่า แต่คุณมีสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ เวลา ยิ่งคุณเริ่มลงทุนเร็วเท่าใดก็จะยิ่งดีเท่านั้น ความจริงแล้วในระยะยาวเงินเล็กๆน้อยๆที่ลงทุนเร็ว จะเติบโตเร็วกว่าเงินก้อนโต ที่ลงทุนช้า

ในอดีตที่ผ่านมาผลตอบแทนโดยรวมจากหุ้นอยู่ที่ 10% เพื่อที่จะได้ 10% นี้คุณจะต้องสัญญากับหุ้นว่าคุณจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ ไม่ว่ายามทุกข์หรือสุข เหมือนกับการ"แต่งงาน" ระหว่างเงินและการลงทุน ถ้าคุณเป็นคนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ คุณจะกลายเป็นเพียงนักลงทุนที่พอใช้เท่านั้น หากคุณมีความอดทนและความกล้าพอที่จะถือหุ้นนานพอ ความฉลาดไม่ได้ตัดสินว่าเก่งหรือไม่เก่ง สิ่งที่จะตัดสินคือ "วินัย" มากกว่า

การยืนสาบานหน้ากระจกว่าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องที่ง่าย ในประสบการณ์ของผม ถ้าคุณถามคนกลุ่มหนึ่งว่าเป็นนักลงทุนระยะยาวไหม เกือบ100%จะเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่บททดสอบว่ายาวจริงหรือไม่นั้นต้องรอตอนที่หุ้นตก

คนที่ยังคิดว่าการปรับฐานหรือหุ้นตกเป็นเรื่องอันตราย แต่มันจะอันตรายก็ต่อเมื่อคุณขายหุ้นเท่านั้น พวกเขาลืมไปอีกอย่างว่า การที่ไม่มีหุ้นในวันที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งกว่า

ในระหว่างช่วง 5 ปีในทศวรรษ 1980 ที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 27% จะมีเพียง 40 วัน ใน 1276 วันเท่านั้นที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างน่าแปลกใจถึง 22% ถ้าคุณพลาดการลงทุนใน 40 วันนั้น ผลตอบแทนของคุณจะเหลือเพียง 4.3% เท่านั้น ซึ่งผลตอบแทนก็ไม่ต่างจากการซื้อพันธบัตร หรือเงินฝากมากนัก แถมความเสี่ยงก็น้อยกว่าการถือหุ้นอีกด้วย

เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนสูงสุดจากหุ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอายุยังน้อย และเวลาอยู่ข้างคุณ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือนำ "เงินเย็น" ของคุณมาลงทุนแล้วทิ้งไว้เลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณอาจจะบาดเจ็บในช่วงที่หุ้นตก แต่ถ้าคุณไม่ขาย คุณจะไม่ได้ขาดทุนจริงๆ การลงทุนอย่างจริงจังจะทำให้คุณได้ผลตอบแทนเต็มที่ในช่วงเวลาน่าอัศจรรย์ที่หุ้นพากันถีบตัว อย่างไรก็ตามหุ้นที่คุณถืออยู่ คุณจะต้องรู้ดีและสามารถหาเหตุผล 2-3 ประการในการถือหุ้นได้


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:10:54:37 น.  

 
ทำไมถึงเลือกลงทุนแบบวีไอ?
ช่วงนี้มีคนถามผมเยอะว่า ทำไมถึงเลือกลงทุนแบบวีไอ
เลยขอนำบางส่วนจาก "หนังสือ ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ" บทที่ 1มาเล่าให้ฟัง


ผมลงทุนครั้งแรกเมื่อ 12 ปีที่แล้วแบบไม่มีแนวทางการลงทุนใดๆให้ยึดเกาะ
เป้าหมายคือซื้อๆขายๆเพื่อทำกำไรระยะสั้น


ผลคือติดลบ 38% ทันทีในปีแรก และรู้ตัวเองแต่นั้นว่า แนวทางการลงทุนแบบเข้าว่อง ออกไว
ใจร้อน ไม่ใช่ตัวผมเลย แม้จะรู้ว่ามีนักเทคนิคเก่งๆที่ทำเงินเป็นรอบได้
แต่นั่นไม่ตรงกับจังหวะชีวิตผมครับ โดยส่วนตัวไม่ได้ต้องการเอาชีวิตพึ่งพาตลาดหรือเลี้ยงชีพด้วย
การ"เล่นสั้น"แบบนั้น การลงทุนที่วิเคราะห์ยึดโยงกับธุรกิจจริงและลงทุนเสมือนเข้าหุ้นกับเจ้าของกิจการ
โดยที่ไม่ต้อง "จ้อง จอ หุ้น" จึงเป็นวิธีที่ผมเสาะหา


ต่อมาค้นพบวิธี Fundamental VI หรือลงทุนตาม “ปัจจัยพื้นฐาน” แบบ “เน้นคุณค่า”
ด้วยอยากรู้ว่า ทำไมนักลงทุนเอกของโลกที่สร้างผลตอบแทนอย่างมหัศจรรย์
อย่าง Warren Buffet, ปีเตอร์ ลินช์, ฟิลิป ฟิชเชอร์ หรือแม้กระทั่งนักลงทุนต้นแบบวีไอไทย
อ.ดร.นิเวศน์ ก็ล้วนเป็นแนว Fundamental แบบเน้นคุณค่า


ตั้งแต่นั้นความคิดเปลี่ยนครับ สงบ สุขุม ในการลงทุนอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยเป้าหมายสร้างเครื่องจักรผลิตเงินสดในระยะยาว
เหมือนกับคนสมัยก่อนที่สร้างความมั่งคั่งด้วยการสะสมที่ดิน หรืออสังหาฯ
สะสมทั้งชึวิตโดยไม่ได้ซื้อๆขายๆบ่อยๆ เราสามารถนำหลักการนี้มาใช้กับหุ้นชั้นดีได้เช่นกัน


และที่สำคัญ ทุกคนทำได้ "มั่งคั่ง ยั่งยืน รวยด้วยวีไอ" ครับ

เอาไปอีก......


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:11:24:36 น.  

 
ดร.โกร่ง มองดัชนีตลาดทุน "ไม่ประมาทไว้ก่อนจะดีกว่า"



เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมศกนี้ ท่านผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯได้แสดงวิสัยทัศน์ว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขณะนี้มูลค่าหุ้นทั้งหมด กล่าวคือราคาหุ้นที่ซื้อขายในตลาดและหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือไว้ หรือ "Market Capitalization" เพื่อรักษาเสียงข้างมากในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่า ๆ กับมาเลเซีย และอยากจะให้เพิ่มขึ้นไปถึง 700 ล้านเหรียญใน 3 ปีข้างหน้า อยากจะให้แซงหรือมีมูลค่าใกล้เคียงกับสิงคโปร์และไต้หวัน ซึ่งขณะนี้มีมูลค่าหุ้นทั้งหมดสำหรับบริษัทจดทะเบียนประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะว่าปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นไทยแต่ละวันมีมูลค่าสูงกว่าตลาดอื่น ๆ ในอาเซียน กล่าวคือประมาณวันละ 6-7 หมื่นล้านบาท สูงกว่าสิงคโปร์ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์

ฟังดูแล้วก็เป็นข่าวที่น่ายินดี แต่ก็อดกังวลใจแทนคนไทยไม่ได้ เพราะเป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า การที่ปริมาณการซื้อขายก็ดี การที่ดัชนีราคาหุ้นของเราโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นมาโดยตลอดเป็นเวลากว่าปีครึ่งแล้ว กล่าวคือตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2554 ดัชนีเพิ่มสูงขึ้นมากจากประมาณ 1,000 จุด ขึ้นไปแตะสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,640 จุดในเดือนพฤษภาคม 2556

