ลมหายใจของใบไม้
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
2 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
:::ผลิ-หล่น..ร้อน-ฝน-หนาว:::



เมษายน 2551
ด้วยเหตุผลหลายหลายอย่าง
ฉันตัดสินใจเช่าห้องพัก อยากจะเรียกว่า"คอนโด" กับเขามั่งแต่มันไม่ใช่
ห้องพักที่ข้างหน้าติดถนนสี่เลนสายหลัก ข้างหลังติดตลาดสดเทศบาล ชีวิตเปลี่ยนไปแต่สนุกดี..
มองคนเดินผ่านไปมาสารพัดรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะขลุกอยู่ข้างในมากกว่า
ข้างบ้านซ้ายเป็นครอบครัวเล็กเล็กขนาดใหญ่ เอะยังไง.. ก็มีลูกเล็กเล็กหลายคนงัย
ข้างขวาเป็นครอบครัวใหญ่ขนาดเล็ก ก็ลูกเล็กอีกแหล่ะ แต่อยู่หลายคนรวมทั้งญาติผู้ใหญ่อบอุ่น
ตื่นเช้าโดยปกติอยู่แล้วไม่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงปลุกข้างที่พักขนาบข้าง
เฮ่อ ..ฉันรอดตัว...ที่จอดรถเหรอ สบายมากจอดข้างถนนเลย
ไปทำงานแต่เช้าไม่ต้องกลัวว่ารถจะสัมผัสแดดเปรี้ยง
เสาร์อาทิตย์ค่อยเข้ามาเก็บในช่องเก็บรถด้านหน้า
เพื่อนบ้านแสนจะน่ารักมากช่วยฉันคลุมรถทุกวันบางวันมีผลไม้มาฝากด้วย
(กี่คนจะเคยได้กินลูกหว้าสดๆ)
"เพือนบ้านดีเป็นศรีแก่ตัว" ฉันหยอด ผูกมิตรนะ..

เมื่อกลางเดือน..ฉันต้องผวาลุกขึ้นจากที่นอน เพราะเสียงแม่เด็กกริ๊ดๆๆๆจนทนไม่ได้ ไม่รู้สาเหตุ
แต่ฟังแล้วเหมือนจะอาการหนัก..ฟังเหมือนเลือดจะท่วมตัวเด็ก
ฉันมุดจากที่พักพาเด็กไปโรงพยาบาลทั้งที่มองไม่เห็นแผล
แต่ตัวแม่และเด็กทั้งสองคนร้องไห้เสียงดัง พร่ำรำพัน

"หนูขอโทษ..หนูจะไม่ทำอีกแล้ว" เสียงลูกสาวคนโตวัยสัก 9 ขวบอ้อนวอนแม่ที่พิร่ำพิไรอยู่
ลูกคนเล็กร้องไห้กว๊ากๆๆ ฉันถอยรถเหยียบกระถางว่านมหาโชคแตกอย่างคนไม่มีสมาธิ
เป็นอะไรยังไม่รู้เลย..พยายามจะดูบาดแผลเด็กก้อไม่มี
ตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลแบบเพื่อนบ้านที่ดี
ระหว่างทางเธอสงบ ถาม "ลูกเป็นอะไร.."
" ไม่รู้ค่ะ..แต่สงสัยขาจะเข้าซี่ล้อจักรยานที่พี่สาวขี่เล่น"
เอ่า..นี่แค่สงสัยน่ะ..ฉันบ้าจี้โดยการแพร่เชื้อทางอากาศ
ถึงโรงพยาบาลแล้วไม่มีแพทย์ที่ตึกฉุกเฉิน พยาบาลมองมองแล้วสั่งยา
พึมพำบอกแม่เด็ก "ดูอาการก่อน พรุ่งนี้มาใหม่"
ฉันปราดไปช่องจ่ายยา..ง่วงจัดแล้วอยากนอน
เห็นยาเม็ดสีขาวในถุง นึกแล้วเชียว..พาราเซ็ท ฯ เหอะๆ..
เดือนที่สองของชีวิตคนตึกแถว
ไม่น่าเชื่อว่า..ชีวิตของฉันก็มีช่วงนี้กับเขาด้วย..เอาน่ะ..มันคุ้มกว่าจ่ายค่าน้ำมันวันละสามร้อย
ไม่นับรวมถึงค่าสึกหรอสภาพรถและความเสี่ยงของชีวิตไปกลับวันละสองชั่วโมงบนท้องถนน
เช้านี้ตื่นสายหน่อยอยากพัก จะไม่เข้าที่ทำงาน ปลอดงานบ้าน นอนมองเพดานนิ่งนิ่ง
เสียงเครื่องพ่นยุงแว่วมาฉันกระโจนผลุงจากที่นอน
ก็รู้ดีฉันแพ้ยาพ่นยุง ..จะออกไปข้างนอกคงไม่ทัน
วิ่งออกหลังบ้านทั้งชุดนอนตั้งใจไปหลบหายใจระเบียงหลังนึกไม่ถึงรถอ้อมมาฉีดด้านหลังที่เป็นตลาดสด
ประชาชนพลเมืองแตกกระจาย ทำไมทำงานกันอย่างนี้..เหมือนไม่มีการวางแผนล่วงหน้า. .
ฉันถอยเข้าบ้านไปออกประตูหน้าที่เปิดยากเย็นเพราะไม่คุ้นเคย
ก้มถอดกลอนรีบร้อน เงยหน้าขึ้นโขกเปรี้ยงกับเหลี่ยมตู้เก็บรองเท้า!!
จังหวะที่ประตูเปิด..เด็กหญิงข้างบ้านวิ่งมาหาเหมือนรออยู่แล้ว ร้องลั่น" เลือดเต็มเลย."..
ฉันเข่าอ่อน..เจออีกจนได้ กระพริบตาถี่ๆกับความมึนยังชาอยู่ไม่รู้สึก..
จนเห็นมือตัวเองเลือดกระจาย หัวคิ้วแตก..
รู้แล้วทำไมมีคำเปรียบเป็นสำนวนไทย "เลือดเข้าตา.."
ก็มันไม่มีโอกาสเป็นบ่อยๆล่ะซี อย่างน้อยขนคาและคิ้วจะกันไว้เป็นด่านแรก
เออ..แต่น้ำออกตานี่เอาอะไรมากั้นดี..
อ่อ..ใจงัย ..ทุกอย่างอยู่ที่ใจ..กำแพงใจกั้นได้ทุกอย่าง
รู้หมด แต่ไม่ทำ..เกลียดตัวเองจริง.

