หมึกสีดำของไผ่สีทอง
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางปฏิบัติถึงมโนปฏิบัติ เป็นผู้คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ,, การไม่ทําบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลให้ถึงพร้อมหนึง การชําระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป้นคําสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
Group Blog
 
 
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
30 กันยายน 2554
 
All Blogs
 

จุไรไปดาวดึงส์



จุไรไปดาวดึงส์




ท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับต่อนี้ไป ท่านทั้งหลายก็จะได้พบกับ จุไร ตามเดิม เป็นอันว่า หลังจากตอนที่แล้ว จุไรก็ได้ติดตามท่านทั้งสอง คือ
ท่านปิยะยาวี และท่านบุเรงนอง เทวดาทั้งสอง พาคุณป้าน้อยและจุไรหลานรัก เดินทางขึ้นไปในทางอากาศ แพล็บเดียวก็ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ในเมื่อไปถึงแล้วก็เข้าไปในเขต บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์



เวลานั้นปรากฏว่า ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือ พระอินทร์กับชายา ท่านนั่งอยู่ มีเทวดา และนางฟ้าที่เป็นบริวารมากมาย ด้านทางขวาก็มี ท่านปัญจสิกขเทพบุตร และต่อมาก็มีเทวดามาก เยอะ เรียกว่า มากมาย ก็แล้วกัน ทั้ง ๔ ท่านเข้าไปใกล้ท่านปิยะยาวีเทวดา กับท่านบุเรงนองเทวดา ก็บอกทั้งสองคนบอกว่า ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของเทวราชา



และตัวท่านเองทั้งสอง ก็มีหน้าที่รับบัญชาจากพระอินทร์ และท่านท้าวมหาราช ให้ไปรักษาการณ์ในเขตของวัดท่าซุง นอกจากวัดท่าซุง ก็มีเขตไกลไปอีกหลายกิโลเมตร ก็ถือว่าเป็น หัวหน้ายาม ในเมื่อหัวหน้ายามมาที่นี่ ท่านจะหาว่าหนียาม ก็ขอให้ท่านทั้งสอง คือ ท่านน้อย กับท่านจุไร ทั้งสองท่านเรียก ท่านที่นี่ เพราะแต่งตัวเป็นนางฟ้า เข้าไปหาท้าวสักกเทวราชเอง



ไปขออนุญาตว่า ต้องการจะไปพบเทวดา หรือนางฟ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม ทั้งสองได้รับคำแนะนำแบบนั้นแล้ว ก็เข้าไปหาท่านท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ ไปถึงก็กราบท้าวสักกเทวราช และกราบชายาของท่าน เมื่อกราบแล้ว ท้าวโกสีย์สักกเทวราชก็มีบัญชาถามว่า สองป้าหลานนี่ มาธุระอะไรหรือ คุณหลานก็กราบเรียนท่านบอกว่า ขออภัยนะเจ้าคะ หนูขอเรียกพระคุณท่านว่า ปู่ ก็แล้วกัน



เพราะไม่ทราบจะ เรียกว่าอะไร ท่านท้าวโกสีย์สักกเทวราชท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอก ดีแล้วเรียก ปู่ นะดีแล้ว การใช้ศัพท์ว่า ปู่ ถือว่าเป็นคนใกล้ชิดกัน เป็นญาติสนิท คุยกันถนัด แล้วเธอก็หันไปหาชายาของท่าน กราบท่านบอกว่า หนูขออนุญาตเรียก ย่า ก็แล้วกันนะเจ้าคะ ท่านก็ทรงอนุญาตทั้งสองท่าน ท่านปู่ และท่านย่า แล้วต่อไป



จุไรก็ถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า ท่านปู่ ทำไมถึงสวยงามกว่าเทวดาทั้งหมด เวลานี้เครื่องทรงของท่านปู่ก็สวยมาก จะเปรียบเทียบกับเทวดาทั้งหลาย เทวดา และนางฟ้าทั้งหมด สู้ไม่ได้ แล้วก็แท่นที่ประทับของท่านปู่ก็แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งไม่เคยเห็นมาจากในสถานที่ใดเลย แล้วท่านย่าก็เหมือนกัน