บรรยากาศตอนนี้อาจจะคล้าย ๆ กับสมัยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว คือเมื่อต้นปี 2534 ที่ดัชนีราคาหุ้นทะยานสูงขึ้นไปถึง 1,700 กว่าจุด แล้วหลังจากนั้นดัชนีหุ้นก็ลดลงอย่างรวดเร็วจนเกิดวิกฤตการณ์ "ต้มยำกุ้ง" อันโด่งดังในกลางปี 2540 และโรคต้มยำกุ้งก็กลายเป็นโรคระบาดไปทั่วทวีปเอเชีย แล้วข้ามไปถึงรัสเซียและสหรัฐอเมริกา ยังความเสียหายให้กับคนไทยและผู้คนที่เกี่ยวข้องในประเทศอื่น ๆ อย่างมหาศาล

สาเหตุที่ปริมาณการซื้อขายของดัชนีตลาดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯของเราในสมัยนั้นพุ่งสูงขึ้น ก็เพราะเงินทุนมหาศาลจากต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทย ประกอบกับเราใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ตรึงไว้กับตะกร้าเงินตราสกุลหลัก 2-3 สกุล แต่เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีน้ำหนักมากที่สุดประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยก็สูงกว่าต่างประเทศเป็นอันมาก

ฝรั่งต่างชาติก็ยกย่องว่าประเทศไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ต่อจากฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของนักลงทุน ดอกเบี้ยก็สูง ค่าเงินก็คงที่ ใครไม่กู้เงินดอลลาร์เข้ามาใช้ก็ถือว่าไม่ฉลาด

ธนาคาร บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ รวมทั้งห้างร้านต่าง ๆ ก็พากันกู้เงินดอลลาร์เข้ามาใช้ กินกำไรจากผลต่างของอัตราดอกเบี้ย ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ราคาก็พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน จนเศรษฐกิจกลายเป็น "ฟองสบู่" อย่างไม่รู้ตัว

ความจริงถ้าสังเกตสักหน่อย มูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนเริ่มสูงกว่ารายได้ประชาชาติหรือมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ คิดในราคาตลาด หรือ Nominal GDP มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2536 มาเรื่อย ๆ จนถึงเดือนธันวาคม 2538 คือประมาณ 4 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 105 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ ซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท

ขณะที่ดัชนีราคาหุ้นต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ Price-Earning Ratio หรือ P/E สูงถึง 27-28 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชีในปี 2536-2537 ควรจะเป็นเพียง 4-5 เท่าเท่านั้น

ในขณะนี้ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัทอาจจะยังไม่สูงเท่ากับสถานการณ์เมื่อปี 2536 กล่าวคือขณะนี้มีเพียงประมาณ 2.5 เท่า ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่ายังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน

เหตุการณ์ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ก็มีส่วนคล้ายกับกรณีเหตุการณ์ก่อนปี 2537 กล่าวคือมีเงินทุนที่ไหลเข้ามาในประเทศจากผลของนโยบายการเงินของสหรัฐ อังกฤษ ยุโรป และญี่ปุ่น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยของเราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ เงินต่างประเทศจึงไหลเข้ามาในประเทศเพื่อซื้อหุ้นและตราสารหนี้ราคาหุ้นจึงดิ่งลงอย่างรวดเร็วจนจุดต่ำสุดหลังเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งใน

ปี 2540 แล้วค่อยฟื้นตัวตื่นหลังจากปี 2546 เป็นต้นมา จนถึงเมื่อมีวิกฤตการณ์หนี้ด้อยคุณภาพเกิดขึ้นในปี 2550 และค่อยทะยานขึ้นในปี 2552 เป็นต้นมา จนบัดนี้เป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว

มาในขณะนี้ เมื่อดัชนีราคาหุ้นได้พุ่งสูงขึ้นถึง 1,640 จุด มูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนเมื่อเทียบกับบริษัทผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือรายได้ประชาชาติจะมีสัดส่วนถึงกว่า 120 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นจึงดำดิ่งลงมาถึง 1,480 จุด แม้ว่าสัดส่วนของราคาหุ้นต่อผลประกอบการจะอยู่ในระดับประมาณ 20 เท่า ราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีไม่ถึง 3 เท่า อาจจะยังถือว่าอยู่ในช่วงปกติก็ตามข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็คงต้องคาดการณ์ให้ได้ เงินทุนยังจะไหลเข้ามาในตลาดทุนของเรา เพื่อซื้อพันธบัตรและหุ้นในตลาดทุนของเรามากน้อยเพียงใด ผลประกอบการของบริษัทในตลาดเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ธนาคารพาณิชย์ อัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนของเรา เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักของโลกว่าจะยังสามารถแข็งค่าต่อไป และที่สำคัญคืออัตราการขยายตัวของการส่งออก และผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือรายได้ประชาชาติจะมีแนวโน้มสูงขึ้นหรือต่ำลง

เมื่อมองไปข้างหน้า อัตราการขยายตัวของการส่งออก อัตราการขยายตัวของจีดีพีที่จะเป็นฐานรองรับผลประกอบการของบริษัทห้างร้านเอกชน อัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มลดลงหรืออย่างน้อยก็ไม่เพิ่มขึ้น ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนถ้าแข็งขึ้นอีกก็จะเป็นการซ้ำเติมผู้ส่งออก ตลาดของเรามีแนวโน้มอ่อนตัวอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย หรือแม้แต่อเมริกาและญี่ปุ่น แต่ถ้าอ่อนลงกำไรจากการแข็งขึ้นของค่าเงินบาท สำหรับผู้ลงทุนที่จะนำเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรก็จะน้อยลง การเกินดุลการค้าและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดก็น่าจะน้อยลง

ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่เป็นพื้นฐานดังกล่าว ผู้จัดการกองทุนต่าง ๆ ที่นำเงินเข้าออกเพื่อเก็งกำไรก็ต้องรู้ แต่พวกเรารายย่อยอาจจะไม่รู้หรือไม่ได้คาดการณ์ หรือไม่ก็ถูกกิเลสครอบงำ จึงต้องระมัดระวัง อย่าได้ประมาท

ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีการพูดกันมากว่า วิธีอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบอย่างที่อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นทำอยู่ไม่น่าจะได้ผลในระยะยาว เพราะไม่ทำให้ประเทศต่าง ๆ นั้นมีความสามารถแข่งขันได้สูงขึ้น เมื่อความสามารถในการแข่งขันไม่ได้สูงขึ้น ความสามารถในการผลิตหรือประสิทธิผลของแรงงาน หรือ Productivity ก็ไม่น่าจะสูงขึ้น การฟื้นตัวจากฟองสบู่ก็ไม่น่าจะยั่งยืน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเหล่านั้นคงจะเป็นฟองสบู่แล้วก็ได้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำในอเมริกาและญี่ปุ่นจะออกมาบอกว่ายังไม่เห็นฟองสบู่ก็ตาม

คงต้องระมัดระวัง ไม่ประมาทไว้ก่อนจะดีกว่า



คอลัมน์ คนเดินตรอก โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:11:48:04 น.  

 
ขอบคุณมากครับ


โดย: phajongs วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:12:07:47 น.  