 





กันยายน 2251
ฝนพรำ..อากาศสลึมสลือ..ฉันปิดปากหาวกว้างกว้างอย่างมีกิริยา
ครึ่งปีของการการเป็นคนกล่อง ครึ่งปีแล้วสำหรับชีวิตคนตึกแถว..เบื่อแล้ว..
อะไรก็พอทนไหว กลิ่นอาหารสารพัน ควันบุหรี่..
เสียงบ่นด่าลูกเรื่องเดิมเดิม สำนวนซ้ำซาก รันทดแทนกระถินอ่อน (นามสมมุติ)
"พี่สาว"จะพยายามเสนอที่พักให้ใหม่ไกลกว่าเดิมนิด สงบอย่างใจ
แต่ฉันล้ากับการขนย้ายถ่ายเท ฉันขยาดกับการอพยพแล้ว
มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเลย ฉันเหนื่อยกับการเปลี่ยนแปลง
หรือฉันเริ่มกลัวความเงียบก็ไม่รู้ซี กลัวความคิดตัวเองมากกว่ามัง
ความคิดของคนเราน่ากลัวนะ
ความคิดในคืนวันที่ว่างเปล่า.. น่ากลัว.. บางทีฉันกลัวใจตัวเอง..
อั้ยที่ฉันทนไม่ได้ ไม่ใช่รูปเสียงกลิ่นรส ฉันทนจิตวิญญานตัวเองไม่ได้ต่างหาก
วันนี้ฉันรู้สึกอยากกลับบ้าน "บ้านของฉัน"
ดัดจริตอะไรขึ้นมา ? ไม่รู้ซี ตลอดชีวิตที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นใครสำคัญเท่าตัวเอง
ฉันคนรักคนอื่นไม่เป็น
เอ่อ..หรือวันนี้ฉันพบใครบางคนที่ทำให้ฉันอยากมีบ้าน
บ้าไปแล้วมั้ง..ขับรถกลับบ้านอย่าง "ถวิล"
อยากกลับไปนั่งไปนอนในมุมเดิมเดิมที่เป็นเคยเป็นเจ้าของ
ห้องของฉันถูกจัดไว้ให้ใหม่งดงาม พร้อมเสมอสำหรับการคืนรังของฉัน
รักพี่กลางกับน้องน้อยจัง แต่ฉันกลับไม่พร้อม..ฉันใช้ชีวิตอิสระจนเคยตัว
เพราะที่พักใหม่ทำให้ฉันเหงากลางฝูงชน
เลยต้องยกเครื่องเสียงและรีเสริฟเวอร์สัญญานโทรทัศน์ไปด้วย
เข็ดจากคราวก่อนเอา pentax z1 วางเบาะหลัง
เลี้ยวโค้งที่สามสิบแปด เจอท้ายรถส่งน้ำแข็งเบรคกระทันหัน
ส่งเจ้ากล้องตัวโปรดเปล่าเปลือยร่วงไปกระแทกพื้นเดี้ยงซ่อมไม่เสร็จ
คราวนี้เลยต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ทุกอย่างส่งเข้าหีบห่อแพคอย่างดี
หันมาดูรถแล้วสังเวชตัวเอง..เต็มไปหมดเลย ..
โทรทัศน์ รีซีบเวอร์ เครื่องเล่น DVD โน้ตบุ้คตัวใหม่
เอ่อ..ย้ายบ้านระลอกที่สิบนั่นแหล่ะ..บ้าหอบอิเล็คทรอนิค..!
กับสายฝนจากฟ้าผืนเดียวผืนเดิม ฉันห่วงของมากกว่าห่วงเวลา
ย่องมาต้วมเตี้ยม..ต้วมเตี้ยม
ถนนเสี่ยงความลื่นเพราะยังซ่อมไม่เสร็จ ซ่อมมันไม่มีวันเสร็จ!
กันยายนนอกจากจะเป็นเดือนละลายทรัพย์แล้ว
ฉันยังพบว่ามันเป็นเดือนละเลงทุกข์คนเดินถนน
ขุดขุดถมถมกันอยู่นั่นแหล่ะ วัยรุ่นเซงงเรยย
ถึงที่พักต้องถอยหลังเข้าเพราะฝนตกน้ำเจิ่งนองไม่มีที่วางของ
ตั้งอกตั้งใจจอดแบบเปิดท้ายก็จะทะยอยส่งของเข้าบ้านได้เลย
ลงมาเปิดประตู ประตู..ประตู..อ่..าต้องไขกุญแจ กุญแจ
ยุ่งแล้วซี ฉันวางพวงกุญแจไว้ที่เดิมเดิมที่เคยเป็นเจ้าของ..
58 กิโลเมตรที่เพิ่งต้วมเตี้ยมต้วมเตี้ยมจากมา ฉันวางกุญแจดอกสำคัญไว้ที่นั่น!
รู้สึกเหมือนมีควันออกมาจากจมูก ทั้งที่อากาศเย็น
มันกี่ครั้งแล้วเนี่ยที่ฉันต้องกลับหลังหัน หันหลังกลับไปหยิบนั่นหยิบนี่จากที่ที่เพิ่งจากมา
ไม่ใช่หลงลืมนะ ไม่แก่นะ ..อย่านะ..อย่าห้าหาวนะ
ฉันกำลังห่ามห่าม ไม่แก่นะ..อย่าหยาบคาย ฉันห่ามห่าม รอเวลาสุกงอม..หอมหวาน..
คนข้างบ้านเข้ามาด้อมด้อม สงสัยฉันคิดอะไรมั๊ง
เห็นฉันจอดอยู่นานไม่เข้าบ้านสักทีเดินมาถามได้ความแล้วเดินหายไป
กลับมาอีกครั้งพร้อมไขควงเล็กเล็กและอุปกรณ์น่าตาแปลก
เขาเปลี่ยนกุญแจบ้านให้ฉัน คนหน้าตาดำดำ ผิวกร้านแดด
พูดเหน่อเหน่อไม่มีคำลงท้าย ที่มาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่ เขาแก้ปัญหาให้ฉัน
จริงจริงแล้ว ถ้าตัดเรื่องความรำคาญจุกจิกกับเรื่องเล็กน้อย
ที่ตรงนี้ก็นับว่าฉันยังมีเพื่อนบ้านที่ดี อย่างน้อยมีคนสอดส่องดูแลฉันตามธรรมชาติมนุษย์
นับเป็นเรื่องดีทีเดียวสำหรับฉัน เอาเถอะนะ
เพียงที่ซุกหัวนอนของหนึ่งชีวิตที่ไม่รู้จะแตกดับลงวันไหน
ฉันยืดเวลาอยู่ที่ทำงานอีกนิด ลดเวลาอยู่ที่พักอีกสักหน่อยก็ลงตัว
อยู่นานไปก็คงชินไปเอง คิดได้อย่างนี้สบายใจ..
สุภาษิต คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก ยังใช้ได้เสมอ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำอะไร ให้ใจเราร่มเย็นก็เป็นพอ