ท่านย่าก็สวยสดงดงามเป็นพิเศษเหมือนกัน แพรวพราวเป็นระยับ ยิ่งกว่านางฟ้าคนใดทั้งหมด อยากจะถามว่า ท่านปู่ กับท่านย่า ทำบุญอะไรกันมา ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านปู่ ท่านย่าฟังแล้วก็ยิ้ม ชอบใจหลานว่า หลานเป็นคนช่างพูด หลานเป็นคนช่างสงสัย ท่านย่าก็หันไปพูดกับท่านปู่ บอกว่า อธิบายให้หลานฟังซิ วันนี้เป็นเรื่องของท่านแต่ผู้เดียว ฉันไม่พูดเพราะว่า ในฐานะที่ท่านเป็นราชาของเทวดาทั้งหมด ถ้อยคำของท่านทั้งหมด คนเชื่อ เชื่อมากกว่าฉันพูด ขอท่านอธิบาย



ท่านปู่ก็พูดให้ฟังว่า หลานรัก เวลานี้ปู่อยู่ในฐานะของพระอินทร์ คำว่า พระอินทร์ แปลว่า เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหมด
ที่ตามบาลีท่านเรียกว่า เทวราชา เพราะตามสวรรค์จริง ๆ ก็มี ๖ ชั้น ตามที่เขาทราบกันแล้ว แต่ที่นี่เรียกว่า ดาวดึงส์ คุณสมบัติที่ทำให้ ปู่ เป็นพระอินทร์ได้ ก็คือ



๑. มาตาเปตติภรัญชันตุง การเคารพในบิดามารดาด้วย และพยายามปฏิบัติบิดา-มารดาให้มีความสุข ท่านต้องการอะไร เราหาให้ตามกำลังที่จะพึงหาได้ คำว่า ความสุขนั่นหมายถึงว่า ไม่เกินวิสัยที่เราจะพึงหาได้ ถ้าเราหาไม่ได้ บังเอิญคนอื่นเขาหาได้ เขาสามารถทำได้ เราขอ ไหว้วานเขา ขอความสงเคราะห์เขา ให้เขาช่วยอย่างนี้ก็ใช้ได้ต้องทำ



๒. เคารพในบุคคลผู้มีอายุสูงกว่า เขาจะมีอายุสูงกว่าเราสัก ๑ วัน ๒ วัน ๓ วันก็ตาม ให้ยอมรับนับถือว่าเขาเป็นพี่ เราซึ่งมีอายุน้อยกว่า ต้องยอมรับนับถือ ถ่อมตนมาในฐานะที่เราเป็นน้อง ทั้งนี้ก็เว้นไว้แต่ว่า คนนั้น ถ้าเป็นคนไร้ความดี ไร้คุณธรรม ได้ความดี ถึงแม้เขาจะไร้คุณธรรม ไร้ความดี ถ้าเรานั่งอยู่ใกล้ ๆ เราก็แสดงความเคารพในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า



แต่ว่า ความประพฤติชั่วร้ายของเขา เราจะไม่นำมาปฏิบัติตาม อย่างนี้เรียกว่า มีการเคารพในบุคคลผู้มีอายุสูงกว่า ปู่ปฏิบัติมาตามนี้ แล้วต่อไป
ก็ชอบการให้ทาน มีการให้ทานเป็นปกติ การให้ทาน ก็เป็นการให้ที่ไม่เกินวิสัยที่เราจะพึงให้ได้ การให้ทาน ไม่ใช่ว่าเราจะทุ่มเทเสียทุกอย่าง
มีเท่าไรให้หมด อย่างนี้ไม่ควร ต้องดูในการให้ว่า พอจะให้ได้ไหม



ถ้ามันเหลือเกิน เหลือใช้ตามความจำเป็นแล้ว ก็แบ่งให้ ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่เหลือกิน เหลือใช้แล้ว ก็ให้ทั้งหมด เพราะความจำเป็นนอกจากกิน นอกจากใช้ธรรมดามันมีอยู่ เช่น การป่วยไข้ไม่สบาย เป็นต้น มันเกิดขึ้นภายหลัง เราทราบไม่ได้ เราก็ต้องเตรียมทรัพย์ของเราไว้
ถ้าบังเอิญทรัพย์สินที่มีอยู่นอกเหนือที่เรามีความจำเป็นตามนี้ เราก็ให้ ให้ตามควร