 
คิดยังไงกับมุมมองคุณสนธิเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยครับ
กระทู้คำถาม
หุ้น
พอดีอ่านแล้วแอบคิดว่าน่าสนใจ ... อยากให้ลองอ่านกันดูครับ
**งดการเมืองนะครับ ... เครดิตรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิครับ

จินดารัตน์ - กลับมาอีกช่วงหนึ่ง รายการคุยทุกเรื่องกับสนธินะคะ เราจะเริ่มจากที่มันร้อนๆกันอยู่ตอนนี้ เห็นบอกว่าแมงเม่านี่ถูกเผาผลาญซะจนวอดวายหมดแล้ว ตลาดหุ้นนี่กู่ไม่กลับเลยนะคะคุณสนธิ ทองคำก็ไปอีก

สนธิ - แอนจำได้หรือเปล่าที่ผมเคยบอกว่าหุ้นปลายๆมันจะลงแรง นี่ยังไม่ถึงปลายปีเลย มันลงแรงและมันลงจริง เมื่อวานซืนมีคนที่เคยรู้จักกันเป็นคนซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องต่างประเทศมีเงินเล็กๆน้อยๆกับเขาก็ไปเล่นหุ้น โทรมาถามผมเรื่อย พี่หุ้นตอนนี้ซื้อดีไม่ดี ถามจนผมรำคาญ ผมบอกว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ตลาดหุ้นมันก็คือบ่อนการพนันนี่เอง ถ้าคุณจะเล่น คุณอย่ามาถามผมว่าตัวไหนดีหรือไม่ดี เพราะว่ามันมีขึ้นมีลง และคุณก็ฟังข่าวลือมาพอหุ้นตกคุณขาดทุนก็จะบอวก่า ผมดูทางเทคนิคแล้วแนวต้านมันไม่ควรจะต่ำกว่านี้นะ ผมก็เลยบอกว่า ไอ้เทคนิคนี้ใครสอนคุณ บอกอาจารย์ แล้วคุณรู้ไหมอาจารย์เอามาจากไหน ฝรั่งมันสอนมาอีกที ฉะนั้นฝรั่งมันหลอกเรามาตลอดทุกเรื่อง จู่ๆ 2 วันที่แล้วนายคนนี้โทรมา พี่ครับ เมื่อคืนนี้ผมไม่ได้ดูข่าวเมืองนอก เบอร์นานกี ประธานเฟด แบงก์ชาติของอเมริกา มันยังให้มี QE ต่อหรือเปล่า ภาษาอังกฤษเขาเรียก Quantitative Easing คือการปล่อยเงินออกมาให้ท่วมตลาด บอก ไม่รู้มันจะยกเลิกหรือเปล่า พี่ดูเปล่า ผมก็ถามว่า นี่นะ ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ได้สักคำ ไอ้ สนใจคำว่า QE ใช่ไหม ผมก็บอกว่ารู้ไปทำไม ผมก็นึกได้ในใจนะว่ามันอจินไตย บอกผมว่าต้องการรู้ครับ เผื่อสมมุติว่าถ้ามันยังมี QE แสดงว่าหุ้นจะขึ้นต่อ แล้วฟังมาจากใคร บอกเขาพูดกันในตลาด เมื่อวานนี้ ผมก็เลยเสียเวลาเลคเชอร์มันนานพอสมควร เพื่อเห็นแก่มนุษย์ร่วมโลกและก็เห็นนแก่คนไทยคนหนึ่ง ผมบอกคุณเข้าใจคำว่า QE ไหม บอกไม่เข้าใจอ่ะ ไม่เข้าใจนะแต่ว่าถามว่า นี่คือคนไทย ผมบอกว่ QE มันเป็นมาตรการพิเศษที่ไม่มีอยู่ในตำราเศรษฐศาสตร์และตำราการเงิน QE มันเกิดขึ้นได้ยังไง คือ นโยบายธนาคารกลางของทุกประเทศเขาจะใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวกำหนดนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยสูงก็จะทำให้การจับจ่ายใช้สอยชะลอตัวลง ดอกเบี้ยต่ำธนาคารก็จะปล่อยกู้มากขึ้น ก็จะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ว่าดอกเบี้ยต่ำจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ เงินเฟ้อสำหรับท่านผู้ชมที่ไม่เข้าใจก็คือของชิ้นหนึ่งราคาบาทหนึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้ได้ของราคาบาทหนึ่งบาทแต่คุณภาพบาทหนึ่งสมัยก่อนแต่ราคาต้อง 2 บาท มูลค่าเงินมันน้อยลง เหมือนก๋วยเตี๋ยวจานหนึ่งแต่ก่อน 10-5 บาท แต่เดี๋ยวนี้ต้อง 40 บาท ผมก็บอกว่าฝรั่งเนี่ย พอเศรษฐกิจมันเริ่มล้มสลายมันก็เริ่มลดดอกเบี้ยมันเรื่อยๆ จนกระทั่งดอกเบี้ยของเฟด เฟดคือดอกเบี้ยธนาคารกลางอเมริกามันเหลือ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 0.25 เปอร์เซ็นต์ มันติดเพดานข้างล่างแล้ว ติดพื้นแล้ว นโยบายดอกเบี้ยมันไม่มีลบ 1 เปอร์เซ็นต์ คือ ถ้าใครเอาเงินฝากแล้วโดยหักไม่มี มีแต่ 0 ขนาดถึง 0 แล้วมันยังไม่มีการจับจ่ายใช้สอย ธนาคารกลางอเมริกามันก็คิด QE ขึ้นมา QE คือ มันก็จะเริ่มเอาธนาคารของมันหรือว่าแบงก์ชาติของมันมาซื้อสินทรัพย์ของแบงก์ออก อย่างเช่น ซื้อพันธบัตรกลับเข้าไปในแบงก์ชาติ ซื้อตราสารหนี้กลับเข้าไปในแบงก์ชาติ ซื้อสัญญาในการเช่าซื้อบ้านกลับไปในแบงก์ชาติ ทีนี้มันซื้อมันเอาเงินที่ไหนมาซื้อ อเมริกามันพิมพ์แบงก์เอง เพราะฉะนั้นแล้ว วิธีการคือว่า ไอ้ธนาคารกลางมันใช้คอมพิวเตอร์กดเปลี่ยนเพิ่มเครดิตตัวมันเองทันทีเลย เพิ่มวงเงินของมันขึ้นเป็นล้านล้านเหรียญ 2 ล้านล้านเหรียญ มันอยู่ในคอมพิวเตอร์ มันจะเพิ่มเท่าไหร่ คือมันสามารถทำกันได้ และมันเอาเงินก้อนนี้ ซึ่งมันได้เครดิตเพิ่มเติมที่มันทำของมันเอง เอาไปซื้อตราสารหนี้เข้ามา ทีนี้พอมันซื้อตราสารหนี้ปั๊บ สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นคือว่า ดอกเบี้ยหนี้มันลดลง หมายความว่าพันธบัตรอันใหม่ที่ธนาคารจะออกมา หลังจากอันเก่ามันหมดอายุแล้ว และถูกซื้อไปแล้ว แทนที่มันจะต้องเสียค่าดอกเบี้ย 3 เปอร์เซ็นต์ มันจะเสียแค่ 1 เปอร์เซ็นต์มันถูกลง เท่ากับลดต้นทุนแบงก์ลงมา ทำให้แบงก์มีกำไรมากขึ้น ในขณะเดียวกันมันซื้อตราสาร อสังหาริมทรัพย์เข้ามา เดี๋ยวนี้พวกแบงก์ต่างๆ มันเริ่มซื้อบ้านกันแล้ว มันซื้อบ้านเข้าในพอร์ตมัน แล้วขายพอร์ตทั้งพอร์ตให้กับธนาคารกลาง เข้าใจยัง

