หมึกสีดำของไผ่สีทอง
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางปฏิบัติถึงมโนปฏิบัติ เป็นผู้คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ,, การไม่ทําบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลให้ถึงพร้อมหนึง การชําระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป้นคําสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
จุไรชมวิมานท่านท้าววิรุฬหก




ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อนี้ไปก็มาฟังเรื่อง จุไร คุยกับท่านลุงต่อไป เป็นอันว่า ในเมื่อจุไรได้ฟังท่านลุงปิยะยาวียืนยันว่า ถ้าตายจากชาตินี้ จะไม่มีโอกาสเป็นเทวดา หรือนางฟ้าชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวัตสวัดดี หรือพรหม จะตรงไปนิพพาน จุไรก็มั่นใจ และก็แปลกใจคำว่า มั่นใจ ก็หมายความว่า เทวดาไม่เคยโกหก


แต่ว่าแปลกใจว่า จะไปได้อย่างไร ในเมื่อจุไรเป็นเด็ก แล้วก็เป็นผู้หญิง จึงถามคุณลุงว่า คุณลุงเจ้าคะ ที่นิพพานน่ะ เขาว่ามีแต่พระ คือ มีพระอริยเจ้า มีพระอรหันต์ทั้งหมด แล้วอย่างหนูเป็นผู้หญิง บวชพระไม่ได้ จะไปนิพพานได้หรือเจ้าคะ ท่านลุงทั้งสองยิ้ม แล้วท่านปิยะยาวีก็บอกว่า ไปได้หลานรัก ก่อนจะไปหนูก็เป็นพระก่อน นั่นก็หมายความว่า


คนที่ปฏิบัติตน เป็นพระโสดาบัน ได้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า พระ เป็นสกิทาคามี พระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกว่า พระ เป็นอนาคามี พระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกว่า พระ เป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็ทรงเรียกว่า พระ คำว่า พระ ไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง จะเป็นผู้ชายก็ได้ จะเป็นผู้หญิงก็ได้ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าได้


จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ก็เวลานี้หนูยังไม่เป็นพระอริยเจ้า แล้วคุณลุงหวังได้อย่างไรว่า จะเป็น พระอริยะ คุณลุงก็บอกว่า คนที่นึกถึงความตาย อย่างหนูก็ดี เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ก็ดี มีศีล ๕ มีกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน ก็ดี และเวลานี้ก็ตั้งใจ รักนิพพานจุดเดียว ใช่ไหม จุไรก็บอกว่า ใช่เจ้าค่ะ หนูไม่เห็นที่ไหนดีเท่านิพพาน ท่านลุงก็บอกว่า


อาการอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระโสดาบัน เวลานี้หนูก็เป็นพระอริยเจ้าแล้วนี่จ๊ะ
ถ้าหนูตายเวลานี้ ถ้าบังเอิญตาย ตายไปเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ แค่ฟังเทศน์จาก พระศรีอาริย์ กัณฑ์เดียวก็ไปนิพพานได้แล้ว แต่ว่าหนูยังมีอายุยืนยาว เพราะหนูมีเมตตามาก ชาตินี้ทั้งชาติ อายุน้อย ๆ หนูตายไม่ได้ หนูจะต้องมีอายุเกินกว่าร้อยปีจึงตาย


จึงมีโอกาสบำเพ็ญบารมีได้มาก เห็นสุข เห็นทุกข์มาก ขณะที่จะตาย ก็ตัดขันธ์ ๕ ได้ จุไรก็ถามว่า คุณลุงทราบได้อย่างไรเจ้าคะ คุณลุงก็ตอบว่า บัญชีของชั้นจาตุมหาราชเขามีอยู่ เทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่ เขาเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล คือ เป็นผู้รักษาคนที่มีบุญในโลกนี้ คนไหนมีบุญ ท้าวมหาราชทั้งสี่ พร้อมไปด้วยบริวารทั้งหมด จะสนับสนุนคุ้มครอง


