รับราชการมาจนจะเกษียณ เลยหาอะไรไว้ทำที่ได้ตังด้วย พรรคพวกไปทำสวนบ้าง เป็นที่ปรึกษาบริษัทบ้าง เราไม่เอาดีกว่าไม่อยากเหนื่อยหรือเป็นขี้ข้าใครอีก เคยเล่นหุ้นก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งบางตัวขายทัน ที่ขายไม่ทันจากห้าหมื่นเหลือบาทเดียวหุ้นเดียว เร็วๆนี้มีคนมาเทคโอเวอร์แบงก์ที่ถืออยู่เขาขอซื้อเจ็ดบาทห้าสิบเลยขายไป เว้นไปเป็นสิบๆปีกลับมาปัดฝุ่นอีกที เริ่มที่หุ้นเมื่อเดือนก.ค.ที่แล้ว ได้เรื่องเลยมันเริ่มลงอีกแล้วเลยขายล้างพอร์ตขาดทุนไปซัก7% หันมาศึกษาtfexจะได้ไม่ต้องวอรี่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง ขอแรงๆหน่อยละกัน คิดว่าเป็นคำตอบสุดท้ายแล้วสำหรับกิจกรรมหลังเกษียณ
|
เรื่องเล่านั้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนที่พระภิกษุรูปหนึ่งมาขอ "ตั๊กม้อ" เป็นศิษย์
พระรูปนั้นนาม "เสินกวง" เป็นนักเทศน์นักแสดงธรรมที่มีชื่อ มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากมาย ขึ้นธรรมาสน์ครั้งใดผู้คนติดตามฟังล้นหลาม เช่นเดียวกับวันนั้น หากแต่ในบรรดาผู้เข้าร่วมฟังการแสดงธรรม ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ซึ่งเป็นพระอินเดีย เดินทางเข้ามาเผยแพร่หลักธรรมคำสอนในเมืองจีน ได้เข้าไปร่วมฟังด้วยอย่างกลมกลืน
เหตุการณ์มีอยู่ว่า ทุกครั้งที่พระเสินกวง แสดงธรรมในข้อหลักธรรมที่ถูกต้อง ตั๊กม้อก็จะพยักหน้ารับ
แต่เวลาผิดพลาด ตั๊กม้อก็จะส่ายหน้าไม่เห็นด้วย พระเสินกวงซึ่งอยู่บนธรรมาสน์ เห็นแล้วก็ไม่พอใจ จนในที่สุด เมื่อธรรมบรรยายจบลง ทั้งคู่จึงได้คุยกัน พระเสินกวงโกรธมาก ถึงขั้นฟาดลูกปะคำเข้าเต็มหน้าพระภิกษุจากอินเดีย จนกระทั่งตอนหลัง เมื่อรู้ว่านี่คือพระอรหันต์ คือปรมาจารย์ตั๊กม้อผู้ลือลั่น จึงสำนึกผิดและคิดที่จะขอฝากตัวเป็นศิษย์
"พระเสินกวงตามไปจนถึงเทือกเขาซงซาน อันเป็นที่ตั้งของ "วัดเส้าหลิน" คุกเข่ารอปรมาจารย์ตั๊กม้ออยู่นานถึง 9 ปี"
จนวันหนึ่งเมื่อตั๊กม้อออกจากสมาธิ และมาพบพระเสินกวงยังคงนั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น จึงบอกเป็นปริศนาธรรมว่า "...จงรอจนกว่า หิมะจะกลายเป็นสีแดง..."
ท่ามกลางความหนาวเหน็บ และหิมะที่ขาวโพลน พระเสินกวงคว้ามีดแล้วฟันฉับที่แขนของตัวเอง
แขนขาดสะบั้น เลือดไหลนองพื้น อาบหิมะรอบกายจนเป็นสีแดง ในที่สุด ตั๊กม้อจึงยอมรับเสินกวงเป็นศิษย์ และต่อมาก็ได้กลายเป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อไปของวัดเส้าหลิน ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้นับถือพระเสินกวง ก็จะใช้การยกมือข้างเดียวไหว้ หรือไม่ก็ห่มคลุมจีวรที่ปกปิดแขนข้างหนึ่งมองแล้วเหมือนพระแขนด้วนนั่นเอง
ลอกให้มาอ่านสนุกๆ
กว่าจะเปนศิษย์ปรมาจาร์ได้ต้องนึกถึงเสินกวงเปนแบบครับ%%%