มันทำให้ราคาบ้านเริ่มสูงขึ้น แปลว่ามีเงินเข้ามาในท้องตลาดมากขึ้น มหาศาลเลย ทีนี้พอเงินเข้าในท้องตลาดมหาศาล มันเอาเงินไปทำอะไร มันเอาเงินไปซื้อทรัพย์สินโดยผ่านตลาดหุ้น นั่นคือที่มาของคิวอี ตลาดหุ้นมันเข้ามายังไง ที่อเมริกาตลาดหุ้นมันเริ่มอิ่มตัว มันมาประเทศที่ฉลาดในเรื่องความโง่ๆ อย่างเช่น ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศที่เขาเรียกว่า Imagine Market เข้ามาหมดเลย เพราะฉะนั้นเงินที่มันได้มาถูกๆ ดอกเบี้ยแทบจะไม่ต้องเสียเลย ก็เข้ามาเมืองไทย นี่คือเหตุผลว่าทำไมเงินบาทแข็งเอา แข็งเอา เข้าใจยังตอนนี้ พอแข็งขึ้นมาตอนนั้น ฯพณฯ โต้ง กิตติรัตน์ ก็บอกว่า เงินบาทแข็งจังเลย บาทดอลลาร์ เงินบาทตั้ง 28 บาท คนส่งออกส่งไม่ได้ต้องลดดอกเบี้ย และปรากฏว่า ผู้ว่าฯ ประสารก็ไม่ยอมลด เพราะว่าเขาดูออกว่า นี่คือเงินคิวอีมันไหลเข้ามา มันลดดอกเบี้ยก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีทาง แบงก์ไม่ได้ปล่อยกู้อะไรมากกว่าเก่า ลดดอกเบี้ยไม่ได้ เขาเลยอยู่เฉยๆ และมาวันนี้ เงินบาทดอลลาร์กลายเป็น 31 บาทไปและ จาก 28 เป็น 31 บาท ต่างกัน 3 บาทเห็นเปล่า ภายในเวลาไม่กี่เดือน อ่อน แข็งปั๋ง กลายเป็นอ่อนยวบไปและตอนนี้

สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือว่า ฝรั่งมันเข้ามาในอัตราเงินบาท ดอลลาร์ละ 28 มันซื้อหุ้น มันกำไรจากหุ้นแล้วใช่ไหม หนึ่งเด้งนะ มันส่งเงินออก กำไรอีกหนึ่งเด้ง สองเด้ง เพราะฉะนั้นฝรั่งกำไรสองเด้ง เงินพวกฝรั่งได้มาคือเงินคิวอี ตอนนี้ตลาดหุ้นที่มันตกเพราะว่า มันตกกันทั่วโลก เหตุผลเพราะว่า ฝรั่งมันมองว่า เบอร์นานกีมันบอกว่า คิวอีที่มันจะมีอยู่มันอาจจะพิจารณาตอนสิ้นปีนี้ ขอดูอีกทีนึง ถ้าสถานการณ์เศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น มันอาจจะปรับคิวอี แปลว่าอะไร แปลว่ามันกำลังบอกว่า ถ้าคิวอีดีกูจะเลิกคิวอี เท่านั้นเองตลาดหุ้นตกกระจายหมดเลย ร่วงหมดทั่วโลก พอร่วงหมดทั่วโลกเมืองไทยก็ร่วงตาม พอร่วงตามแล้วฝรั่งมันขายทำกำไรทันที ไอ้โบรกเกอร์เมืองไทยชอบพูด พูดว่าอย่างไรรู้ไหม บอกว่าที่หุ้นร่วงเพราะว่าฝรั่งส่งเงินกลับ ฝรั่งมันไม่ได้ส่งเงินกลับหรอก ฝรั่งมันขายทำกำไร คุณต้องเข้าใจก่อน ฝรั่งมันขายทิ้งเพื่อกำไร เพราะมันถึงเวลาต้องทำกำไรแล้ว เพราะว่าเมืองไทยคนโง่มันเยอะเข้าไปเล่นกับมัน และเหมือนกับอีเพื่อน อีน้องมันโทรมาหาผม ผมถามว่า รู้เรื่องคิวอี หรือไม่คิวอี และเศษเงินนี่นะ พวกอีนังแมลงเม่าทั้งหลาย รวมกับไอ้พวก ไปสู้กับไอ้พวกเงินก้อนถุงก้อนถังมันได้อย่างไร ก็คือคนโง่ที่ไปรองรับหลักจิตวิทยาของการปั่นหุ้นของพวกมัน

จินดารัตน์ - เป็นเหยื่อ

สนธิ - เป็นเหยื่อ ยังไม่รู้สึกอีกหรอ คือโลกนี้ไอ้กันคือเจ้ามือบ่อน ดอลลาร์คือชิปที่มันให้แลกไป และวันดีคืนดีมันบอกว่า เดี๋ยวอีกหน่อยกูจะเรียกชิปคืนนะ กูพอใจที่จะกำไร กูก็ปล่อยชิปออก และก็มีคนเล่นของกู กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง หักลบหนี้แล้วกำไร ประเทศที่ร่ำรวยขึ้นมาจากการทำเช่นนี้คือ อเมริกา ทำให้ไอ้นักลงทุนอเมริกา แบงก์อเมริกาพวกวาณิชธนกิจอเมริกา มันรวยจากหุ้นทั่วโลกเลย และมันเอาเงินจากไหนไปละ มันก็หอบกลับประเทศมันไง ทำให้มูลค่าทรัพย์สินมันเพิ่มขึ้นเห็นไหม เพราะฉะนั้นแล้วเวลามันจนขึ้นมามันก็ออกมาตรการคิวอีออกมา เพื่อให้พวกมันเอาเงินถูกๆ ออกไปเล่นข้างนอก ไอ้ข้างนอกไม่รู้ก็เห็นเงินมา เงินนอกมา ดีอย่างโน้นอย่างนี้ อสังหาริมทรัพย์ก็ขึ้น อีกหน่อยอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้ใครจะซื้้อคอนโดจะซื้ออะไรอย่าเพิ่งซื้อ มันจะตกไปอีก ราคาบ้าน ราคาคอนโด ราคาที่ดินจะตกไปอีกเยอะ ผมบอกแล้วบอกว่า วิธีการที่ดีที่สุดตลาดหุ้นของพวกเราอย่าไปเล่นมัน ถามไอ้พวกที่โง่ๆที่เสียเงินเสียทอง คือมีอยู่พักหนึ่งเทพ เล่นหุ้นกำไรทุกคน บางคนถึงกับเลิก ลาออกจากงานมาเล่นหุ้น บางคน เดี๋ยวนี้นักศึกษาเล่นกันแล้วนะ คนที่ไปเรียนคอร์สเอ็มบีเอ อาจารย์สอนวิธีเล่นหุ้น สอนวิธีบอกว่าแนวต้านมันเท่านี้นะ เมื่อเช้าผมเพิ่งฟังเขาบอกว่าแนวต้านไม่ต่ำกว่า 1,450 จุด ไม่มีวันตกกว่า 1,450 จุด วันนี้ตลาดปิดที่ 1,400 เห็นหรือยัง ไอ้ทฤษฎีฝรั่งมันคิดเพื่อที่จะมาหลอกเรา แล้วมันยึดตามทฤษฎีมันหรือเปล่าล่ะ ไม่มี อะไรถ้ามันขายทำกำไรได้มันขายทำกำไร แล้วฝรั่งเงินมันเยอะ มันเล่นเป็นระบบ หุ้นมันตกติดกัน 3 วัน มันตัดใจภาษาอังกฤษเรียกว่า Cut Loss ขายทิ้งเลย ขาดทุน ไอ้สันดานคนไทย เดี๋ยวขึ้นอีก พี่เมื่อวานร่วงอีก 30 จุด ไม่เป็นไรมันขึ้นแน่ๆ นี่คือคนไทยจริงๆ เพราะฉะนั้นคนไทยจะถูกฝรั่งมันหลอกแล้วหลอกเล่า หลอกอีกตลอดเวลา พอฝรั่งมันเห็นเริ่มตกมากอีก ถึงเวลามันเข้ามาซื้อ พอมันเข้ามาซื้อไอ้คนที่ถือหุ้นอยู่ไอ้คนไทยบอกว่าหุ้นขึ้นแล้ว สมมติว่าราคาหุ้นคุณซื้อที่ 200 บาท แล้วมันตกลงมาอยู่กระทั่งถึง 80 คุณก็ยังถืออยู่หวังจะขึ้น มันก็ขึ้นจริงแต่มันจะขึ้นแค่ 120 คุณก็เห็น ไปซื้อ คนไทยชอบคำว่าเฉลี่ยราคา โง่ทั้งขึ้นทั้งล่องตลอดเวลา ของตัวเองราคา 200 แล้วตกมาที่ 80 แล้วพอมันขึ้น 120 ตัวเองก็ไปซื้อบ้าง พอขึ้น 120 ฝรั่งซื้อตอน 80 ก็เทขายอีกที โง่ซ้ำโง่ซาก เมื่อเช้าผมยกตัวอย่างให้ฟังค่อนข้างจะไม่ค่อยสุภาพ แต่ผมจะต้องขออนุญาตท่านผู้ชม และเก๋กับแอน อย่าไปนึกว่าเป็นคำไม่สุภาพ คนเล่นหุ้นเมืองไทยเหมือนกะหรี่ ฝรั่งเหมือนแมงดา เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นแล้วกะหรี่ก็คือไปทำมาหากินขายได้เงินเท่าไหร่มาส่งเงินแมงดาหมด นี่ไงคือลักษณะตลาดหุ้นเมืองไทยกับฝรั่งอย่างงั้นจริงๆ พอมันเทขายก็ถีบหัวส่งแล้ว มันก็ไปกลับมาอีก น้องๆพี่ขอโทษนะ เรามาเริ่มกันใหม่ อย่างนี้ตลอดเวลา เชื่อสิ ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