อย่างเช่น หลานกับคุณป้าน้อย หรือคุณแม่ของหนูก็ตาม คุณพ่อของหนูก็ตาม หรือหลาย ๆ คนที่ปฏิบัติคล้าย ๆ กับหนูก็ตาม อย่างนี้ท้าวมหาราชจะส่งกำลังเทวดาไปอารักขา เหมือนกันหมดทุกคน จุไรฟังแล้วก็ปลื้มใจ อยากจะให้น้ำตาไหล ก็ลืมเอาน้ำตามา เพราะร่างกายที่เป็นทิพย์ไม่มีน้ำตา หลังจากนั้น จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ จะคุยกันนานไป วิมานของ ท่านวิรุฬหก อยู่ที่ไหน


ท่านลุงก็ชี้ไปด้านหน้า ทางด้านทิศใต้ เรามานี่ใกล้เต็มทีแล้ว จะใช้เวลา ถ้าเดินอย่างเมืองมนุษย์ ก็ใช้เวลาอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร ถ้าเราจะไปอย่างนี้ ถ้านึก ก็ถึงทันที จุไรก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ก่อนที่จะเข้าไป ขอชมวิมานก่อนได้ไหม ท่านบุเรงนองก็บอกว่า พร้อม ชมได้ทันที เมื่อจุไรมองไปก็เห็นสวน สวนดอกไม้ สวนต้นไม้ สวนใบไม้ เอ๊ะ...นี่พรรณนาอย่างไร เดี๋ยวจะล่อสวนรากไม้ แก่นไม้อีก


มันจะยุ่งกันใหญ่ เป็นอันว่า สวนต้นไม้ สวยเป็นระย้า แพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้ว สวนดอกไม้ก็สวย มีสระน้ำ มีแท่น มีรั้วรอบขอบชิด มีกำแพงเป็นทองคำ แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทองคำ แต่ว่าวิมานของท่านท้าวมหาราช เป็นทองคำด้วย แล้วก็เป็นแก้วประดับด้วย ก็มีความสงสัย วิมานหลาย ๆ วิมานที่ผ่านมา เป็นทองคำบ้าง เป็นเงินบ้าง บางวิมานก็เป็นแก้วบ้าง บางวิมานก็ไม่มีแก้ว


แต่ว่าวิมานของท่านท้าวมหาราช และวิมานของอินทกะ ส่วนใหญ่ แพรวพราวไปหมด เป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ มองดูแล้วหลากตา หมายความว่า มากมายเหลือเกิน เทวดาแต่ละองค์ก็แต่งตัวตามสบาย เดินไป เดินมา เทวดาบางองค์ก็นุ่งแต่กางเกงในบ้าง บางองค์ก็นุ่งผ้าหยักรั้งบ้าง บางองค์ก็นุ่งกางเกงขายาวบ้าง บางองค์ก็นุ่งกางเกงขาสั้นบ้าง บางองค์ก็นุ่งผ้าพื้นบ้าง


บางองค์ก็มีเสื้อบ้าง บางองค์ก็มีผ้าห่มบ้าง บางองค์ก็ไม่มีอะไร เปิดตัวล่อนจ้อน แต่มีกางเกง บางท่านก็แพรวพราวเป็นระยับ จุไรเห็นก็แปลกใจว่า เทวดานี่ ทำไมคล้าย ๆ กับคน นุ่งผ้าไม่เหมือนกัน แต่งตัวไม่เหมือนกัน รูปร่างบางขณะ ก็ไม่เหมือนกัน แต่บางองค์ก็สวยงามเหลือเกิน เหมือนกับลิเก เหมือนพระเอกลิเก จึงถามท่านลุงบุเรงนองว่า ทำไมเป็นอย่างนี้เจ้าคะ


ท่านลุงก็บอกว่า หลานรัก เทวดาที่แต่งตัวไม่เหมือนกันน่ะ เทวดาตามปกติไม่ได้สวมชฎานอน เวลาตามปกติก็เหมือนกับคนธรรมดา เหมือนกับมนุษย์ แต่งตัวตามสบาย แต่ว่าที่นุ่งหยักรั้งเห็นเป็นกางเกงใน แต่ความจริงไม่ใช่กางเกงใน เป็นเครื่องแบบที่นุ่งหยักรั้งก็ไม่ใช่เขาปล่อยลอยชายแบบนั้น มันเป็นเครื่องแบบ