ให้มาก หรือให้น้อย อยู่ที่เหตุผลในการให้ ที่ชื่อว่า การให้ทานนี้ ปู่ก็ชอบให้ทาน แล้วต่อไป ปู่ก็มี ความเมตตาปรานี ขึ้นชื่อว่า
ความโกรธของปู่มีเหมือนกัน อารมณ์ขุ่นใจบางขณะ ก็มีเหมือนกัน แต่ปู่ยับยั้งไว้ ถึงแม้ว่าใครเขาจะพูด เขาจะทำให้เราไม่ชอบใจ เราก็ยิ้ม พยายามฝึกยิ้ม สู้กับความไม่ดีของเขา ต่อไปจิตใจก็ชุ่มชื้น ต่อมาเมื่อเจอะคนทั้งหลาย เขาปฏิบัติไม่ถูก ไม่ต้องขึ้นมา



ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดมา ย่อมมีความดี และความชั่ว แต่ทุกคนมีความต้องการในด้านของความดี ที่ทำทุกอย่าง คิดว่า ดีจึงทำ
แต่อาศัยกรรมที่เป็นอกุศล คือ บาปในชาติก่อนสนับสนุนใจ ควบคุมใจ ต้องการให้เขาผู้นั้น เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องไปอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น ก่อนจากเป็นสัตว์นรก ก็มาเป็นเปรต จากเปรต เป็นอสุรกาย



จากอสุรกาย มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานมาเป็นคนที่มีความลำบากยากแค้น กรรมที่เป็นบาปในชาติก่อนควบคุมใจเขา เขาไม่สามารถจะมีอิสระในความคิด ในความอ่าน เป็นอันว่า ความชั่ว ควบคุมใจให้ทำความชั่ว เพื่อเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามีความเข้าใจตามนี้ คือ
การที่ทำของเขาทุกอย่าง เขาต้องการดี แต่มันไม่ดี เราก็ให้อภัย



นั่นหมายความว่า ถ้าเขาพูดไม่ดี เขาทำไม่ดี ต่อหน้าเรา เราไม่ชอบใจ แต่เราก็ยิ้มได้ ต้องฝึกยิ้ม อย่างนี้เป็นต้น อีกประการหนึ่ง
จงทำตนเป็นคนไม่ขี้เหนียว มีเมตตาอารี พอใจในการให้ทาน ปู่ปฏิบัติมาตามนี้ จึงเป็นพระอินทร์ได้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ย่าก็เหมือนกัน
เป็นคู่บารมีของปู่มาตลอด ทุกชาติเกิดแต่ละชาตินี่ ย่าเขาจองตำแหน่งนี้ไว้เสมอ



ตำแหน่ง เมียหลวงเป็นของเขาแน่ ทุกชาติต้องเป็นเมียหลวง

จุไรก็แปลกใจ จึงถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ แล้วท่านปู่มีเมียน้อยไหม

ท่านปู่ก็บอกว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ปู่ไม่เคยมีเมียน้อยลูก

จุไรก็ถามว่า ก็ในเมื่อไม่มีเมียน้อย ทำไมท่านย่าถึงต้องเป็นเมียหลวงด้วยล่ะ



ท่านปู่ก็บอกว่า ที่ปู่บอกว่าไม่เคยมีเมียน้อย ก็เพราะปู่ไม่เคยมีเมียคนเดียว แต่ละชาติ ๆ อย่างน้อยที่สุด ปู่ก็มี ๔ คน
บางชาติ เผลอ ๆ ลืมไป ลืมนับ ปู่ก็มีตั้งหลายสิบ บางชาติปู่มีเมียเกินร้อยคน
จุไรก็ชำเลืองไปหาท่านย่า ท่านย่าก็ยิ้ม