เอาไปอ่านอีก....


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:12:40:12 น.  

 
จินดารัตน์ - ขออนุญาตนะคะ จากเป็นกะหรี่ตอนนี้เป็นชาวดอยกันหมดแล้ว ลงไม่ได้

สนธิ - ที่ผมพูดถูกไหมล่ะ ผมเคยถามคนเล่นหุ้น ผมบอกผมถามจริงๆ มีเงินเหลืออยู่นี่ เก็บไว้กับตัวเป็นไรเปล่าวะ มันจะตายหรือไงวะ

จินดารัตน์ - เงินไม่ได้ฝังดินเหมือนบ้านบางบอนนะ

กมลพร - คุณแม่เก๋เป็นนะ แม่ไม่เล่น แม่บอกว่าพวกนี้มันเหมือนเงินกระดาษ เงินกงเต๊ก และสมมติถ้าผู้ชายคนไหนมาขอ แม่จะใช้คำนี้ และเอาไอ้ใบหุ้นมา ถีบหัวมันส่งซะ มันเหมือนเงินกงเต๊ก มันต้องเงินจริงๆ

จินดารัตน์ - มันเหมือนการพนัน

สนธิ - เหมือนคนเล่นทอง มีอยู่พักหนึ่งผมเป็นคนแนะนำให้ซื้อทองตั้งแต่ต้นแล้ว บอกทองจะขึ้นและก็ขึ้นจริง และก็ขึ้นไปเยอะเลย แล้วมันก็ลง แล้วก็ขึ้นนิดหน่อย แล้วก็ลง 3-4 วันนี้ลงวันละ 4 ครั้ง 5 ครั้ง ฟังก่อนๆ คุณสนธิ ทำไมทองมันลงอย่างนี้ ควรจะซื้อไหม ผมบอก เจ๊ คุณสนธิบอกมันจะขึ้นไง ผมบอกมันจะขึ้นแล้วมันขึ้นหรือเปล่าเจ๊ แล้วเจ๊ขายไหม ไม่ได้ขาย อั๊วจะรอให้มันขึ้นเรื่อยๆแล้วอั๊วค่อยขาย บอกเจ๊ รู้จักระงับความโลภเอาไว้บ้าง กำไรแค่นี้ กำไร 500 บาท พอแล้ว บาทหนึ่งกำไรสัก 500 โอเค 2 % 3 % ขายทิ้ง แล้วเจ๊ทำไง อั๊วไม่ขายแต่พอทองมันตก อั๊วก็ตัดสินใจอั๊วซื้อมาแพง เห็นมันถูกเลยซื้อต่อเพื่อเฉลี่ย เหมือนกันเป๊ะเลยให้ตาย แล้วพวกนี้คือเล่นทองกระดาษ ส่วนไอ้พวกที่ไปเยาวราชแล้วซื้อทองแท่งเนี้ย ไม่เป็นไร มันมีของอยู่ในมือ

กมลพร - ส่วนใหญ่ที่เจ๊งก็ตรงกระดาษนี่แหล่ะ

สนธิ - ทองกระดาษทั้งนั้น ทองแท่งพอมันตัดสินใจซื้อแล้วทองลงมันก็ยังเก็บเอาไว้ มันมีของเก็บไว้นานเลย เพราะเวลาทองซื้อทองแท่งมันใช้เงินสดซื้อ ทองกระดาษมันใช้ Margin ซื้อ อ๊วกกันเป็นแถวอย่างวันนี้ โดนกันเป็นแถวเลย โง่กัน ไม่รู้คนแถวนี้โดนหรือเปล่า เราก็ขี้เกียจจะพูด ทุกคนโดนแบบนี้หมด แล้วไม่จำ เหมือนกะหรี่ที่โดนแมงดา แมงดาตบตีถีบ แล้วเอาเงินไปส่งมันตลอดเวลานะ ก็ยังรักมันอยู่ รู้นะไม่ใช่ไม่รู้ แล้วแต่ละคนนะหูผึ่งเลยถ้ามีข่าวลืออะไรมา อุ้ย หุ้นตัวนี้ขึ้น ขึ้นแน่นอน เชื่อผมๆ เอางี้ ผมเคยสอนไป จำอะไรไว้อย่างหนึ่ง ข่าวลือว่าหุ้นตัวไหนขึ้นถ้ามันเข้าถึงหูระดับคุณได้แสดงว่าเขาเตรียมกระทืบคุณแล้ว เข้าใจเปล่า เพราะว่าข่าวหุ้นมันจะขึ้น เขาจะไล่หุ้นนี้ขึ้นเขาจะรู้กัน 2-3 คน แล้วเขาเตรียมพร้อมจะซื้อ รีบซื้อพอซื้อถึงระดับหนึ่งแล้วเขาค่อยปล่อยข่าวว่าหุ้นนี้จะขึ้น แล้วเขาก็ไล่อีกสักพักหนึ่งให้เห็นว่า ข่าวที่ปล่อยออกมันจริงหุ้น แต่เขาซื้อมาตรงนี้แล้ว ซื้อไว้เยอะเลยนะ พอซื้อจบปั้บเขาก็ค่อยๆปล่อยข่าว หุ้นที่มาอยู่ตรงนี้ก็ค่อยๆขึ้น แล้วก็เอาตรงนี้มาเทขายทีละนิดออกไปเรื่อยๆ อีที่อยู่บนดอยก็รับอยู่บนดอย เพราะว่าไปเชื่อข่าวลือ ผมนี่วันนี้ยังไม่เห็นเลยว่าตลาดหุ้นเมืองไทยมันมีส่วนช่วยในการลงทุนอย่างไร เพราะมันคือตลาดการพนัน มันซื้อวันนี้ขายพรุ่งนี้ แต่ก่อน พอระยะเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง มันซื้อชั่วโมงนี้ขายตอน 4 ชั่วโมงข้างหน้า ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง มันซื้อนาทีนี้อีก 10 นาทีขาย เดี๋ยวนี้มันซื้อและขายนาทีต่อนาที และผมถามว่าแอนนี่