 




กรกฎาคม 2552
มีโอกาสไปทำบุญตามลำพัง วัดเดิมที่มีพระปฎิบัติรูปเดียวที่นับถือศรัทธา
ถนนเส้นทางเดิมถูกปรับใหม่สวยงามราบรื่นเขียวขจี
หมู่บ้านเล็กๆ พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งบริเวณวัดสะอาดร่มรื่น สิ่งก่อสร้างเพิ่มขยายเติบโต
เวลาผ่านไปเร็วจริง เผลอแว่บเดียวป่าไม้หลังหอฉันร่มครึ้ม
พระลูกวัดที่ไต่เต้ามาตั้งแต่เป็นเณรกับไก่แจ้ฝูงใหญ่เต็มลานวัด
น้ำตารื้นขอบตา เมื่อท่านถาม "มาคนเดียวหรือ?"
เป็นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่เพียงลำพัง
ฉันให้ความเงียบเป็นคำตอบ
ถวายสังฆทานพร้อมปัจจัยแล้วท่านให้ศีลให้พร
รู้สึกเต็มตื้นกับคำพรและปาฐกถาธรรมว่าด้วยเรื่องชีวิตสุข
น้ำมนต์ฝอยละเอียดจากปลายกระบอกฉีดไฮเทคพ่นกระจาย
ฉันเปียกปอนแต่รู้สึกอุ่นใจกับความหวัง
ความหวังที่ท่านบอกว่าชีวิตของฉันรุ่งโรจน์ สาธุ..
กลับมายังไม่ทันตัวแห้งดี พลพรรคกลุ่มใหญ่รออยู่
ถูกลากไปฉลองความสำเร็จ ทั้งๆดอกเทียนยังผุดพราย
ปกติฉันไม่เคยปล่อยให้ผมแห้งเอง วันไหนโดนฝนก็ต้องสระ ไดร จนแห้ง..
วันนี้ฉันป่วยแล้วเพราะวันวาน วันนี้ฉันเจ็บเพราะวันวานอีกครั้ง
คนไม่รู้จักเอาประสบการณ์มาสอนตัวเอง ..คนเจ็บไม่จำ..คนไม่รักดี..
ไม่สบายอยู่หลายวัน ไม่มีปัญญาออกไปไหนไหน ชีวิตคนตึกแถวไม่น่าอยู่เสียแล้ว
ฉันพบกับอะไรมากมายในระหว่างวันที่ฉันพักซ่อมตัวเอง
เสียงบ่นด่าลูกซ้ำซาก ถ้อยคำไม่คุ้นเคย เสียงรบกวนโสตประสาท
ความสับสนอลหม่านของชีวิตคนทำมาหากิน ความหยาบกระด้างระคายความรู้สึก
ฉันเคยชินและชอบที่เงียบเงียบ มีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองมากกว่า
เสียงนั้นนับว่าทำลายเยื่อสมองฉันไปไม่น้อยเลยทีเดียว
หรือว่าเค้าไม่รู้ว่ามีฉันอยู่ข้างในนะ ก็ฉันอยู่ของฉันเงียบเงียบ
อืมม์..ใช่แล้วรถยนต์ฉันคลุมผ้าอยู่ด้านหน้า
ฉันชอบใช้เจ้าเสือเป็นพาหนะออกทางด้านหลังเพราะสะดวกชีวิตกว่า
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่ใช่วันเดียวเลยที่เป็นอย่างนี้ ชีวิตรันทดจริง..
หลังอาหารเช้าของวันจืดจืด ฉันทานยาแล้วนอน
ตื่นอีกทีครั้งบ่ายบ่ายด้วยเสียงทุบประตู
ฉันเคยติดกริ่งไฟฟ้า แต่เด็กเด็กชอบมากดเล่นเลยถอดออก )
ตกใจตื่น ใจเต้น เหงื่อแตกพลั่กเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันร้าย
เออนะ รู้สึกช่วงนี้ฉันขวัญอ่อนอย่างไม่รู้สาเหตุโผล่หน้าไปดูเป็นพนักงานองค์การโทรศัพท์
มีคนแจ้งโทรศัพท์เสีย เอ้ย..ไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ฉันก็เล่นเน็ทอยู่ทั้งวัน เออ..ก็ใช่แล้ว คนข้างนอกคงโทรติดต่อเข้าไม่ได้เลยหวังดี
หรือคิดว่าฉันตายอืดอยู่ข้างใน..แล้วฉันตายหรือยังเนี่ย.
วันนี้..ฉันตายจากความทรงจำของใครบางคน..
"ถึงฉันจะตายอย่างปราศจากคนที่รักฉันแต่ฉันก็ภูมิใจที่มีคนที่ฉันรัก"

"ใต้ฟ้าฉ่ำดาวคืนนี้..คนดีของฉันอยู่แห่งไหน..
ความเวิ้งว้างแผ่ปีกกว้างระหว่างใจ
เห็นดาวดวงสุดท้ายร้องไห้กับปลายฟ้า..
ลืมแล้วนะ ไม่คิดถึง.. หัวใจพาใครคนหนึ่งเข้ามาหา
ใครคนหนึ่งแสนซื่อชื่อ 'เวลา' ใครคนนี้ยาใจให้ลืมเธอ (มั้ย).. "

 