คือ พวกนั้นกำลังจะออกไปอยู่เวร อยู่ยามในโลกมนุษย์ ต้องแต่งตัวแบบชาวอยู่เวร อยู่ยามของกองปราบ พร้อมที่จะรบ พร้อมที่จะพิฆาตศัตรู แต่ว่าท่านที่แต่งตัวเรียบร้อยนั่นอยู่กับที่ แต่งแบบสบาย ๆ ท่านที่แต่งสวยสดงดงามเป็นพิเศษ มีชฎา แต่งกายแพรวพราวเป็นระยับ ท่านพวกนี้ไปเฝ้าพระอินทร์กลับมา ต้องแต่งตัวสวยเรียกว่า เต็มยศ จุไรก็ไม่แปลกใจ เข้าใจ ก็บอกว่า คุณลุงเจ้าคะ เข้าไปได้แล้ว


พอเคลื่อนกำลังกายไปนิดเดียว ปรากฏว่า ถึงเขตรั้วของท่านท้าววิรุฬหกพอดี ปรากฏว่าเวลานั้น มีเทวดาองค์หนึ่ง อ้วนเหมือนกับตุ่ม แต่ตัวใหญ่เหมือนกับพ้อม ผมหยิก เขี้ยว เหมือนกับมีเขี้ยวออกจากปาก มีริมฝีปากนูน ๆ ตาใหญ่มาก เรียกว่า ตาโตกว่ากระโถน แวววาวแพรวพราว ตาสว่างมาก เหมือนกับไฟฉาย มองส่ายไป ส่ายมา และรูปร่างก็ดำปี๋


จุไรถามว่า คนนี้เป็นยามใช่ไหม ท่านบุเรงนองกับท่านปิยะยาวีเข้าไปก็เคารพท่านผู้นั้น ก็บอกว่า ท่านผู้นี้แหละ คือ ท้าววิรุฬหก ป้าน้อยฟังว่า ท้าววิรุฬหก ตกใจ กราบทันที จุไรก็กราบ เมื่อทุกคนกราบ ๓ วาระแล้วเงยหน้าขึ้นมา เห็นท้าววิรุฬหกเขี้ยวยาวออกมาข้างปาก ข้างละประมาณสักวา จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ ตามธรรมดา ท้าวมหาราชเป็นนายของเทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหมด


ทำไมถึงอ้วนเป็นพ้อมอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า หลานรัก นี่หลานเชื่อหรือว่า ลุง คือ ท้าววิรุฬหก จุไรก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่าเทวดาก็ดี ผีก็ตาม หรือสัตว์นรกก็ตาม เขาบอกว่า ไม่พูดเท็จ พูดแต่ความเป็นจริง ฉะนั้น ในเมื่อท่านปิยะยาวีก็ดี ท่านบุเรงนองก็ดี บอกว่า คุณลุง คือ ท้าววิรุฬหก หนูก็เชื่อ คุณลุงก็บอกว่า ถ้าเอ็งเชื่อลุงก็ใช่ จุไรก็บอกว่า ถ้าหนูไม่เชื่อ


ท่านลุงก็บอกว่า ถ้าหนูไม่เชื่อ ลุงก็ไม่ใช่ เธอก็ถามว่า ทำไมเป็นอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า มันก็สุดแล้วแต่ศรัทธาของคน คนเขาไม่เชื่อ เราจะไปยอมรับทำไม ความจริง รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของท้าววิรุฬหก เป็นรูปร่างหน้าตาปลอม จุไรก็ถามว่า ที่นี่เขามีเครื่องแบบปลอมหรือเจ้าคะ เขามีขายที่ไหน หรือว่ามีช่างที่ไหนทำ ท่านลุงก็บอกว่า ไม่ใช่ คำว่า ปลอม


นี่หมายความว่า ลุงแปลงกาย ดูไอ้เจ้าน้อยหลานของลุง มันจะจำลุงได้ไหม จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ ป้าน้อยรู้จักคุณลุงหรือ ท่านลุงก็บอกว่า ไอ้น้อยนี่ มันใช้ลุงอยู่เสมอ อะไรนิดอะไรหน่อย มันก็ใช้ ไอ้พวกมนุษย์นี่มันเหลือเกินหลานรัก ลุงรู้สึกว่า จะเป็นข้าทาสรับใช้พวกมัน แต่ลุงก็เมตตามัน มีความเมตตามันมาก มันใช้ ก็ต้องทำ