มันเป็นการลงทุนที่ไหนวะ นี่มันคือตลาดการพนัน และใครเป็นคนสร้างตลาดการพนันนี้ ฝรั่งมันสร้าง แอนไม่เห็นเหรอ ฝรั่งมันสร้างมีตลาดหุ้นในเมืองไทยให้มีในมาเลเซีย ในสิงคโปร์ ให้มีในเวียดนาม จีน และอีกหน่อยก็ต้องมีในพม่า และเขมร เพื่อรองรับ อย่างเช่นอี QE นี่ไง เห็นหรือยัง พอมันออกปั้บเข้าได้ทุกตลาดเลย ไม่ใช่ว่ามีแค่ตลาดสองตลาดที่เข้าได้ มันเข้าได้ทั่วโลกเพราะว่าใช้มาตรฐานมันหมดเลย เห็นหรือยัง และนี่คือมาตรฐานซึ่งเราหลงใหลนัก เหมือนกับมาตรฐานเออีซีไง ยังไงยังงั้นเลย โง่ได้ใจ

จินดารัตน์ - เป็นบ้าอะไรกันก็ไม่รู้ แล้วคนจำนวนไม่กี่เปอร์เซ็นต์เองนะคะที่อยู่ในตลาดหุ้นเนี้ย คนก็จะเป็นบ้าเป็นหลังเอาตลาดหุ้นมาวัดเศรษฐกิจมันไปไหนแล้ว

สนธิ - ไม่เกี่ยว นี่มันคือเศรษฐกิจคาสิโน แล้ววันนี้เงินบาทเริ่มอ่อนแล้ว คุณโต้งเงียบ แล้วไง ตอนนั้นบีบให้แบงก์ชาตินโยบายการเงินลดดอกเบี้ยไปได้นิดหนึ่ง พอลดไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น วันนี้อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ประเด็นหลักแล้ว แล้วผมก็เบื่อจังไอ้ปลัดกระทรวงการคลัง อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม พูด มันนึกว่าคนไทยโง่กันเหมือนพวก** มันบอกเงินบาทก็อ่อน มันจะทำให้ผู้ส่งออกได้กำไรมากขึ้น ก็แน่นอนสิ ไอ้เวร พูดมาทำไม ทำไมต้องพูด เข้าใจรึเปล่าแอน เป็นปลัดกระทรวงการคลัง พูดคำนี้ออกมาได้ยังไง วุฒิภาวะโคตรต่ำเลย ก็ถ้าดอลลาร์มัน 29 บาท แล้วถ้าดอลลาร์มัน 31 บาท มันไม่กำไรขึ้นได้ยังไง ไปถามแม่ค้าขายขนมกล้วยหน้าบ้านพระอาทิตย์ หน้าออฟฟิศเรา มันยังเข้าใจเลย

*ก็อปมาแค่ส่วนพูดเกี่ยวกับหุ้นครับ ส่วนตัวก็คิดอยู่เหมือนกันพวกหนังสือที่สอนหุ้น แนวต้านแนวรับต้องดูอย่างนี้ ลฯล มันเหมือนสอนเราให้เล่นอยู่ในเกมส์ของคนบางคนอยู่ตลอด ...

ต่ออีกนิด.....


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:12:41:28 น.  

 
สักวา เม่าเป็นศพ ระบบนิ่ง.....Streaming วิ่งไม่ออก พอกปัญหา

หุ้น
สักวา เม่าเป็นศพ ระบบนิ่ง Streaming วิ่งไม่ออก พอกปัญหา
ดีทั้งวัน ดันสะดุด หยุดเวลา ท้ายตลาด ไอ้ชาติม๋า บ้าจริงๆ
ตอนแรกคิด คงติดขัด ที่ router ปิดเลยเออ แล้วเปิดใหม่ ก็ไม่วิ่ง
หรือเป็นแค่ คลื่นไม่ดี มี swing หรือโน้ตบุ๊ค ถูกผีสิง ถึงนิ่งไป

ในตอนนั้น ฉันอยากขาย น้อง NOK มาก ตั้งแต่เช้า รอจ้าวลาก กระชากไหว
ท้ายตลาด ขึ้นพรวดพราด ฟาดกำไร ส่งคำสั่ง ขายไม่ไป ทำไงดี
Restart โน้ตบุ๊คใหม่ ไปสองครั้ง มันก็ยัง มีปัญหา หน้าถอดสี
โทรหามาร์ ดีกว่า เสียตังค์ฟรี เลยเร็วรี่ รีบโทรไป ให้ทันการณ์

แต่ว่ามาร์ คงมีสาย มาหลายหลาก ลูกค้ามาก คนโทรมา มหาศาล
โทรไม่ได้ โทรไม่ติด คิดอยู่นาน คงตูดบาน งานเข้าแล้ว นะแก้วตา
ยังนึกออก อีกวิธี ที่ต้องลอง โปรแกรมของ โบรค AP ก็มีหนา
มีโปรแกรม AsiaPlus พัฒนา เปิดออกมา ฮาทันใด ใช้ไม่เป็น

ตอนนั้นเหลือ เวลา ห้านาที ยังพอมี เวลาขาย กำไรเห็น
โปรแกรมใหม่ ไม่เคยใช้ ใจเย็นๆ พอเริ่มเล่น เป็นนิดๆ ปิดพอดี
สรุปว่า ข้าต้องจก NOK กลับบ้าน ต้องซมซาน งานเข้า เราก่อหนี้
ที่เราขาย ไม่ได้ ในวันนี้ จำต้องมี เงินไปจ่าย ในสามวัน

หากว่าเล่น กันเป็นล้าน ท่านคงเบลอ day trader เจอนรก ตกสวรรค์
จะหาเงิน จากที่ไหน ไปจ่ายกัน ขายไม่ได้ ภายในวัน นั้นถึงตาย
อยากถามว่า ใครจะมา รับผิดชอบ แมงเม่ากรอบ บอบช้ำนี้ มีมากหลาย
คงได้แต่ แค่สาปแช่ง ให้ mang ตาย ขอให้มัน จง ship หาย วายวอดเอย


วันก่อน พี่เหม่งเบ็น เบอร์นานเก้ พูดไม่ดีนิดเดียว หุ้นระเนระนาดทั้งโลก เม่าอย่างเราก็โดน
เมื่อวาน กลับโดนซ้ำเติมด้วยความผิดพลาดของระบบ Streaming เม่าอย่างเราก็โดนอีก
เม่าเป็นหนี้กันทั้งตลาดหุ้นไทย ใครจะรับผิดชอบ และแก้ไขอย่างไร?
เฮ้อ...ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจ แล้วหาเงินไปจ่ายที่เมื่อวานเย็นขายไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง
สงสารคนเล่นรายวันที่ซื้อทีละมากๆ แล้วเย็นขายไม่ได้ เค้าจะหาเงินที่ไหนไปจ่าย?

อันนี้ขำๆนะครับ%%%%คายเครียดครับ%+~#


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:13:06:34 น.  

 
//www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=efVz0qu9i5U#t=171s

ร่วมด้วยช่วยกันนะครับ%%%%


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:16:41:55 น.  

 
คุณนิพนธ์ สุวรรณประสิทธิ์

ให้พวกเราช่วยกันสู้กับฝรั่ง
ผมหน่ะบอกมาสองวันแล้ว
พวกเราไม่ช่วยกันแล้วใครจะมาช่วยครับ????
ลองสู้ดูครับเดี๋ยวนี้เม่าอย่างเราๆไม่เหมือนก่อนแล้ว
พลังมวลชนฝรั่งเจอจระเข้ฟาดหางสักครั้งคงกลัวเม่า
ไปอีกนาน ขอพวกเราอย่าเปิดประตูให้มันเข้าเมือง
ได้ให้ฝรั่งมันอดตายอยู่นอกประตูนั้นแหละถึงจะถอยกลับไป
ช่วยกันซื้อช่วยกันลองคนละนิดคนละหน่อยเดี๋ยวดีเองครับผม!!!!!


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:17:26:12 น.  