สิงหาคม 2552
ด้วยความสงสารตัวเองด้วยคิดว่า รออีกนิดหนึ่งก็จะทนไม่ไหวแล้ว
บ่ายวันหนึ่งตัดสินใจเรียกลูกสาวคนโตครอบครัวนั้นมาคุย
อยู่ใกล้ชิดกับฉันใช้งานเล็กเล็กน้อยน้อย..มีค่าขนมแบ่งปัน.
มีของเล็กๆน้อยๆติดมือกลับบ้าน..ดูท่าทางแม่จะพอใจ..
ตกหัวค่ำฉันปฏิบัติการสายฟ้าแลบเข้าไปคุยตีสนิทกับแม่และครอบครัวเด็ก
คุยเรื่องนั่นนี่ สารพันแนวตลาด นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ทำได้ไง
อืมม์ ทำได้ซี..ก็ฉัน..พลังงานแฝงติดเทอร์โบยามคับขัน..ชีวิตสอนให้สู้..นะ
อย่างน้อย ท่าทีของฉัน บุคคลิกของฉัน บางคำพูดของฉัน
อาจทำให้เกิดความเกรงใจกันบ้างละมังไม่เล็งผลเลิศถึงร้อยเปอร์เซนต์
แต่ก็ดีกว่าไม่คิดต่อสู้เพื่อตัวเองเลย
ค่ำวันนี้.ถึงชั่วโมงที่เคยวิกฤต..ได้ผลแฮะ..
ยัยแม่สงบปากสงบคำ ไม่มีเสียงกร่นด่ามาให้ปวดหัว
เสียงประตูเหล็กพับเปิดเข้าเปิดออกเพลาไป
ค่อยโล่งหู แต่ไม่รู้จะนานเท่าไหร่ ไม้แก่ดัดง่ายซะที่ไหนกัน
วันหยุดฉันชวนกระถินอ่อนมาทำงานบ้านเล็กเล็กน้อยน้อย
ซึ่งเธอก็กระวีกระวาดมาอย่างเต็มใจ
ถ้วยชามจากปารตี้เล็กเล็กเมื่อคืน กระถินเก็บล้างอยู่หลังบ้าน
ฉันก็อยู่หน้าคอมเหมือนทุกวัน ขาดได้ซะที่ไหนกันบางวันเปิดเน็ททิ้งทั้งวัน
ฟังเพลงเพราะเพราะจากไดของตัวเอง(ก็ทุกเพลงคัดสรรแล้วด้วยตัวเองนิ)
อยากให้เปิดวนอัตโนมัติได้แบบ playlistจังตอนนี้ก็วนอยู่เพลงเดียวไม่รู้มาได้ไง
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ..เดาเอา..
เสียงล้างจานเงียบแล้วคงเสร็จแล้วมัง เออทำงานเร็วดีแฮะ
จังหวะที่หันไปมองเจ้าหล่อนคว่ำจาน เจอภาพไฮไลท์พอดี
ในมือสองข้างที่ถือถาดจานเข้ามาอย่างตั้งอกตั้งใจ หันมาส่งยิ้มให้ฉัน
ชายเสื้อตัวรุ่มร่ามคล้องปุบเข้าให้กับชั้นวางของทำให้สะดุดเซถลา
มือที่ถือถาดเอียงเทเอาแก้วบางสองสามใบร่วงลงมากระทบพื้น
แก้วใสเพ้นท์ลายดอกหยาดฝนใบโปรดของฉันแตกกระจาย
เงียบกริบกันทั้งสองคน..ช่วยกันเก็บเศษแก้วซิ
เวทนาหน้าแหยแหยของกระถินอ่อน
ฉันเอากระดาษหนังสือพิมพ์ชุบน้ำซับเศษแก้ว"วันนี้ยังไม่ได้กินกาแฟเลย"
ชวนคุยข่มอารมณ์ตัวเอง กระถินยังเงียบหน้าจ๋อย " ชงกาแฟให้กินหน่อยไป๊"
"กาแฟช้อนครึ่ง น้ำตาลสองก้อน"
"น้ำในชาร์ปขาวนะ" ฉันบอกไล่หลังไป ก็ชาร์ปสีชมพูฉันใช้ชงชา
เก็บเศษแก้วเสร็จ มานั่งทำงานต่อกระถินอ่อนเอากาแฟมาวางให้
รู้สึกแปลกแปลกกลิ่นกาแฟไม่มีเลย หยิบมาจิบ
ห๋า..นี่กาแฟช้อนครึ่งหรือทัพพีครึ่งกันล่ะเนี่ย..
อั้ยนั่นไม่เท่าไหร่ ฉันคุ้นเคยกับกาแฟดำในบางวัน
แต่ไหง๋มันเย็นเฉียบ.. เฮ้ย...เอาน้ำอะไรชง..
ก็กาต้มน้ำฉันเสียบปลํ๊กตลอด..
"น้ำในถังขาวค่ะ" ง้าก..ก..ก..ถังน้ำดื่ม 20 ลิตร..
ดีนะที่เป็นน้ำดื่มในถังขาว
นี่ถ้าเทอเอาน้ำในคอตโตโถขาว..ชงมาละก้อ
ฉันจะลงไปดิ้นให้เธอเห็นกับตา..อ๊อย..กำเจ่ง..





 




