<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
30 พฤษภาคม 2551
 
 
วันเวลาของชีวิต...ความจริงที่ทุกคนรู้แต่ไม่กระหนัก

คนเราเกิดมาอาจจะไม่มีความเท่าเทียมกันในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานะความเป็นอยู่ โอกาสในชีวิต ตลอดจนรูปร่างลักษณะบุคลิกภาพเฉพาะตน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนได้เราเท่าเทียมกัน คือเวลา ปัญหาอยู่ที่ว่าใครจะตระหนักถึงคุณค่า ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีประสิทธิภาพมากที่สุด...

1 ปี = 365 วัน

5 ปี = 1,825 วัน

10 ปี = 3,650 วัน

20 ปี = 7,300 วัน

40 ปี = 14,600 วัน

60 ปี = 21,900 วัน

70 ปี = 25,550 วัน

ถ้าคิดอายุความสามารถของร่างกายที่ 60 ปี ซึ่งเป็นอายุที่ต้องเกษียณอายุตัวเองจากการทำงาน ถ้าเราเริ่มทำงานที่อายุ 21 ปี คนเราจะมีเวลาทำงานประมาณ 14,600 วัน หรือ 2,080 สัปดาห์ และถ้าเราใช้เวลาพักผ่อนไป 1/3 ของวัน (8 ชั่วโมง/วัน) ในระยะเวลา 40 ปี เราจะใช้เวลาพักผ่อนไปถึง 4,867 วัน เหลือเวลาทำสิ่งต่าง ๆ เพียง 9,733 วัน

คนเราไม่ได้คิดว่าสักวันหนึ่ง ชีวิตจะสิ้นสุดลง จึงปล่อยโอกาสอันดีงามให้ผ่านไปอย่างไม่แยแส ในวัยหนุ่มสาวที่แข็งแรงกลับปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ในเวลาเรียนที่มีค่าอย่างมากกับอนาคตของตนเอง กลับมองออกไปนอกหน้าต่าง สร้างวิมานในอากาศปล่อยให้คำสอนของครูxml:namespace prefix = st1 />เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ในช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การพักผ่อน กลับเที่ยวเตร่จนดึกดื่น หรือดื่มจนเมามาย แล้วตื่นขึ้นมาปวดหัวหรือตื่นสายในวันรุ่งขึ้นหมดแรงที่จะคิดสร้างสรรค์ผลงาน

จวบจนแก่ชรา อายุมากขึ้น ภาพอดีตความหลังที่ผ่านมาย้อนให้คิดคำนึงแม้จะพยายามไขว่คว้า กาลเวลาที่ผ่านไปก็ไปก็ไม่อาจหวนคืน

คนเราเกิดมาทุกคนกำลังเดินทางไปสู่จุดสุดท้ายของชีวิต นั่นคือจะต้องจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน จะเร็วหรือช้าเท่านั้น ไม่มีใครปลีกพ้นกฎของธรรมชาติข้อนี้ไปได้ คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ก็จะเจริญเติบโตไปตามช่วงวัยต่าง ๆ ในขณะที่อายุเริ่มจะมากขึ้น ความแข็งแรง และความสามารถทางด้านร่างกายก็เริ่มลดลง โรคภัยไข้เจ็บก็จะมาเยี่ยมเยียน ซึ่งคำภีร์อินเดียโบราณแบ่งช่วงวัยและอายุไว้ดังนี้

1.วัยแรกเกิดถึง 10 ปี เป็นวัยเดียงสา พ่อแม่ต้องฟูมฟักเลี้ยงดู

2.อายุระหว่าง 11-20 ปี เป็นวัยอยากเล่นอยากเรียนรู้ กำลังเจริญเติบโต

3.อายุระหว่าง 21-30 ปี เป็นวัยที่เรียกว่าชีวิตสวยงาม ร่างกายแข็งแรง

4.อายุระหว่าง 31-40 ปี เป็นวัยแห่งการทำงาน ยังมีเรี่ยวแรงกำลังวังชา

5.อายุระหว่าง 41-50 ปี เป็นวัยแห่งการใช้ปัญญา และเริ่มที่จะแก่

6.อายุระหว่าง 51-60 ปี เป็นวัยที่ร่างกายเสื่อมถอย

7.อายุระหว่าง 61-70 ปี เป็นวัยที่ร่างกายเสื่อมถอยมาก

8.อายุระหว่าง 71-80 ปี เป็นวัยที่ใกล้ชราภาพมากแล้ว หลังเริ่มงอ

9.อายุระหว่าง 81-90 ปี เป็นวัยหลง ๆ ลืม แสดงถึงสังขารที่เสื่อมถอยและเริ่มจะทักทายความตาย