แล้วจุไรก็ถามว่า แล้วท่านย่าไม่หึงหรือเจ้าคะ



ท่านปู่ก็เลยบอกว่า เขาหึงหรือไม่หึง ปู่ก็ไม่มีเวลาดู เพราะปู่มีหน้าที่ต้องควบคุมภรรยา ให้อยู่ในกรอบ และขอบของการปฏิบัติงาน ภรรยาทุกคน ต่างคนต่างมีงานประจำ ฉะนั้น เธอก็ไม่มีเวลาจะหึงกัน ถ้าเขาจะทะเลาะกันบ้าง เขาจะด่ากันบ้าง เขาจะขัดคอกันบ้าง ก็ไม่ถึงปู่ เพราะปู่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ ไปอยู่คนนั้นนิด ไปหาคนนี้หน่อย แต่ละวัน ๆ ต้องเฉลี่ยความรักกัน ทุกวัน ให้ทั่วถึงกัน



จุไรก็สงสัยคำว่า เฉลี่ยความรัก หมายถึงอย่างไรเจ้าคะ

ปู่ก็บอกว่า ต้องไปเยี่ยมทุกคนเป็นประจำ เวลาไหนไป เยี่ยมคนไหน วันไหนไปเยี่ยมคนไหน คณะไหนต้องไปตามนั้น ไม่ขาด />
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านปู่ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบายหรือ



ท่านบอก ถ้าเวลาไหนป่วยไข้ไม่สบาย ก็แจ้งให้เขาทราบว่า เวลานี้ป่วย ต้องหยุดภารกิจชั่วคราว ก็เป็นอันว่า จุไรก็หมดสงสัย ถ้าขืนสงสัยไปจะมาก ก็เลยถามท่านปู่ท่าน

บอกว่า บุญกรรมอะไร ที่ทำให้ปู่มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ความจริง พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้รู้สึกว่าสวยสดงดงาม เป็นกรณีพิเศษ ดูสภาพเหมือนว่าเป็นแท่นหิน



แต่ก็เป็นหินที่แปลกแพรวพราวเหมือนเพชร แล้วก็นุ่มนิ่มเหมือนกับที่นอน นั่งก็สบาย ใหญ่ก็ใหญ่ นั่งสบาย

ท่านปู่ท่านฟังแล้วก็ยิ้ม ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี่ ความจริงปู่ไม่ได้สร้างเองในฐานะที่ปู่เป็นพระอินทร์



ปู่ก็มาอาศัยที่นี้ เพราะเป็นตำแหน่งที่อยู่ของพระอินทร์ แต่ความจริง ท่านที่สร้างอานิสงส์ได้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ คือ ท่านมฆมาณพ ท่านมฆมาณพนี่ ท่านเป็นพระอินทร์ก่อนปู่หลายสมัย เวลานั้นปรากฏว่า ท่านเป็นคนมีใจบุญปฏิบัติ วัตตบท ๗ ประการ มีการปฏิบัติบิดามารดาให้มีความสุข มีความกตัญญูรู้คุณอันนี้หลานรักจำไว้นะจ๊ะ



คนที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดานี่ท่านแนะนำอะไร ปฏิบัติตามท่านสอน ท่านห้ามอย่างไหน เว้นและปฏิบัติให้ ท่านมีความสุขเทวดาที่มีบุญเฉพาะมีความกตัญญูอย่างเดียวมาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก และบนสวรรค์อีก ๕ ชั้น เยอะแยะ มากมายเหลือเกิน
เขามีความดีอย่างเดียว เฉพาะความกตัญญูรู้คุณ รู้จักเอาใจพ่อเอาใจแม่



เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ให้มีความสุข นี่ก็ขอหลานรักฟังแล้วปฏิบัติตามนะหลานนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นพระอินทร์ จะไม่ได้เป็นชายาของพระอินทร์แต่ก็เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกได้ ท่านก็บอกว่า ท่านมฆมาณพท่านสร้างถนน ท่านสร้างถนนหนทางแล้วท่านก็มีความรู้สึกว่า ระหว่างกลางทาง จากต้นทาง ถึงปลายทาง ระยะทางมันไกล หลายกิโลเมตร



คนเดินแล้วก็ต้องเหนื่อย ท่านจึงคิดว่า ถ้ามีที่พักระหว่างทางจะเป็นการดี จึงได้ชวนพรรคพวกเพื่อนอีก ๓๒ คน จัดหาหินมาวาง ๆ วางเข้าให้เรียบร้อย เรียบจนกระทั่งเป็นที่นอนเล่นได้สบาย ๆ ตั้งใจให้คนเดินทางมา ได้พักผ่อนแรงที่เหน็ดเหนื่อย อานิสงส์ที่ทำที่พักระหว่างทางให้แก่บรรดาประชาชนที่เดินผ่านไปผ่านมา ปรากฏว่า บุญอันนี้เป็นเหตุให้เกิดบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์