สิงหาคม 2553
เพราะนอนดึกหลายหลายคืนติดกัน สมองฉันตีบตื้อ ทำให้ต้องนอนแต่หัวค่ำ
ครบห้าชั่วโมงตามมาตรฐานการนอนเลยตื่นมันซะเที่ยงคืน
ฉันนอนนิ่งในวันฉุกละหุกไม่ได้ มีงานเร่งด่วน ลุกขึ้นเดินลงมาทำงาน
เสียงหมาเห่ากรรโชกกลางตลาดสดอย่างไม่คุ้นเคย
ความสงสัยทำให้อะไรก็สะกดฉันไม่อยู่ ลุกขึ้นมองผ่านกระจก..ไม่เห็นอะไร
ข้างนอกด้านหลังที่มองเห็นเป็นที่สว่างโล่งแจ้งของตลาดสด เงียบสงัด
เสียงสุนัขไม่รู้สังกัดไม่เห็นตัวยังคงตั้งอกตั้งใจเห่า
ทรัพย์สินของฉันไม่มีอะไรให้ห่วง แต่สงสัยว่ามันไม่พอใจอะไร
เดินกลับไปชั้นบนมองผ่านลงไปที่ต้นเสียง
อา..เจอแล้วคนแปลกหน้าที่ย่องมาให้แปลกใจ..
ในระยะไกลขนาดนั้นฉันไม่แน่ใจเท่าไหร่
แต่รู้สึกได้ว่าเป็นคนแก่ผมขาวโพลน ผอมบาง อมโรค
เหมือนมีสัมผัสพิเศษว่า สายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ แกลากถุงในมือหายไปในหลืบมุม
จิตสำนึกทางสังคมสั่งให้ฉันรับผิดชอบกับความไม่ถูกต้อง
แต่มโนธรรมร้องขอ แกได้อะไรไปไม่มากกว่าอาหารพอประทังชีวิตหรอก
ที่ตรงนั้นไม่ใช่ร้านทองสักหน่อย ที่บ้านอาจมีหลานเล็กเล็กรอคอยอย่างหิวโหย
ฉันกลับเข้ามาทำงาน เสียงเห่าเงียบไปแล้ว
กลับให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยนะตา .. ในคุกลำบาก ..
หวังให้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของชีวิตเถอะนะ..
วานเย็น..ฉันเข้าไปหาผักสดไว้เพิ่มเติม..
เจ้าของร้านสุดท้ายที่เหลือกำลังเก็บร้านคลุมผ้าเหน็บชายผูกเชือก
ตัววุ่นวายที่แฝงอยู่ในจิตอดสงสารคนทำมาหากินที่ถูกเอาเปรียบไม่ได้
ฉันถามเก็บคลุมไว้แค่นี้เหรอ ทำไมไม่ทำล็อคตะแกรงลวดพับใส่กุญแจได้
แกตอบว่า ไม่คุ้มทุนเพราะต้องมีการประมูลที่กันใหม่ทุกปี
ฉันมองไปถึงระบบการทำงานท้องถิ่นอีกแล้ว
"แล้วของไม่หายเหรอ" ฉันถาม แกตอบว่า "หายเป็นประจำ"
แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับผิดชอบแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครสนใจ
" กำลังคิดจะจัดการกันเอง อยู่ใกล้ๆนี่ช่วยหน่วยได้ไหม "
แกหันมาย้อนถามให้ฉันสะดุ้ง ให้ฉันวิ่งไล่จับขโมยเหรอ..
" เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลโทรศัพท์ตามผมหน่อย "
ไม่พูดเปล่าจดเบอร์โทรยัดใส่มือ
อ่า..เทพนิยายกริมม์ผุดชัดเลยในความตีบตื้อ
เจ้าหญิงบนคาน เอ้ย..หอคอย..เจ้าชายมาถึงแล้วนะ..ฟังสิ..เสียงเรียกนั่น..
เสียงฝีเท้ามาแต่ไกล ..กระพรวนจากคอม๊า..เจ้าหมาเอ๋ย...เห่าอย่างเดียวก็พอ
..ไม่ต้องหอน..ฉันกลัว..

 




ธันวาคม 2553
แสงจันทร์นวลแทรกรอยต่อขอบหน้าต่าง หอบเอากลิ่นเย็นเย็นของฟ้าคืนเดือนหงายอวลใจ
ฉันรักฟ้าใสของคืนเดือนกลมกลางเดือนธันวาคม เสน่ห์จันทร์กระจ่างชวนให้หลายคนเพ้อได้เสมอ
จันทร์คว้างเลยผ่านหัวไปนานแล้ว แต่ฉันยังไม่นอน..
ความเงียบเหมือนจะทวีความเหงาลุ่มลึก ฉันเปิดหน้าต่างรับแสงจันทร์สูดกลิ่นฟ้า
เสียงชีวิตกลางคืนล่องลอยอยู่ไกลไกล หลายชีวิต ยังไม่ข่มตาลาวันเก่า
หรือวันใหม่ที่มาถึงไม่มีความแตกต่าง ?
สัญญานเวลากังวาน..ยามสอง
เงาจันทร์เปลี่ยนทิศหนังตาเริ่มหนัก ดาวปลายฟ้าอ้อนกิ่งประดู่
พรุ่งนี้มีงานต้องทำแต่เช้า อยากให้ตะวันลืมฟ้าชั่วคราว กลิ่นฟ้าสงัดตะวันหอมชื่นใจ
ฉันทิ้งตัวบนที่นอนเงียบเงียบ แมลงราตรีกล่อมเพลงเดิมเดิม หลับเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
ตกใจตื่นเสียงกระทบเหล็กดัดหน้าต่างหัวนอน อะไรในความสลัวของแสงจันทร์หย่อนตัวตุ้บหน้าเตียง
เหล็กดัดลายละเอียดขนาดนั้นยังแทรกตัวเข้ามาได้ ตั้งใจจริงนะ เจ้าหัวขโมย
อย่างนี้ไม่นับเป็นตีนแมวอาชีพ เพราะเจ้าทำให้เจ้าของบ้านตกใจตื่น
แมวสีดำปลอดไม่รู้เพศตัวนั้นสบตาฉันจังจังในระยะกระชั้นชิด
นัยน์ตาสีเหลืองคมวาวที่มองมานิ่งนิ่ง ฉันรู้สึกเย็นเยือก ขนลุกซ่าไปทั้งตัว
ในชีวิตเคยตาต่อตาฟันต่อฟันมาหลายครั้ง
ครั้งนี้เหมือนหนักหนากว่าทุกคราว หรือต่อมสู้ฉันตีบตัน หรือพลังแฝงฉันอ่อนแอลง
จำได้วันที่สบตากับเจ้าเห่าดงที่ปลายเท้าในสวนไผ่
ฉันยืนนิ่งนิ่งหลับตานึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
อย่างที่พ่อเคยพร่ำสอน ลืมตาอีกครั้งเลื้อยหายไปแล้ว
อีกครั้งกับจงอางที่มองเห็นดอกจันชัดเจนบนแม่เบี้ย
ฉันได้แต่อธิษฐานในใจ "ต่างคนต่างอยู่ " เขาจากไปเงียบเงียบเช่นกัน
น่าแปลกที่ในทุกครั้งเหมือนฉันจะรู้สึก "เราสบตากัน"
สบตาครั้งนี้..ฉันตัวแข็งทื่อ ขนหัวลุก กับอะไรบอกไม่ถูก
ต่างเป็นชีวิตที่ดิ้นรนในความคว้างของการต่อสู้เหมือนกันละมัง
เหมือนเราพบกันในช่วงเวลาที่กำลังใจฉันถดถอย หรือฉันล้ากับชีวิตแล้ว ?
สองชีวิตในห้องสี่เหลี่ยมแคบแคบ เหมือนมีพลังปะทะระหว่างกัน
ฉันรอดเสียงออกมาเบาเบา "มาให้โชคแล้วก็ไปเถอะนะ ฉันกลัว"
เราวัดใจกันนิ่งนิ่งอีกพักใหญ่ นานจนเสียงสัญญานเวลาแว่วมาอีกครั้งค่อนแจ้ง
เขากระโดดรอดเหล็กดัดหายไป เหลือเพียงฉันที่นั่งนิ่งท่าเดิม หายใจอย่างงงงวย
นอนไม่หลับอีกเลย ฉันเป็นอะไรไปเล่า น่าจะดีใจที่มีแมวมาหา หมามาสู่อย่างโบราณว่า
ฉันลุกเดินไปปิดหน้าต่าง ..อีกเดี๋ยวก็เช้าแล้ว..
ดาวดวงที่ยิ้มยั่วอยู่ไกลไกลกระพริบตาปริบปริบ
นี่ดีหน่ะที่เป็นแค่แมวมอง ถ้าเป็นถ้ำมองล่ะก้อ ไม่บังอาจนึกถึง..
คนอะไร..เห็นตัวเองในกระจกยังตกกะใจ..เอ้อ..