 
===นักศึกษาหญิงวัย 87 ปี เธอชื่อ โรส===


วันเปิดเรียนวันแรกอาจารย์แนะนำตัวเอง แล้วให้เราหันไปทำความรู้จักกับเพื่อนคนอื่นในห้องที่เรายังไม่รู้จัก

ผมลุกขึ้นยืน เพื่อมองหาคนที่จะเข้าไปทำความรู้จัก แล้วรู้สึกว่ามีมือมาแตะไหล่ผม

ผมหันไปมองและพบหญิงชราหน้าเหี่ยวย่นมองผมอยู่ พร้อมส่งรอยยิ้มที่เปล่งแสงโชติช่วงสว่างไสว

เธอพูดว่า "สวัสดี พ่อหนุ่ม ฉันชื่อ โรส ฉันอายุ 87 ปี ขอกอดเธอซักทีได้มั้ย"

ผมหัวเราะแล้วตอบอย่างเต็มเสียงว่า "ได้แน่นอนเลยครับ" โรสกอดผมอย่างเต็มแรง

ผมหยอกเธอว่า "ทำไมถึงมาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในตอนที่อายุยังน้อยนิดและไร้เดียงสาอย่างนี้ล่ะครับ"

เธอตอบแกมตลกกลับมาว่า "ฉันมาที่นี่เพื่อหวังหาสามีรวย แต่งงาน และมีลูกสักสองสามคน..."

ผมพูดถามกลับไปว่า "ผมถามจริงๆ ครับ" เพราะอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้เธอมาเรียนหนังสือเมื่ออายุปูนนี้แล้ว

เธอตอบว่า "ฉันฝันมาตลอดชีวิตว่าจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้ แล้วตอนนี้ฉันก็มาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยนี่แล้ว" หลังเลิกเรียนเราเดินไปโรงอาหารแล้วซื้อมิลค์เชคมาแบ่งกันทาน เรากลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว

ตลอดเวลาสามเดือนต่อมา หลังเลิกเรียนเราจะคุยกันจ้อไม่หยุดปาก ผมจะรู้สึกอึ้งและทึ่งกับ "เครื่องจักรย้อนเวลา" คนนี้ทุกครั้งที่เธอเล่าแบ่งปันปัญญาและประสบการณ์ชีวิตให้ผมฟัง

ตลอดปีการศึกษา คุณยายโรสกลายเป็นคนดังในมหาวิทยาลัย และเธอมีเพื่อนอย่างง่ายดายในทุกที่ที่เธอไป คุณยายมักแต่งตัวดีๆ และรู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่นักศึกษาคนอื่นๆ ให้ความสนใจ เธอใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างคุ้มค่า

ในตอนปลายภาค เราเชิญเธอให้มากล่าวปฐกถาที่งานเลี้ยงชมรมฟุตบอลของเรา ผมจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เธอสอนเราในวันนั้นเลย

วันนั้น พอเรากล่าวแนะนำเธอ เธอก็เดินไปที่แท่นพูดปฐกถา พอจะเริ่มพูดเธอก็ทำกระดาษโพยเล็กๆหลายใบตกพื้น เธอหงุดหงิดและออกจะเขินเล็กน้อย ชะโงกหน้าเข้าหาไมโครโฟนและพูดติดตลกเรียบๆว่า "ฉันต้องขอโทษด้วยนะที่มือไม้สั่นไปหน่อย แม้ว่าฉันจะไม่ดื่มเบียร์แล้ว....แต่ก็ยังโดนวิสกี้เล่นงานซะงอมเลย ฉันคงเรียงกระดาษโพยกลับเข้าที่ไม่ได้แน่ งั้นก็ขอพูดสดเรื่องที่ฉันรู้ก็แล้วกันนะ

ระหว่างที่เราหัวเราะ เธอก็กระแอมไอแล้วเริ่มต้นพูดว่า
"คนเราไม่ได้เลิกเล่นสนุกเพราะเราแก่ตัวหรอก แต่เราแก่ตัวเพราะเราเลิกเล่นสนุกต่างหาก มีความลับเพียงไม่กี่ข้อที่คนเราจะคงความหนุ่มสาว มีความสุขและประสบความสำเร็จอยู่ได้ คือ:

เราต้องหัวเราะและหาอารมณ์ขันทุกวัน

เราต้องมีความฝัน ถ้าเราสูญเสียความฝัน เราก็ตาย ทุกวันนี้มีคนมากมายที่เดินไปมาเหมือนคนที่ตายไปแล้ว โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวซะด้วย มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการมีอายุมากขึ้น กับการเจริญเติบโตขึ้น ถ้าเธออายุ 19 และได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย เมื่อหนึ่งปีผ่านไป เธอก็จะมีอายุ 20 ปีอยู่ดี ถ้าฉันอายุ 87 แล้วก็อยู่ไปวันๆ เป็นเวลาหนึ่งปี ฉันก็จะมีอายุมากขึ้นหนึ่งปีเหมือนกัน ใครๆก็มีอายุมากขึ้นได้เหมือนๆกันทั้งนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใช้พรสวรรค์หรือความสามารถอะไรเลยก็ทำได้ ประเด็นสำคัญคือคนเราต้องอายุมากขึ้นพร้อมกับเติบโตขึ้น โดยต้องแสวงหาโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง จงเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องมารู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ทำ คนเฒ่าคนแก่มักไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปในอดีต แต่มักจะเสียใจกับเรื่องที่ไม่ได้ลงมือทำต่างหาก คนแก่ที่กลัวตายก็คือคนที่ยังมีความเสียใจนี้อยู่นั่นเอง"

เธอจบปฐกถาโดยร้องเพลงที่ชื่อ "The Rose" อย่างกล้าหาญ และท้าทายให้พวกเราศึกษาเนื้อเพลงและใช้ชีวิตตามเนื้อเพลงนั้นทุกๆวัน
ในที่สุดคุณยายโรสก็เรียนจบ และหลังจากรับปริญญาได้หนึ่งอาทิตย์ คุณยายโรสก็จากเราไปอย่างสงบในขณะที่นอนหลับสนิท

นักศึกษากว่าสองพันคนเข้าร่วมพิธีศพของเธอเพื่อคารวะผู้หญิงที่สุดวิเศษคนนี้ ที่ได้สอนเราโดยทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า "ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่เราจะเป็นในทุกอย่างที่เราสามารถจะเป็นได้"

(เรียบเรียงไทย: หัชพันธ์ จาก Learning Petals)
ตอบพร้อมอ้างข้อความ


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:17:49:54 น.  

 
สุดท้ายแล้วครับ%%%%

เคยเหนในสารคดีนะ
มดตัวเล็กๆแต่มีมหาศาลสามารถล้มช้าง
ที่ตัวใหญ่ๆได้นะครับ~~~~~~~~

บายเลยนะครับวันนี้เยอะไปหน่อย
คงไม่สับสนนะครับค่อยๆอ่านไปครับผม%%%%%


โดย: win88 IP: 171.5.131.13 วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:18:51:46 น.  

 
ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากเลยครับ


โดย: phajongs วันที่: 22 มิถุนายน 2556 เวลา:19:49:52 น.  

 
ด้ายทองคำ พร่ำกระทิงน้อย
กระทู้สนทนา
หุ้นTechnical Analysisการลงทุน
Golden Thread....

- กว่าจะเข้าระบบได้ เลยพึ่งเปิดกราฟได้นะครับ....เอาเป็นว่า ด้ายทองคำ มองเห็นรูปแบบกลับตัวขาขึ้น แล้วนะครับ.....คือ Bullish Tower ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ด้ายทองคำมอง รูปแบบกลับตัวนี้ว่าเป็น Market Manipulation มากกว่า หมายความว่า มีคนอยากให้ตลาดขึ้น (ก็ให้สัมภาษณ์ เป็นนัยๆ แล้ว ว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งกองทุนพยุงหุ้น....) ...ก็ต้องให้ขึ้น แต่การขึ้นจะไม่ค่อยแข็งแรง และยั่งยืน....เพราะดูจากโวลุ่มด้วย ต้องถือว่า ยังไม่ Peak...