เป็นอานิสงส์ เมื่อท่านตายจากความเป็นคนแล้ว ก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นที่ประทับของพระอินทร์ต่อ ๆ กันมา แต่ว่าการที่ท่านสร้าง สร้างด้วยหินธรรมดา ๆ แต่ว่าผลที่ได้มาก็คือ เป็นแก้ว เป็นเพชร แพรวพราวเป็นระยับ ตามที่หลานเห็น

จุไรก็ถามว่า การสร้างบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไม่ต้องลงทุนหรือเจ้าคะ รู้สึกว่าท่านไม่มีการลงทุนเลย



ท่านปู่ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลานั้นท่านมฆมาณพท่านเป็นชาวป่า ทุนรอนของท่านไม่มีท่านก็ใช้กำลังกายกำลังปัญญา ช่วยกันทำ ความจริงการบำเพ็ญกุศล ไม่จำเป็นต้องลงทุนเสมอไป ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้ทองเสมอไป ถ้าเรามี เราก็ใช้ ไม่มี เราก็ไม่ใช้ ถ้าเรามีเงิน มีทองจำกัด เราก็ยังไม่ใช้ ใช้กำลังแรงกาย แรงใจ ช่วยกัน



และอีกอย่างเพื่อน ๆ ของท่าน ๓๒ คน และก็ เอราวัณเทพบุตร และนายช่าง ต่างคนต่างก็มาเกิดเป็นเทวดาเหมือนกันหมด ก็รวมความว่า ท่านปู่ยืนยันว่า การสร้างที่พักของคนที่ขณะเดินทาง มีอานิสงส์อย่างนี้

แล้วจุไรก็ถามต่อไปว่า ต้นไม้ข้างหลัง ต้นไม้อะไรเจ้าคะ



ท่านปู่ก็บอกว่า เขาเรียกว่า ต้นปาริชาติ หรือ ในเมืองมนุษย์เขาเรียก ไม้แคฝอย คือ เป็นต้นไม้ที่มีร่มเงามาก

จุไรก็ถามท่านปู่บอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้นไม้ต้นนี้ ได้มาด้วยอานิสงส์อะไร ทำไมถึงแพรวพราวเป็นเพชรไปหมด ใบก็เป็นเพชร ดอกก็เป็นเพชร ก้านก็เป็นเพชร กิ่งก็เป็นเพชร ต้นก็เป็นเพชร ทุกอย่างเป็นเพชรหมด



ท่านปู่ก็บอกว่า อานิสงส์นี่ หลานรัก คือ ในสมัยท่านมฆมาณพ ในเมื่อท่านสร้างแท่นหินแล้ว ให้คนพัก ท่านก็มีความรู้สึกว่า ถ้าคนทั้งหลายมาพักตรงนี้ ถ้ามีร่ม มีเงาพัก มีความเย็น จะมีความสุขมากกว่านี้ จึงช่วยกันปลูกต้นแคฝอยขึ้นข้าง ๆ กับแท่นหิน ฉะนั้น
ต้นไม้ทิพย์ที่เรียกกันว่า ต้นปาริชาติ จึงเกิดขึ้นมา เพราะอานิสงส์ของการปลูกต้นไม้




จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีคนปลูกต้นไม้ หรือต้นไม้ที่มีอยู่แล้วก็เอาม้าหินก็ดี เอาม้าไม้ก็ดี ไปวางให้เขานั่ง
จะมีอานิสงส์เหมือนอย่างนี้ไหม


ท่านปู่ก็ยืนยัน บอกว่า ถ้าเจตนาเป็นอย่างนั้น ตั้งใจให้เป็นทาน ตั้งใจสงเคราะห์ให้คนมีความสุข จะเป็นระหว่างทางเดิน หรือที่พักธรรมดา ๆ