 




มกราคม 2554
วันหยุดนานนานเที่ยวซะเบื่อเลย
ททท.(ท่องเที่ยวทางโทรทัศน์)ไม่มีอะไรสนองนโยบายหัวใจที่ไขว่คว้า
ออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้าน โซฮอลที่ยังไม่กล้าใช้ก็ไม่มีทีท่าจะลดราคา
เบื่ออาหารนอกบ้านที่หน้าตาเดิมเดิม กอปรกับสงสารสะเบียงในตู้เย็น
ก็คนโน้นคนนี้หยิบติดมือมายัดตู้เย็นไว้ไม่มีโอกาสกิน
หัวผักกาดแดง แขนงคะน้า มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ ฯลฯ
ข้าวสุกที่เหลือจากปาร์ตี้วันวาน อ่า..รู้แล้วจะทำอะไรดี ข้าวผัด !!!!!
(ไม่ใช่ผลัดวันปะกันพรุ่งนา อันนั้นถนัดนัก แต่เบื่อแล้ว)
เอาอะไรเป็นเนื้อ อ่อ..มีแฮมกับลูกชิ้นหมู เออดีแห่ะ ไม่ต้องหั่น
ไม่ต้องเสียเวลาล้างเขียง ก็มันแขวนอยู่นิ่งนิ่งนานนานตรงนั้น
เป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์หรือเปล่าไม่รู้ ก็มันมองไม่เห็นหนิ
กระเทียมเจียวสำเร็จลงกระทะ ลูกชิ้นกับแฮมใส่ลงไปก่อน เหยาะซีอิ๊วขาว
อ่า..หอม ควันลอยเป็นรูปอะไรไม่รู้วิ่งเข้าบ้านนู้นน เหอะๆ ผลัดกันนะ
ใส่ผักก่อน.เฮ้ย ตัวไม่มีกระดูกมาจากไหน ก็แกว่งน้ำแล้ว
..ผักปลอดสารก็อย่างนี้ ปลอดภัยไว้ก่อน เอามันไปปล่อยก็หมดเรื่อง
ลูกชิ้นกระโดดกลิ้งเลยกะทะดึ๋งดึ๋งอยู่กับพื้น ..อื้ม..ท่าทางจะอร่อยมาก..ลูกชิ้นยังวิ่งหนี..
เติมนั่นนี่พอให้มีสีสรร เสียงเด็กข้างบ้านจามติดกันหลายครั้ง
เกรงใจ ลดไฟหน่อย ขอโทษนะ..ไมโครเวฟทำข้าวผัดฉ่าไม่อร่อยเท่าแก๊ซ
แต่งหน้าให้สวยสวยด้วยหอมผักชี เท่านี้ก็เตรียมขึ้นโต๊ะได้
อ้าวเพลงจบแล้ว..เดี่ยวนะ ไปเปลี่ยนเพลงก่อน
เออวันนี้ยังไม่ได้เปิดเน็ท เข้าเน็ทหน่อยดูไดอารี่นิด ..กลิ่นอะไรลอยมา..
เสียงเด็กข้างบ้านกระอักกระไอ ..ห๋า...ห้องโน้นควันตลบ..
ง้ากกก....ฉันลืมปิดแก๊ซ..ข้าวผัดช้านน..
สวัสดีเพื่อนเก่าแก่ที่มาเยือน เธอมาได้เวลาพอดี ฉันรอเธออยู่นานแล้ว
ฉันเลี้ยงเธอสักมื้อ ข้าวผัดอาฟริกัน...ลูกชิ้นนิโกร
ใครคนหนึ่งเข้ามาถึงชีวิตของฉันแล้วเงียบเงียบ
สะเทิ้นเล็กเล็กเมื่อญาติผู้ใหญ่ของเขามาแอบกระซิบบอกฉัน
เออ..ก็เคยสังเกตอยู่เหมือนกัน เราพบกันทุกเช้า- เย็น
เราสบตากันทุกวัน เขามายืนส่งฉันก่อนไปทำงาน
เราสบตากันทุกวัน เขามายืนรอรับฉันกลับจากทำงาน
เขาพยายามพูดกับฉันเสมออย่างที่ไม่เคยทำกับใคร
ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขาหยุดดื้อดันเมื่อเห็นฉันยืนอยู่ตรงหน้า
วันนั้น เขาเก็บดอกไม้ให้ฉันด้วย สีขาวหมายถึงความรักอันบริสุทธ์
ว่านมหาโชคในกระถางข้างลานจอดรถนั่นงัย
มือน้อยน้อยที่โบกเปิดทางถอยรถออก ถอยเข้าทุกเช้าเย็นนั่นหน้าขัน
เมื่อฉันมาอยู่ที่นี่ใหม่ใหม่แกแกร็นๆ ขี้แย ช่วงไม่นานเท่าไหร่ร่างเล็กๆนั้นเติบโต
ไม่ร้องไห้อ้อนงอแงเหมือนก่อน เมื่อได้ยินเสียงรถสตาร์ทจะวิ่งมาโบกมือหยอย
ในเวลาเย็นก็จะได้เห็นเจ้าตัวเล็กออกมารับหน้า
รับขนมที่รู้ว่าฉันจะหยิบติดมือมาฝากเสมอ โดยเฉพาะที่ฉันหายไปนานนาน
วันหนึ่งที่กลับเข้าที่พักมองหาไม่เห็นรู้สึกเงียบเหงา เก็บขนมที่เตรียมมาฝากเข้าตู้
รู้สึกอีกทีเมื่อได้ยินเสียงแม่เด็กเอ็ดเสียงดังลั่น เสียงตีเผียะ เจ้าตัวเล็กร้องไห้ดังลั่น
เสียงอะไรหล่นกระจาย ฉันลุกเปิดประตูชะโงกหน้าดู
เอ่า..ถ้วยไอสครีมหล่นกระจายเกลื่อน แล้วใครมาทำอะไรกับรถฉัน ?
ไฟหน้าทั้งสองดวงเหนียวหนับ กันชนหน้ามีร่องรอยช็อคโกแลต
เจ้าตัวเล็กเอาไอสครีมมาป้อนให้รถฉันล่ะซี
เฮ้อ..เราพบกันสายเกินไปหรือเปล่า ฉันรอเธอไหวไหมหนอ
อีกนานเท่าไหร่ความรักของเธอจะโตทันฉัน
วันนี้ ความรักของเธอเพิ่งสองขวบเอง