เพราะในฐานะที่เป็นท้าวจตุโลกบาล ท้าวทั้งสี่รักษาโลกมนุษย์ ในเมื่อเขามีทุกข์ ถ้าไม่เกินวิสัยที่เราจะช่วยได้ เราก็ต้องช่วย จุไรก็ถามว่า บรรดาพวกมนุษย์ทั้งหลาย ใช้ลุงทำอะไรเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า หนึ่งคนหาย มันก็บนให้ลุงตาม บอกให้ลุงตาม ใช้วิธีบน ประการที่สอง ข้าวของหาย มันก็ใช้ให้ลุงหาให้ ไปตามมาให้ อะไรก็ตาม จิปาถะ มันใช้กันดะ


แม้แต่ไอ้คนไทยมันไปต่างประเทศ มันยังตามใช้ลุงเลย มีไอ้คนพวกหนึ่ง มันไปที่อเมริกา กระเป๋ามันหายไป มันก็บน มันใช้ลุง คำว่า บน ก็คือ ใช้ ใช้ไปตามกระเป๋าให้มัน ก็ต้องไปตามให้มัน ไม่อย่างนั้นมันไม่มีสตางค์กลับบ้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนบางคนก็ใช้ลุงหนัก บางทีคนไปติดอยู่ในซ่องโสเภณี เขาไม่สามารถจะดึงตัวมาได้ ก็ใช้ลุงให้ไปตาม มันหนักอยู่นะ หลานรักนะ


จุไรก็ถามว่า เขาใช้ในทางที่ไม่ควร ลุงทำไมถึงช่วย ท่านลุงก็บอกว่า คำว่า ไม่ควรนั้น ไม่มีหรอก ไอ้ที่ลุงช่วยนั่น มันควร เธอก็ถามว่า คนที่ไปหลงอยู่ในซ่องโสเภณี ก็ไม่ใช่คนดี ทำไมต้องช่วยออกมา ท่านลุงก็บอกว่า มันไม่ใช่หลงปกติ ถ้าไปรักโสเภณี ไปติดใจโสเภณี นี่ลุงไม่ช่วย แต่นั่นโสเภณีมันทำเสน่ห์ให้หลงรักในมัน หวังจะทำลาย คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จะหมดไป ลุงก็ต้องช่วย เพราะเขาเป็นคนดี ปกติเขาเป็นคนดี


ก็รวมความว่า คุณลุงก็สวดป้าน้อยว่า น้อยนี่มันใช้ลุงเกือบทุกวัน ดีไม่ดี มันจะไปไหนก็บอกให้ลุงเฝ้าบ้านด้วย บ้านของมันเองมันยังใช้ให้ลุงเฝ้าเลย กุญแจก็มีใส่ไว้ ก็ไม่ไว้ใจ ดีไม่ดี ขณะที่เฝ้าบ้านอยู่นี่แหละ เวลาเดินทางมันก็บอกให้ลุงช่วยระวัง อย่าให้รถชนกันด้วย ไม่ให้หลงทางด้วย ต้องการซื้ออะไร ก็อยากได้ของถูก ๆ ให้คนขายพูดดีดี มันใช้ทุกอย่าง เอ็งถามป้าน้อยเอ็งซิ


แล้วป้าน้อยก็หันมาบอกจุไรว่า หลานรัก เป็นความจริงทุกอย่าง ป้าถ้ามีอะไรขัดข้องก็ต้องบอกท่านวิรุฬหก จุไรก็ถามว่า ทำไมอีก ๓ องค์ ป้าไม่บอกล่ะ ป้าน้อยก็บอกว่า อีก ๓ องค์ ก็เคารพในท่าน แต่ว่าถ้ากิจการงานต่าง ๆ ที่ป้าต้องการ ป้าคิดว่า ท่านวิรุฬหกคล่องตัวกว่า จุไรก็หันมากราบท่านวิรุฬหกถามว่า เป็นความจริงหรือเจ้าคะ ท่านวิรุฬหกก็บอกว่า


เรื่องการคล่องตัว เหมือนกันทุกองค์ จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เมื่อกี้นี้ท่านปิยะยาวี กับท่านบุเรงนอง บอกว่า คนที่มาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ต้องเคยผ่านฌานมาก่อน แต่ว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย กำลังใจที่เป็นกุศล ดลบันดาลให้มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า ใช่