ในเขตบ้านก็ตาม ถ้าทำแล้วคิดว่า เป็นสาธารณประโยชน์ ใครจะนั่งพักก็ได้ มีอานิสงส์อย่างนี้เหมือกัน คือ ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา ไปเกิดเป็นนางฟ้า หรือเกิดเป็นพรหม หรือเกิดในนิพพานก็จะมีแท่น และก็มีต้นไม้อย่างนี้



จุไรก็ยิ้ม แล้วจุไรก็บอกว่า ที่บ้านหนูมีต้นไม้ มีต้นสะดือใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แต่ไม่ได้ปลูก เกิดเองอย่างนี้ แล้วก็เป็นร่ม เป็นเงาดี ถ้าหนูกลับลงไป หนูจะพยายามหาม้าหินมาวางไว้ให้ใครมานั่งก็ได้ อย่างนี้จะได้อานิสงส์อย่างนี้ไหม



ท่านปู่ก็บอกว่า นั่นแหละ เป็นอานิสงส์ใหญ่ไพศาลมาก ถ้าตายจากความเป็นคน จะมาเป็นเทวดาหรือเป็นนางฟ้าก็ตาม จะได้แท่นสวย ๆ อย่างนี้ จะมีต้นไม้สวย ๆ แบบนี้เป็นร่มเงา

จุไรก็คิดว่า อยากจะบันทึก ล้วงกระเป๋า ไม่มีสมุด



ท่านปู่ก็ถามว่า หนูล้วงอะไร เพราะบนนี้เครื่องแต่งกายของหนูทั้งหมด ไม่มีกระเป๋า

จุไรก็บอกว่า หนูเผลอไป หนูคิดว่ามีกระเป๋า หนูเอาสมุดพกมีไว้ในกระเป๋า เพื่อจดเวลาป้าน้อยบอกอะไร หนูเกรงจะจำหัวข้อไม่ได้




ท่านปู่ก็บอกว่า ไม่เป็นไร เวลานี้กายของหลานเป็นกายทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์ การจดจำจะดีมากเป็นกรณีพิเศษ จะไม่ลืมเลือน หลังจากนั้น จุไรก็มองไปเห็นวิมานของท่านปู่ใหญ่มาก

เธอก็ถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ วิมานของท่านปู่นี่ มีกี่ชั้น



ท่านปู่ก็ยิ้มแล้วก็บอกว่า วิมานของปู่มีพันชั้น

เธอก็ถามว่า ในวิมานของท่านปู่ มีนางฟ้ากี่คน

ท่านปู่ก็บอกว่า ในวิมานของปู่มีนางฟ้าที่เป็นบริวารจริง ๆ แสนคน

เธอก็ถามต่อไปว่า นางฟ้าที่เป็นบริวารนี่ ท่านปู่สถาปนาให้เป็นภรรยาบ้างไหม



ย่าฟังแล้วก็หัวเราะ ยิ้มชอบใจ ท่านปู่ก็ยิ้ม แล้วก็ตอบว่า หลานรัก บริวาร ก็ต้องเป็น บริวาร ชายาหรือภรรยาก็ต้องเป็นภรรยา


จุไรก็บอกว่า มนุษย์นี่เขามักจะสถาปนาคนรับใช้ให้เป็นแม่บ้าน แต่ความจริง คนรับใช้ทั้งหลาย หรือลูกจ้างก็ตามทีก็ไม่สวยอย่างนางฟ้าทั้งหลาย นางฟ้าทั้งหลายนี่ สวยสดงดงามมาก ทำไมท่านปู่ไม่สถาปนา



ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรักเอ๊ยที่เมืองเทวดานี่เขามีระเบียบ จะไปสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นไม่ได้ คนที่เป็นภรรยาก็ต้องเป็นภรรยา เขาเกิดมาเพื่อความเป็นภรรยา เขาเกิดมาเพื่อเป็นลูก เขาเกิดมาเพื่อการเป็นบริวาร

จุไรก็ถามถึงระเบียบของเทวดา



ท่านก็บอกว่า ถ้าบุคคลใดทำบุญบารมีไว้มากพอสมควร อย่างนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อย่างนี้ ถ้าตายจากความเป็นคน ก็เกิดมาเป็นเจ้าของวิมาน มีร่างกายเป็นทิพย์ มีบริเวณแวดล้อม แต่ถ้าบุคคลใด ถ้าต้องการจะเกิดเป็นสามีหรือภรรยา ของเจ้าของวิมาน ก็ไปเกิดบนที่นอนของเจ้าของวิมาน อย่างท่านย่านี่ พอมาเกิดปุ๊บปั๊บ อยู่บนที่นอนเลย