 





กุมภาพันธ์ 2554
บ่อยไปที่รู้สึกว่าช่วงชีวิตของเราหาเวลาให้ตัวเองไม่ได้
บางช่วงชีวิตนับว่าหาเวลาว่างแบบสบายสบายได้ยากเย็นจริง
เวลาที่งานเข้ามาหลายหลายหน้า เลือกจับไม่ถูก
เหมือนริมฝีปากจะขึ้นไปอยู่บนหน้าผาก
หรือวันนี้ริมฝีปากฉันอยู่บนหน้าผากจริงจริง
จะแปลกอะไรในเมื่อบ่อยไปที่เห็นริมฝีปากติดปกเสื้อ
เวลาที่จะได้มาละเลียดอ่านไดโน้นนี้ไม่มีเหมือนก่อน
แม้ว่าจะได้เยี่ยมหน้ามาเหมือนทุกวัน เข้ามาฟังเพลงอย่างเคย
เป็นเรื่องปกติของวันที่เปิดเพลงจากไดทิ้งให้วนเฉยเฉย
ทำธุรอื่นไปพลาง กินกาแฟ เข้าห้องน้ำ แต่งตัว
แต่.. วันนี้เพลงบ้านฉันจางเจื่อน
ไดรี่เวอร์ชั่นใหม่ของฉันเพลงมันไม่วนแล้ว
ความสุขจากการเก็บเกี่ยวฝีมือตัวเองน้อยลง
ในขณะที่งานอื่นอื่นเพิ่มมากขึ้น หมดเวลาสุขแล้วจริงเหรอ..
เห็นหลายคนบ่นงานยุ่ง ฉันเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
บางครั้งเผลอลืมตัวเองไปเลยก็บ่อยบ่อยไป น่าสงสาร
สมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวาเกี่ยงกันทำงาน
หลายครั้งที่นั่งทำงานอยู่นึกได้ว่ายังไม่ได้เตรียมอาหาร
จำใจทิ้งงานออกไปซื้อกับข้าวเจ้าประจำ
(ที่มีอยู่เพียงไม่กี่เจ้าที่ถูกปาก) กลัวจะเก็บร้านไปเสียก่อน
ครั้งหนึ่งที่ออกไปทั้งทั้งปากกายังค้างคาอยู่ในมือ
ซื้อกับข้าวจับยัดตู้เย็นเหมือนเคย
กลับเข้างานอีกทีหาปากกาไม่เจอแล้ว
ด้วยความเสียดายออกไปเดินตามหาก็ไม่พบ
เสียดายที่สุดไม่ใช่เพราะราคา
แต่นึกถึงหน้าคนให้แล้วอยากเคาะกระโหลกใครสักคน
กับข้าวในตู้เย็นบางวันต้องเก็บทิ้งเพราะถูกปล่อยไว้นานเกินไป
สั่งตัวเองจะไม่ตุนกับข้าวอีกในขณะที่เก็บอาหารเก่าทิ้ง
แม้แต่มังคุดผลไม้สุดโปรดยังลืมไว้ได้เป็นหลายอาทิตย์
โชคดีที่เป็นผลไม้ยอดอึด..ยิ่งเย็นยิ่งหวานฉ่ำ..
ใครนะช่างเปรียบเทียบ คนงามขำเหมือนมังคุด..
อืมม์..ฉันเองก็ดูเหมือนจะเข้าข่าย"งามขำ" ..มองทีไร..ก็ขำได้ทุกที..
อ้าว..ฉันเจอแล้วปากกา..ใครเอามาใส่ไว้ในตู้เย็น..

 




เมษายน 2554
ใช้ชีวิตคนแถวนี้ครบ3ปี
รำคาญกับมดตัวเล็กเล็กที่ทำรังอยู่ใต้พื้นหน้าห้องน้ำ
บ่อยบ่อยที่เห็นกองดินพอกพูนขึ้นมาจากรูเล็กเล็ก
ไม่อยากสลายม็อบด้วยเสปรย์
ดูดฝุ่นแต่ละครั้ง เหมือนเป็นฆาตรกรแสนศพ
ทำความสะอาดก็แสนจะยาก ไม่มีที่ให้ทิ้งเศษดินเศษทราย
เลยเอาสามเอ็มแปะลงไปอุดทางเดิน
ไปหาที่อยู่ใหม่เหอะนะ
คิดว่าจะแก้ปัญหาได้ อุดตรงนี้ไปโผล่ตรงโน้น
พื้นที่พักที่ฉันเลือกเองปะเหมือนถนนอ.บ.ต...(........)
ในวันที่มีพ่อค้าเร่มาขายเสื่อน้ำมัน ความคิดปิ๊งแว๊บ
เออดีแห่ะ เจ้ามดน้อยเราอยู่ด้วยกันให้เจ้าวิ่งอุโมงค์ใต้เสื่อน้ำมันนะ
ดีเลยไม่ต้องหอบอย่างม้วนให้เสียพลังงาน
ขนก็ยากเอาอย่างนี้ดีกว่า มาเสนอให้ถึงหน้าบ้าน
ฉันถือธนบัตรที่ใช้หนี้ได้ตามกฏหมายไปเลือกเสื่อสีถูกใจ
เลือกได้ลายหินอ่อนสีเขียว ต่อกันหลายผืนก็สวยได้ ชอบมาก
กำลังจะยื่นใบละห้าร้อยใบเดียวที่ถือมาส่งให้ มีลูกค้าเข้ามาอีกหลายคน
มีคนหนึ่งจับเลือกพลิกไปพลิกมา รื้อสีนั้นสีนี้ กองนั้นกองนี้
พ่อค้ามองดูด้วยแววตาขุ่นขุ่น บรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดี
ได้ยินเสียงอีกคนถามกันเบาเบา
"เทียบกับที่เป็นม้วนในร้านได้มั้ย"
พ่อค้าเร่หันขวับ ตะคอกเสียงดังลั่น "ผีตัวเดียวกัน"
อุ่ย..ฉันเพิ่งนึกได้ ตังค์ฉันไม่พอซื้อเสื่อ
ฉันบอกเบาเบา "วันหลังมาซื้อนะ วันนี้หยิบเงินมาไม่พอ"
จริงจริงนะ เสื่อผืนละร้อย
ถ้าฉันซื้อเสื่อห้าผืนฉันจะเอาที่ไหนไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งหล่ะ
ฉันหันหลังเดินดุ่มดุ่มไม่เหลียวกลับ
เสียงอาขยานลอยแว่วแว่วมาจากไหนไกลไกล
"จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น อย่าตะครั้นตะคอกให้เคืองหู
อย่าส่งเสียงอื้ออึงมึงกู คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ"
"อาชีพค้าขายต้นทุนส่วนหนึ่งอยู่ที่ปาก หากปากร้ายอย่างเดียวก็ขาดทุนไปครึ่ง"
พ่อค้าบ้ารัยปากไม่เป็นมงคล จะให้เอาผีเข้าบ้าน
ฉันกลัวผีน่ะ.