จุไรก็ถามว่า คนที่จะมีฌาน ต้องมีศีล ใช่ไหมเจ้าคะ ลุงก็บอกใช่ จุไรก็ถามว่า คนที่จะมีศีลได้ ต้องมี เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ จุไรก็ถามว่า คนที่มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร คุณธรรมทั้ง ๒ ประการนี้ ดลบันดาลให้คนที่มีรูปร่างหน้าตาสะสวย ใช่ไหมเจ้าคะ ลุงก็ตอบว่า ใช่ แล้วเธอก็ถามว่า


เวลานี้ ลุง พุงเหมือนกระบุงหรือเหมือนพ้อม รูปร่างหน้าตาดำปี๋ นัยน์ตาก็ใหญ่เท่ากระโถน กรอกไป กรอกมา ผมก็หยิก แล้วทำไมศีลไม่ช่วยให้ลุงสวยบ้างหรือ ลุงหัวเราะชอบใจ บอก อีหนูเอ๊ย...เอ็งคุยไป คุยมา ลุงก็เผลอไป ขอแปลงกายนะแพล๊บพลับ เหมือนพระเอกลิเก จุไรกับน้อยเห็น ก็กราบ ก็เป็นอันว่า ท่านปิยะยาวี กับท่านบุเรงนอง ก็ต้องสวยตามท่านวิรุฬหกไปด้วย


คือ จำเป็นต้องสวย เพราะนายสวย ลูกน้องก็ต้องสวย คราวนี้ต่างคน ต่างแต่งตัวเต็มยศ ก็มองไปดูเทวดาที่เดินไปเดินมาบ้าง นั่งอยู่ที่บ้านบ้าง โคนต้นไม้บ้าง นุ่งผ้าเตี่ยวบ้าง นุ่งกางเกงในบ้าง นุ่งกางเกงขายาวบ้าง นุ่งผ้าพื้นไม่มีเสื้อ มีแต่พุงปลิ้นบ้าง ทั้งหมดนี้พอท่านวิรุฬหก เป็นเทวดาแพรวพราวเป็นระยับ ทุกคนแพรวพราวเหมือนกันหมด ก็ปรากฏว่า ก่อนที่จะเข้าไปเห็นภาพอย่างนั้น


เจอะเทวดาหลอก คือ จริง ๆ แล้วท่านแพรวพราวเป็นระยับ ท่านทำร่างกายเป็นเทวดาปกติ ท่านก็บอกว่า หลานรัก เทวดาเวลาอยู่กับที่เดิมนะ ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวแบบนี้ แต่เมื่อหลานสงสัย ลุงก็ต้องทำให้ดู หลังจากนั้น ลุงก็บอกว่า เอ้า...นี่ยืนอยู่ข้างรั้วนี่นานแล้วนะ เข้าไปในบ้านลุงเถิด จุไรก็เดินตามลุงไป พอเดินแป๊บเดียวก็ถึง ก้าวไปในห้อง แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามมาก


เครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างมีครบ ไม่ขอพรรณนา เวลาจะนั่ง ก็ปรากฏว่ามีแท่นมารองก้น จุไรก็บอกว่า หนูขอนั่งกับพื้น ท่านลุงก็บอกว่าหลานรัก ที่นี่มันเป็นไปตามบารมี ก็หมายความว่า สิ่งที่มันควร มันจะมารองรับเอง เก้าอี้ไม่ต้องยก แท่นไม่ต้องยก เมื่อกี้หลานเข้ามามีห้องโล่ง ๆ ใช่ไหม จุไรก็ตอบว่า ใช่ เวลานี้มันมีแท่นขึ้นมา เพราะบุญบารมีของหลานมีมาก เขามารับเอง ไม่เป็นไร


อะไรมีอย่างไรนั่งตามนั้น เขาจะมาแบบไหน ไม่ต้องไปว่ากัน ไม่ต้องเกรงใจลุง ต่อนี้ไปหลานรักต้องการอะไร บอกลุง ถ้าไม่เกินวิสัย ลุงจะให้ จุไรก็บอกว่า สิ่งที่หนูต้องการ อันดับแรก ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ แต่อันดับต่อไปอาจจะเอาก็ได้ ลุงก็ยิ้ม บอกว่า อีหนูเอ๊ย...สำนวนมันมากเกินไปนะหลานรัก ว่ากันตรง ๆ ดีกว่า จุไรก็บอกว่า หนูไม่ใช่สำนวน แม่หนูเป็นคนจน เวลานี้พ่อก็ได้เงินเดือนเล็กน้อย