ถ้าเกิดบนที่นอนนี่ก็ถือว่าเป็น ภรรยาของเจ้าของวิมานหรือเป็นสามีของเจ้าของวิมาน

จุไรฟังแล้วก็ยิ้ม จุไรก็ถามต่อไป ถ้าอย่างนั้น มีลูกไหมเจ้าคะ

ท่านปู่ก็ยิ้ม ท่านย่าก็ยิ้ม ก็บอก มี ลูกก็ต้องมี ลูก จุไรก็ถามว่า บนดาวดึงส์นี่ มีโรงพยาบาลไหม มีหมอไหม มีหมอคลอดบุตรไหม เพื่อช่วยการคลอดบุตร ท่านปู่ ท่านย่าหัวเราะชอบใจ



ท่านก็บอกว่า ที่นี่ไม่มีหมอ ลูก จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เวลาตั้งครรภ์ จะฝากครรภ์ที่ไหน ท่านก็บอกว่า เทวดา กับนางฟ้าเขาไม่มีครรภ์ คือนางฟ้าไม่มีท้องโตเหมือนมนุษย์ จุไรก็ถามต่อไปว่า ถ้าไม่มีท้องโต มีลูกได้อย่างไร แล้วลูกจะออกมาทางไหน ลูกจะอยู่ที่ไหน



ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ปู่จะเล่าให้ฟัง ถ้าบุคคลใดที่จะเกิดเป็นลูกชายก็ตาม ลูกหญิงก็ตาม ของเทวดา หรือของนางฟ้าองค์ใด เวลาตายจากความเป็นมนุษย์ก็มาเกิดปุ๊บปั๊บ บนตักของเทวดาหรือนางฟ้าองค์นั้น ก็แสดงว่า เทวดา หรือนางฟ้าองค์นั้นมาเป็นบุตรหรือลูกสาว ลูกชายของเทวดา หรือนางฟ้าที่เป็นเจ้าของวิมาน



จุไรก็บอกว่า โอ๋…หนูแปลกใจ ทำไมถึงไม่มีท้องเหมือนมนุษย์ ทำไมไม่ต้องท้องโต มันเกิดเอง ถ้าอย่างนั้นเด็กเกิดใหม่ ๆ จะต้องมีหมอคอยประคับประคองไหม จะมีพี่เลี้ยงอุ้มไหม ท่านปู่ก็บอกว่า ที่เมืองเทวดานี่ลูกรัก หลานรัก เขาไม่มีคำว่า เด็ก เกิดมาปุ๊บปั๊บก็เป็นหนุ่มเป็นสาวทันที
ร่างกายก็ไม่เปลี่ยนแปลง หนูก็ดูปู่ซิ ปู่เกิดครั้งหลังนี้ความเป็นพระอินทร์ อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปีเศษ ปู่แก่ไหม



จุไรมองแล้วก็หาความแก่ไม่ได้ รู้สึกว่าหน้าของปู่จะแก่กว่าจุไรนิดหน่อย จะเทียบกับผู้ชายในเมืองมนุษย์ที่อยู่ในร่มเงา ก็เห็นจะเป็นอายุประมาณ ๑๕–๑๖ ปี เท่านั้นเอง ท่านย่าก็เหมือนกัน ก็บอกว่าไม่แก่



ท่านปู่ก็เลยบอกว่า ปู่เกิดมาครั้งแรกก็เท่านี้ แล้วต่อไปเบื้องหลังอีกนานเท่าไรก็ตาม ปู่จะไม่มีคำว่า แก่ อายุมากน่ะ มากได้ แต่แก่ไม่ได้ นางฟ้า เทวดาทุกองค์ก็มีสภาพเหมือนกัน

จุไรฟังแล้วก็ชอบใจ แหม…อยากจะเกิดเป็นนางฟ้า เป็นเทวดา เพราะว่าไม่ต้องกินนมสด ไม่ต้องกินนมกระป๋อง ไม่ต้องคลานต้วมเตี้ยม
ไม่ต้องร้องเมื่อเวลาหิว