- สรุปว่า เป็นการกลับตัวขึ้น แบบกลางๆ ยังหาความแน่นอนไม่ได้ นะครับ...

- ดังนั้น หากเด้งแรงๆ ให้กรอง Stop Loss หุ้นแย่ๆ ออก แล้วให้ซื้อหุ้นดีๆ หรือถือหุ้นดีๆ ไว้....

- สำหรับ Q.E. นั้น ด้ายทองคำ อยากให้ทุกท่าน ฟังโลจิกให้ชัดๆ นะครับ...ว่า ยัง ไม่ ได้ เลิก....ยังคงทำอยู่ โดยจะลดระดับลงมา เดือนละ 65000 ล้านดอลล์ ซึ่งต้องถือว่า เงินยังคงล้นโลกอยู่ดี แต่คราวนี้ แบงค์ไม่ล้ม ไม่ได้เป็นวิกฤต.....

- สำหรับจีน ข่าวก็โครมๆ ออกว่าชะลอ....นั่นคือข่าว แต่พอดูชัดๆ มองโลจิก ชัดๆ จีนยังโต 7-8% ซึ่งพอฝุ่นหายตลบ จีนยังคงเติบโต.....

- สำหรับไทย ร่ำๆ ว่าขะลอ แต่สุดท้าย ยังคงคาดการณ์ว่าโต 5% เหมือนกันครับ พอฝุ่นข่าวร้ายหายตลบ....ตกรถกันทั้งเมือง....

เพราะเหตุเดียว....คือ ดอกเบี้ยนโยบาย สะท้อนดอกเบี้ยพันธบัตร และเงินฝาก ของประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ ยังคงอยู่ในระดับต่ำ.....ธรรมชาติของเงิน จะวิ่งหาที่ๆ ผลตอบแทนสูง.....ดังนั้น ตลาดทุน จึงเป็นทางเลือกสุดท้าย หลังจากฝุ่นหายตลบ.....

กลยุทธ์....ตั้งแต่สัปดาห์หน้า หากดัชนีโดยเฉพาะ SET50 ไม่ลงทดสอบ 903 แรงๆ และไม่หลุดลงมาอีก.....ระวัง Panic Buy ตกรถกันเกลื่อนเมือง ในระยะก่อนไตรมาส 4 .....ระวังอีกครั้ง Panic Buy ตกรถกันเกลื่อนเมือง นะจ๊ะ......5555555


โดย: win88 IP: 171.4.28.193 วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:18:50:04 น.  

 
BAY จ่อโดนเทกฯ , แบงค์ดังญี่ปุ่นงาบ
ฮือฮา! สื่อญี่ปุ่นยัน ยักษ์ใหญ่การเงินแดนปลาดิบ “มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ” จ่อเทกโอเวอร์กิจการ “ธนาคารกรุงศรีอยุธยา”

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่แห่งญี่ปุ่น “มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป อิงค์” เตรียมบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการเข้าเทกโอเวอร์กิจการของธนาคารกรุงศรีอยุธยาของไทย สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการเป็นสถาบันการเงินแดนปลาดิบแห่งแรกที่เข้าครอบครองกิจการของธนาคารในประเทศไทย

รายงานข่าวในวันอาทิตย์ (23) ของเจแปน ไทมส์ และสื่อหลายสำนักในญี่ปุ่น ซึ่งอ้างแหล่งข่าวระบุว่า ทางมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคาร “แบงก์ ออฟ โตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ” เตรียมเข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 51 หรือมากกว่านั้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งทางฝ่ายธนาคารของไทยเองก็ได้ให้ความเห็นชอบขั้นต้นกับข้อเสนอของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นแล้วเช่นกัน

รายงานระบุว่า ทางมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ซึ่งมีฐานอยู่ที่ย่านชิโยดะในกรุงโตเกียว และมีฐานะเป็นกลุ่มการเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นด้วยมูลค่าสินทรัพย์ในความดูแลไม่ต่ำกว่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 53 ล้านล้านบาท) เตรียมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาจากบรรดาผู้ถือหุ้น รวมถึงบริษัทเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) แห่งสหรัฐฯ ที่ถือหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาอยู่ร้อยละ 25 ในขณะนี้

การเข้าเทกโอเวอร์กิจการธนาคารกรุงศรีอยุธยาของทางมิตซูบิชิ ยูเอฟเจครั้งนี้ จะส่งผลให้ทางมิตซูบิชิ ยูเอฟเจกลายเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกในประวัติศาสตร์แดนปลาดิบที่เป็นเจ้าของกิจการธนาคารในประเทศไทย

แหล่งข่าวระบุว่า ทางบอร์ดบริหารของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจที่นำโดยเรียวสุเกะ ทามาโคชิ ประธาน และโนบุโอะ คุโรยานางิ ซึ่งเป็นซีอีโอ กำลังเตรียมพิจารณาส่งบุคคลที่มีความเหมาะสมจำนวนหลายรายเข้ามานั่งในบอร์ดบริหารของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในเร็วๆ นี้

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดว่า หลังจากที่มิตซูบิชิ ยูเอฟเจเข้ามาบริหารธนาคารกรุงศรีอยุธยาของไทยแล้ว จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งจะมีผลกระทบต่อ “ตำแหน่งงาน” ของพนักงานหรือไม่

ก่อนหน้านี้ สถาบันการเงินชื่อดังอีกแห่งของญี่ปุ่น คือ ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ป เพิ่งประกาศในเดือนที่แล้วถึงแผนการเข้าลงทุนจำนวน 150,000 ล้านเยน (ราว 47,770 ล้านบาท) ในธนาคาร “Tabungan Pensiunan Nasional” ของอินโดนีเซียเช่นกัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


โดย: win88 IP: 171.4.28.193 วันที่: 23 มิถุนายน 2556 เวลา:19:05:16 น.  

 
Hey there, You have done a fantastic job. I will definitely digg it and personally recommend to my friends. I am sure they'll be benefited from this website.
louis vuitton sale //www.boano.com/form/img/nalv.asp


โดย: louis vuitton sale IP: 94.23.252.21 วันที่: 12 สิงหาคม 2557 เวลา:14:22:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

phajongs
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 37 คน [?]




รับราชการมาจนจะเกษียณ เลยหาอะไรไว้ทำที่ได้ตังด้วย พรรคพวกไปทำสวนบ้าง เป็นที่ปรึกษาบริษัทบ้าง เราไม่เอาดีกว่าไม่อยากเหนื่อยหรือเป็นขี้ข้าใครอีก เคยเล่นหุ้นก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งบางตัวขายทัน ที่ขายไม่ทันจากห้าหมื่นเหลือบาทเดียวหุ้นเดียว เร็วๆนี้มีคนมาเทคโอเวอร์แบงก์ที่ถืออยู่เขาขอซื้อเจ็ดบาทห้าสิบเลยขายไป เว้นไปเป็นสิบๆปีกลับมาปัดฝุ่นอีกที เริ่มที่หุ้นเมื่อเดือนก.ค.ที่แล้ว ได้เรื่องเลยมันเริ่มลงอีกแล้วเลยขายล้างพอร์ตขาดทุนไปซัก7% หันมาศึกษาtfexจะได้ไม่ต้องวอรี่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง ขอแรงๆหน่อยละกัน คิดว่าเป็นคำตอบสุดท้ายแล้วสำหรับกิจกรรมหลังเกษียณ
Flag Counter
Friends' blogs
[Add phajongs's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.