ไม่กี่พันบาท พอใช้สอย พ่อก็ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ พ่อไม่เที่ยวกลางคืน เงินก็ไม่ค่อยจะเหลือ ถ้าตอนคุยกันไป คุยมา ถ้ายังไม่หมดเวลา หนูอาจจะขอลาภจากลุงก็ได้ ท่านวิรุฬหกก็ถามว่า หนูจะขออะไร จุไรก็บอกว่า ขอเลขรางวัลที่ ๑ เอา ๗ ตัว ไม่เอา ๓ ตัวละ ๓ ตัว เล่นลำบาก ลุงหัวเราะก๊าก บอก หลานเอ๊ย...เลขหวยลุงรู้ แต่บอกไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันผิดระเบียบ เอาเรื่องอื่นดีกว่า


จุไรก็ถามว่า เมื่อกี้หนูถามยังค้างอยู่ ในตอนต้นที่หนูถามว่า คนที่จะมาเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ต้องผ่านฌานสมาบัติมาก่อนใช่ไหม ลุงก็ตอบว่า ใช่ แล้วเวลาตายกำลังใจไม่เข้าถึงฌาน เป็นอันว่า มีจิตเป็นกุศลพอสมควรใช่ไหม ลุงก็ตอบว่า ใช่ แล้วเธอก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น สมัยที่ลุงเป็นมนุษย์ ลุงมีอาชีพอย่างไร มีฐานะเป็นประการใด


ลุงฟังแล้วก็มองดูน้อย บอก น้อย อย่าพูดไปนะ จุไรก็ถามว่า ทำไมไม่ให้พูดล่ะเจ้าคะ ทำไมห้ามป้าน้อย ลุงก็บอกว่า เรื่องบางอย่าง ไม่ควรจะพูด เพราะพูดกับหนูนี่ หนูปากยาว นี่ลุงไม่ได้ว่าหนูปากหมานะ เอาแค่ปากยาว ๆ หมายความว่า เสียงนี่มันออกไปถึงหูที่สี่แล้ว มันไม่เป็นความลับ เหตุบางกรณีที่ไม่ควรจะพูด มีอยู่เอาแค่ปฏิปทาก็แล้วกันนะ ฐานะอย่าถามกันนะ จุไรก็ตอบว่า ไม่เป็นไรเจ้าคะ เอาแต่สิ่งที่ควร


ท่านบอกว่า ถ้าคำว่า ฐานะ ลุงจะขอบอกได้เพียงแต่ว่า ลุงสมัยที่เป็นมนุษย์ ลุงเป็นลูกจ้างเขา จุไรก็ถามว่า ลูกจ้างทำนา ลูกจ้างทำไร่ หรือลูกจ้างชาวค้าขาย พ่อค้า แม่ค้า ลุงก็ตอบว่า ไม่ใช่ คำว่า เป็นลูกจ้างนี่ ลุงเป็นคนมีเงินเดือน และเป็นหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้ากลุ่มใหญ่ คนใต้บังคับบัญชานับพันคน แต่เงินเดือนเขาก็ให้ก็ถือว่า คนที่ได้เงินเดือน ต้องถือว่า เป็นลูกจ้าง


แต่ในเมื่อเป็นลูกจ้าง ลุงก็มีความฟุ้ง ต้องการอยู่อย่างเดียว คือ หนึ่ง หนังเหนียว ประการที่สอง ยิงไม่ออก ประการที่สาม แคล้วคลาดจากอาวุธ ประการที่สี่ สามารถแสดงฤทธิ์ ข่มคนที่เป็นศัตรูได้ จุไรก็ถามว่า การเป็นอย่างนี้ ต้องการอย่างนั้น มีผลอย่างไรเจ้าคะ แล้วลุงหนังเหนียวไหม ลุงก็ตอบว่า หนังเหนียว


