หลายท่านคงจะเคยไปเยือนหมู่บ้านนาจอก ที่จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของจังหวัดนครพนม โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2542 ที่ได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างหอการค้าจังหวัดนครพนม ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครพนม และพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Museum of Ho Chi Minh: MHCM) ของเวียดนาม ให้จัดตั้งหมู่บ้านนาจอกนี้เป็นหมู่บ้านมิตรภาพไทย -เวียดนาม
แต่น้อยคนที่ทราบว่าบริเวณอันกว้างใหญ่สวยงามของพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านมิตรภาพฯ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในปัจจุบันนั้นเดิมเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้านก่อตั้งในยุคที่เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเลยทีเดียว
ขอสังเขปประวัติโรงเรียนบ้านนาจอก (แรงประชาชน) บางช่วงที่น่าสนใจดังนี้
ปี พ.ศ. 2474 ก่อตั้งขึ้นโดยท่านหมื่นมนัสประชา (ผู้ใหญ่บ้านนาจอก) และนายเจ้ (ผู้ใหญ่บ้านต้นผึ้ง) ด้วยการคิดและร่วมแรงร่วมใจกันของชาวบ้าน จึงได้ชื่อจากท่านอำมาตย์เอกพระยาประมวญ วิชาพูล ผู้ทำการแทนเสนาบดีกระทรวงธรรมการว่า "โรงเรียนประชาบาลตำบลในเมือง 2 (แรงประชาชน)"
ปี พ.ศ. 2475 วันที่ 15 กันยายน โรงเรียนเปิดทำการเป็นวันแรก มีนายบำราญ วงศ์กาฬสินธุ์เป็นครูใหญ่ และนอกจากนี้ยังมีหลักฐานสำคัญคือสมุดจดหมายเหตุรายวันที่กล่าวถึงหมื่นมนัสประชาผู้ก่อตั้งโรงเรียนว่าได้มาร่วมในวันเปิดเรียนไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร
ปี พ.ศ ใดไม่ปรากฎ โรงเรียนเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนประชาบาลตำบลหนองญาติ 2 (แรงประชาชน)"
ปี พ.ศ. 2496 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนให้ตรงกับชื่อหมู่บ้านว่า "โรงเรียนบ้านนาจอก (แรงประชาชน)"
ปี พ.ศ. 2542 ทางราชการได้โอนย้ายครูและนักเรียนที่มีเหลืออยู่น้อยมากไปรวมกับโรงเรียนเมืองนครพนม (บ้านภูเขาทอง)
ปี พ.ศ. 2543 โรงเรียนบ้านนาจอกได้ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ เนื่องจากจำนวนนักเรียนเหลือน้อยมากเพราะชาวบ้านนิยมส่งบุตรหลานเข้าไปเรียนในตัวเมืองซึ่งการเดินทางสะดวกและใช้เวลาไม่นาน เหมือนในอดีต จึงถึงเวลาปิดตำนานโรงเรียนที่สร้างขึ้นจากแรงและความร่วมมือของชาวบ้านนาจอกและชาวต้นผึ้งมาพร้อมกับการก่อตั้งหมู่บ้าน
ปี พ.ศ. 2547 หลังจากที่โรงเรียนได้ปิดร้างมาหลายปี จึงได้มีโครงการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านมิตรภาพไทย -เวียดนามขึ้น โดยทางราชการได้ใช้สถานที่โรงเรียนบ้านนาจอกเดิมทั้งหมด แต่มีการเรื้ออาคารไม้ไป 2 หลัง เหลือไว้แต่อาคารปูนปรับปรุงเป็นอาคารหลักของพิพิธภัณฑ์ และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีของไทย และประธานาธิบดีของเวียดนามในขณะนั้นได้มาร่วมกันเปิดหมู่บ้านแห่งนี้
จากโลกใบเล็กของนักเรียนที่อยู่คู่กับหมู่บ้านมาแต่แรกสร้าง ทำหน้าที่สร้างเยาวชนให้มีความรู้เพื่อก้าวไปใช้ชีวิตบนโลกจริงใบใหญ่นานเกือบ 70 ปี โรงเรียนก็จำเป็นต้องปิดตัวลงและถูกทิ้งร้างให้เดี่ยวดายเงียบเหงาอยู่หลายปี จนมีเหตุให้ถูกปลุกให้ฟื้นตื่นขึ้นมา ทำหน้าที่ใหม่ มีลมหายใจใหม่ บทบาทใหม่ เพื่อจะได้ยืนหยัดอยู่คู่กับหมู่บ้านนาจอกไปอีกนานแสนนาน
และสถานที่แห่งนี้จะยิ่งทวีค่าและความสำคัญมากขึ้นหากการเปิดประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 ที่กำลังจะมาถึง ผมเชื่ออย่างนั้น !
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อ้างอิงจากงานวิจัยเรื่อง การสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนไทยเชื้อสายเวียดนามบ้านนาจอกของ จตุพร ดอนโสม ซึ่งตีพิมพ์ โดยศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2555