10.อายุระหว่าง 91 ปี ขึ้นไป เป็นวัยที่หมดความรู้สึกหรือตายด้าน ทุกกรณี

ที่กล่าวมาเป็นช่วงของชีวิต ที่ทุกคนจะต้องประสบพบเจอหากมีชีวิตยืนยาวแต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่เกิดจะมีชีวิตยืนยาวเท่ากันทุกคน หลายคนต้องจากไปก่อนวัยอันควร แม้ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ไม่สามารถที่จะร้องขอได้ เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เวลาที่ผ่านไปหรือสูญเสียไป จะสูญเสียตลอดกาล เพราะฉะนั้นจงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่เกิดอะไรขึ้นมาเลย


ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ประทานโอวาทครั้งสุดท้าย (ปัจฉิมโอวาท) เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมและฉิบหายเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวง อันเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และประโยชน์แก่ผู้อื่นให้บริบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด”


เพราะเวลาไม่อาจหวนคืน เราจึงต้องตระหนักถึงคุณค่าของเวลา และรู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเรามีชีวิตเหลืออีก 1 ปี หรือ 36 วันเราจะใช้มันอย่างไร อะไรบ้างที่เรายังไม่ได้ลงมือทำ หรือเรามาลองคิดถึงเวลาที่เหลืออยู่ของเรา หากคิดที่อายุขัย 60 ปี


วันเวลาที่เหลือในชีวิต (ถ้าคิดที่อายุขัย 60 ปี)

ถ้าตอนนี้เราอายุ 20 ปี เวลาที่เหลือคือ 14,600 วัน

ถ้าตอนนี้เราอายุ 30 ปี เวลาที่เหลือคือ 10,950 วัน

ถ้าตอนนี้เราอายุ 40 ปี เวลาทีเหลือคือ 7,300 วัน

ถ้าตอนนี้เราอายุ 50 ปี เวลาที่เหลือคือ 3,650 วัน

ถ้าตอนนี้เราอายุ 55 ปี เวลาที่เหลือคือ 1,825 วัน

ถ้าตอนนี้เราอายุ 59 ปี เวลาที่เหลือคือ 365 วัน


สภาพชีวิตที่ทุกคนต้องประสบพบเจอคือ การเกิด แก่ เจ็บ และตาย เนื่องจากชีวิตของคนเราสั้นนัก เวลาผ่านไปไม่กี่ปีก็แก่ชรา วัยหนุ่มสาวเป็นวัยที่ร่างกายและจิตใจแข็งแรง ด้วยเหตุนี้หนุ่มสาวจึงควรสนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างจริงจัง ไม่ปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไร้จุดหมาย เมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำงานหรือดำรงชีวิตต่อไปในสังคม ก็จะอยู่ได้อย่ามีความสุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น


ข้อคิดท้ายสุดสำหรับชีวิตภายไต้กรอบของเวลา จากคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้กล่าวไว้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตามจะมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่ 3 ประการ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา


อนิจจัง คือความไม่เที่ยง มีความเป็นแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ มีความเจริญ ก็มีความเสื่อมถอย


ทุกขัง คือความเป็นทุกข์ เป็นการคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องแตกดับและเสื่อมสลายไป


อนัตตา คือความไม่มีตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ เช่น ไม่ให้เจ็บป่วย ไม่ให้แก่ชรา หรือล้มตาย


gotoparttime go to the better life.
แหล่งรวมความรู้สำหรับการทำธุรกิจเครือข่าย และงาน parttime ระบบ affiliate network marketing ที่มีระบบการทำงานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต

สำหรับผู้ที่ต้องการใช้เวลาที่เหลืออยู่ เพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง

//www.gotoparttime.com



Create Date : 30 พฤษภาคม 2551
Last Update : 30 พฤษภาคม 2551 15:22:04 น. 2 comments
Counter : 6587 Pageviews.

 
วันนี้ หรือ พรุ่งนี้ จะเกิดอารัยขึ้นนะ
แต่จะทำเวลานี้ให้ดีที่สุด จะพยายามจ้า
ขอบคุณที่เตือนสติ รักแม่มากมาย


โดย: jar_pnoom วันที่: 30 พฤษภาคม 2551 เวลา:15:36:33 น.  

 
ตระหนักมากเลยค่ะตอนนี้ เพราะกำลังคิดว่าทำไมเราไม่ทำนั่น ทำนี่ ให้มันเสร็จเรียบร้อยเสียทีนะ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวัน ๆ

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ นี้ค่ะ


โดย: fulgurant วันที่: 31 พฤษภาคม 2551 เวลา:6:13:41 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

p_pyai
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สนใจในศาสตร์ทุกแขนง ชอบศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศาสนา และเชื่อมั่นในมิตรภาพที่จะสร้างสิ่งดีงามขึ้นในสังคม
[Add p_pyai's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com