จุไรก็ถามว่า การหนังเหนียวของลุง ลุงทำได้อย่างไร ท่านลุงก็บอกว่า ใช้คาถาอาคม ลุงนี่มีอาจารย์เป็นพระ มีอาจารย์เป็นฆราวาส พระก็ดี ฆราวาสก็ดี ถ้ามีความดีเป็นกรณีพิเศษ ลุงยอมรับนับถือเป็นลูกศิษย์ท่าน แล้วการที่ลุงจะเรียนวิชาทำให้หนังเหนียวด้วย ให้คนอื่นหนังเหนียวด้วย หมายความว่า คนใต้บังคับบัญชาของลุงเวลาจะไปสู้กับข้าศึกศัตรู ก็ต้องหนังเหนียวไม่ตายเหมือนกัน


ทีนี้ลุงก็ต้องใช้คาถา การใช้คาถานี่ต้องใช้สมาธิ หลาน คำว่า สมาธิ คือ การตั้งใจ ก่อนที่จะใช้คาถาทั้งหมด ลุงต้องมีความเคารพในพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ ประการที่สอง เคารพพระธรรม ประการที่สาม เคารพพระอริยสงฆ์ หรือพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านเป็นพระสงฆ์ ครูที่เป็นฆราวาสก็ต้องสอนแบบนี้เหมือนกัน ต้องเคารพตามนี้ หลังจากนั้นแล้ว ลุงก็ต้องทำจิตให้มั่นคง


ในคาถาอาคมที่เรียนมา การทำจิตให้มั่นคง คือ ภาวนาให้ทรงตัว ก็คือ จิตเป็นสมาธินั่นเอง ถ้าจิตมีสมาธิสูง กำลังอานุภาพของที่ใช้อยู่หรือที่ต้องการ ก็มีอานุภาพมาก ถ้ากำลังสมาธิต่ำ ของที่เรียนมาก็มีอานุภาพต่ำ จุไรก็บอกว่า การทำสมาธิ การว่าคาถาอาคม ไม่ใช่สมาธิ เป็นเหตุให้เกิดเป็นเทวดา หรือเป็นพรหมนี่เจ้าคะ ต้องการหนังเหนียวต้องการปลอดภัย


ท่านลุงก็บอกว่า อย่าลืมนะ อย่าลืมว่า ก่อนที่จะทำอะไรทั้งหมด จะต้องมีความเคารพในพระพุทธเจ้าก่อน ฉะนั้นการทำสมาธิ การท่องคาถาอาคม การปลุกเสก เขาเรียก ปลุกตัว ปลุกของ ต้องทำทุกวัน ตอนเย็นต้องทำ ตอนเช้าต้องทำ เพื่อความมั่นคง ทีนี้ก่อนจะทำปุ๊บ จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว จิตยอมรับนับถือในพระธรรมคำสั่งสอนแล้ว


และก็จิตนึกถึงพระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์ และเทวดา หรือพรหมที่เป็นครูบาอาจารย์มาในอดีต ต้องนึกถึงหมด ตั้งแต่ในอดีต ถึงปัจจุบัน อย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคาถาอาคมเพื่อการอยู่ยงคงกระพัน แต่จิตใจยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ฉะนั้น สมาธิที่ได้ในเวลานั้น ต้องเป็นสมาธิที่มี พุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุส สติ


คือ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ทีนี้ คาถาอาคมจะให้ดีมากก็ต้องเป็นฌาน จิตต้องดิ่งเข้าถึงฌานสมาบัติ ถ้าเข้าถึงฌานสมาบัติก็พิสูจน์กันได้ทันที อย่างนี้เรียกว่าจิตถึงฌาน การกระทำ หรือว่าเจตนาจะไม่ตรง แต่จุดหมายปลายทางตรงก็เหมือนกับหลานที่เดินมาวิมานของลุง มาทีแรกก็ขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก่อน แล้วกลับลงไปเมืองมนุษย์ ไปฟื้นตัวอีก ๒-๓ วัน แล้วกลับมาใหม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงทางที่ตั้งใจมาโดยเฉพาะ


แต่ถึงอย่างไร ก็ถึงวิมานของลุงแน่ การทำจิตเป็นสมาธิ อันดับแรกไม่ต้องการสวรรค์ ไม่ต้องการพรหมโลก ไม่ต้องการนิพพาน แต่ว่ากำลังใจนึกถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หรือครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ ก็ตรงเข้าไปหาอนุสสติทั้ง ๓ ประการ อย่างไร ๆ ก็เป็นฌานสมาบัติในพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ นั่นเอง