ท่านปู่ก็บอกว่า อาการอย่างนั้นไม่มีแก่เทวดา และนางฟ้า จุไรเธอก็ถามต่อไปว่า แล้วนางฟ้าที่เป็นบริวารล่ะ นางฟ้าที่เป็นบริวารของท่านปู่นี่ตั้งแสนคน เธอมาเกิดได้อย่างไร แล้วมาจากไหน คำว่า บริวาร แปลว่า พวกพ้อง หรือลูกจ้าง หรือว่าคนรับใช้ ท่านปู่ไปรับคนรับใช้มาจากไหนมากมาย



ปู่ก็บอกว่า คำว่า บริวาร มันเป็นอย่างนี้นะ ปู่จะเล่าให้ฟัง ถ้าบุคคลใดตายจากเมืองมนุษย์ไปเกิดในเขตของเทวดาหรือนางฟ้าองค์ใด เขาผู้นั้นก็ต้องเป็นบริวารของเทวดา หรือนางฟ้าองค์นั้น ถ้าเกิดนอกเขตวิมาน แต่ใกล้วิมานของเทวดา หรือนางฟ้าองค์ไหน ก็เป็นบริวารของเทวดา หรือนางฟ้าองค์นั้น ถ้าเกิดระหว่างกลาง คือว่า จะวัดวิมานโน้น วิมานนี้ ก็เท่ากันหมด



แต่ดูว่าถ้าหันหน้าไปทางวิมานไหน ก็ต้องเป็นบริวารของเทวดา หรือนางฟ้าวิมานนั้น ทีนี้คำว่า บริวาร นี่ไม่ได้หมายความว่า ลูกจ้างหรือขี้ข้าเสมอไป บริวาร หมายความถึง พวกพ้องคนที่อยู่ร่วมกัน คนที่อยู่ใกล้เคียงกัน หรือเป็นพวกเพื่อนกัน แม้แต่อยู่คนละวิมาน ก็เป็นเพื่อนกันได้



จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี มีบริวารมาก ๆ อยากจะทราบว่า บริวารทุกคนน่ะ มีงานอะไรจะทำ


ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก งานของเทวดาไม่มีเลย งานจริง ๆ ไม่มี อย่างต้นไม้นี่ก็ไม่ต้องรดน้ำ บริเวณสถานที่ทั้งหมด แพรวพราวเป็นระยับ ก็ไม่มีผง ไม่มีละออง



ไม่ต้องกวาด รวมความว่า งานของเทวดา งานของนางฟ้าจริง ๆ ไม่มี

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้างานไม่มี พวกนั้นไม่รำคาญตายหรือเจ้าคะ ท่านก็บอกว่า ไม่รำคาญ เป็นภาวะของเทวดา หรือภาวะของนางฟ้า ทุกคนมีความสุข ทุกคนไม่มีกังวล

จุไรก็ถามต่อไปว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วอย่างนี้



ถ้ามีญาติหรือมีพวก มีพ้อง ที่ยังไม่ตายจากความเป็นคน เขาจะมีความรู้สึกนึกคิดถึงบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นบ้างไหม

ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก ทุกคนมีสภาพเหมือนกัน ถ้าเขามีความสุข เขาก็ห่วงคนที่ยังมีความทุกข์ คือ
คนที่เกิดเป็นมนุษย์ทุกคน มีความทุกข์ทั้งหมด ไม่มีใครที่มีความสุขจริง



คือ ทุกข์จากความหนาว ทุกข์จากความร้อน ทุกข์จากหิว ทุกข์จากความกระหาย ทุกข์จากความป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากความแก่ ทุกข์จากความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกคนมีทุกข์หมด แต่เทวดาทั้งหมดที่เกิดมาแล้ว ก็มีความเป็นห่วง อยากจะช่วยให้คนทั้งหลายมีความสุข ตามกำลังของตน



เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ปู่กับหลานคุยกันไม่ทันจะจบหมดเวลาพอดี ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน



สวัสดี


ทำนองเพลง ลาวม่านแก้ว




 

Create Date : 30 กันยายน 2554
0 comments
Last Update : 30 กันยายน 2554 0:34:43 น.
Counter : 1367 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


หมึกสีดำ
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หมึกสีดำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.