ก็เป็นอันว่า จุไรเข้าใจ จึงมีความรู้สึกถามว่า คุณลุงเจ้าคะ ก็ในเมื่อได้ฌานสมาบัติอย่างนั้นแล้ว ทำไมเวลาคุณลุงตาย ทำไมไม่เข้าฌาน ไม่นึกถึงคาถาบทใด บทหนึ่งให้เป็นฌาน คุณลุงก็บอกว่า หนู นอกจากคาถาที่เป็นสมาธิในด้านของอยู่ยงคงกระพันแล้ว นอกจากนั้น เวลาจะนอน ลุงก็ต้องทำสมาธิเป็นฌานเหมือนกัน แต่คำว่าฌานในที่นี้ คือ อารมณ์ทรงตัว ลุงนึกปั๊บ จิตเข้าถึงฌานทันที


มีอารมณ์ดิ่ง อารมณ์มั่นคงมาก นอกจากมีอารมณ์มั่นคงแล้ว ลุงก็ต้องให้ทานการกุศล ทานการกุศลนี่ ลุงทำเป็นปกติ และมีความเมตตากับคนที่พบเห็น การคบหาสมาคมของลุง ลุงคบคนทุกชั้น ตั้งแต่คนชั้นสูงเท่าที่ลุงจะคบได้ คือ ชั้นขุนนาง ลุงคบไปถึง ชั้นขี้เมา คนทุกชั้นลุงถือว่า เขาเป็นคนเหมือนกันหมด ลุงไม่ถือเนื้อไม่ถือตัว จุไรก็ถามว่า สมัยที่เป็นมนุษย์ ลุงมียศขั้นไหนเจ้าคะ


ลุงตอบว่า เรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ห้ามถาม เป็นอันว่า ลุงเองก็เคยเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว เคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน ลุงเองก็เคยเข้าสมาคมกับขุนนางชั้นสูง และก็ทุกชั้นตามลำดับมา จนกระทั่งขี้เมาข้างถนน ลุงก็เป็นเพื่อนกับคนทุกคน จุไรก็ถามว่า ลุงเป็นเพื่อนได้อย่างไร ในเมื่อมีฐานะอย่างนั้น ท่านลุงก็บอกว่า หนูเคยถามลุงแล้วใช่ไหมว่า


๑. ลุงมีเมตตา ความรัก ๒. กรุณา ความสงสาร ใช่ไหม จุไรก็ตอบว่า ใช่ เพราะอำนาจเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสารนี่ซิ ลุงจึงถือว่า คนทุกคน ฐานะไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่กำลังใจเท่านั้น ถ้าบุคคลใดกำลังใจดี บุคคลนั้นลุงคบได้ทุกคน ก็รวมความว่า หลานกับลุงก็คุยกันมาตามสมควร หลานก็บอกว่า คุณลุงเจ้าคะ วันเวลามันก็น้อยเหลือเกิน อีกไม่นานนัก


เมืองมนุษย์ตะวันก็ตกดินไปอีกแล้ว แต่ว่าหนูยังไม่กลับ คราวนี้หนูมาเต็ม ๗ วัน แม่บอกแล้วว่าจะอยู่ที่วัดท่าซุงหลายวันหน่อย หนูก็ขออนุญาตแม่แล้ว ทีนี้ขอมาเต็ม ๗ วัน แต่ว่าเวลาที่จะคุยกันมีอยู่ แต่ว่าเวลานี้ หนูขอดูวิมานหน่อยได้ไหม อยากจะดูข้างในว่ามีอะไรบ้าง ลุงก็อนุญาต ก็เป็นอันว่า ท่านท้าวมหาราช คือ ท่านวิรุฬหก ก็พาหลานรักทั้งสองคน คือ หลานเล็ก กับหลานแก่ พาชมวิมาน


เอาละ บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทุกท่าน เวลาหมดพอดี ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน


สวัสดี






ทำนองเพลง ลาวม่านแก้ว




Create Date : 09 ธันวาคม 2554
Last Update : 9 ธันวาคม 2554 15:21:57 น. 0 comments
Counter : 1214 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมึกสีดำ
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หมึกสีดำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.