คืนที่พระจันทร์ดวงโตกลมสว่างใสประดับฟ้าโปร่ง
คืนที่หนุ่มสาวหลายคู่ลัดเร้นใต้ซุ้มไม้ใต้เงาจันทร์
มาฆะบูชา.. รอบโบสถ์คนแยะ แต่มองยังงัยยังงัยก็มีแต่คนแก่
แล้วมอเตอร์ไซด์มากมายที่ขวักไขว่บนท้องถนน ไปไหนกันเล่า
สามรอบโบสถ์กับสมาธิที่เดินจงกลม เสียงหัวเราะต่อกระซิกให้แลเลยไป
ยังเห็นเงาวูบไหวที่โน่นที่นี่ ลูกเต้าเหล่าใคร? มารอรับผู้ปกครองเหรอ
ทำไมไม่มาประกอบพิธีทางศาสนาด้วยกันก่อน
หรือพากันไปดูกระสือวาเลนไทน์ที่เห็นโฆษณาอยู่นานแล้ว
ชื่อเรื่องน่าสนใจ แต่เด็กรุ่นใหม่คงไม่สนใจคำว่ากระสือมากว่าคำพ่วงท้าย
"วาเลนไทน์ " วัฒนธรรมข้ามชาติที่เกาะกินเหยื่อราวสนิมเหล็ก
หลังจากเวียนเทียนฉันแวะคุยกับเพื่อนในร้านเล็กเล็กข้างวัด
เจอเข้าให้เลย...กระสือตัวจริง! กระสือวาเลนไทน์
ดอกกุหลาบจากห่อละ 180 บาท (ประมาณ100ดอก)
ถูกจัดเตรียม บรรจงห่อด้วยกระดาษแก้วใส ซ้อนกระดาษลูกไม้
อาศัยความมีฝีมือ สายตา อารมณ์ละเมียดละมัยของศิลป์
จัดตกแต่งริบบิ้นผ้าขนาดใหญ่สีแดง แซมด้วยดิ้นทองตรงนั้นนิด
ตรงนี้หน่อย 3-5 ดอกร้อย สูบกันเห็นเห็น แต่เสียใจ ไม่ได้กินเงินฉันหรอก
รุ่งขึ้นที่คนในร้านดอกไม้แทบจะเหยียบกันตายกับกุหลาบช่อละร้อย
ฉันเดินเลี่ยงไปที่ร้านขายต้นไม้ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อดอกไม้หรือต้นไม้สักหน่อย
แต่อยากได้กระถางหวายสักหลายใบเพิ่มเพื่อไปใส่พิโรทอง กับราชินีหินอ่อนแจกเหมือนทุกปี
เจอไม้กระถางพันธ์แปลกตา ปลายใบสีเขียวสดบิดเป็นเกลียว
ที่ปลายยอดกลับแตกตุ่มเป็นจะงอยเล็กเล็กมีน้ำใสหล่อเลี้ยงตลอด
โคนใบที่เกิดลายเส้นเล็กเล็กสีแดงเรื่อไปจนสุดปลายก้าน
เหมือนสาวน้อยขี้อายยืนหน้าแดงม้วนต้วนอยู่หน้าชายหนุ่ม
ฉันหยิบติดมือมาอย่างไม่ลังเล เจ้าของไม่ทันตอบว่า ชื่อไร
ฉันเอามาวางรับแสงแดดนอกหน้าต่างหัวนอน รอวันเบ่งบานของดอกที่ตูมเต่ง
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา..
ห้องนอนที่เคยกรุ่นด้วยโคโลญจน์กลิ่นกุหลาบกลับแทนที่ด้วยกลิ่นอะไร
เหมือน..เหมือนส้วมไม่ราดน้ำ หรือส้วมเต็มอะไรสักอย่าง
..ต้นไม้หัวนอนนั่น! หรือว่า.. ว่านกระสือออ..
พูดให้ใครฟังคงเป็นเรื่องตลก แต่เปล่า ฉันกำลังเศร้ามากถึงเศร้าที่สุด
ครบรอบปีชีวิตชาวกล่อง
สุข - ทุกข์ของฉันถูกหักลบกลบเกินในพื้นที่เล็กเล็กนี้
ฉันไม่ลืมวันทุกข์ วันสุขของที่นี่ หลายครั้งบอกตัวเอง "พอใจ"
หลายครั้งผลักดันตัวเอง "รับไม่ไหว" หลายคนบอกบุคลิกฉันเปลี่ยนไป
ฉันหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอ
ชีวิตคนกล่องของฉันคงถึงกาลอวสานแน่แล้ว
ครึ่งเดือนที่ผ่าน ครึ่งปีที่ผ่าน
ฉันจะรู้สึกตื้อตื้อทุกเช้าที่ตื่นนอน เหมือนเพิ่งลุกจากโต๊ะอาหารมื้อหนัก
เปล่าไม่ใช่ต้นไม้รูปทรงแปลกนั่นแต่อย่างไร แต่เพราะเจอมลพิษจังจัง
กี่มื้อเช้าแล้วที่ถูกวางกอง กี่มื้อเย็นแล้วที่ถูกวางกอง
เพราะเสียงบรรยายด่าลูกที่ไม่รักษาสะอาดห้องน้ำหลังการใช้งาน
คนอะไรช่างบรรยายได้ละเอียดละออปานนั้น
ฉันมองเห็นภาพเหล่านั้นเหมือนสมองติดจอแบน
หลายครั้งติดติดกันฉันทานข้าวไม่ได้
รวมถึงอื่นอื่นที่เป็นความรู้สึกเกินรับ
ล่าสุดที่แน่ใจแล้วว่ากลิ่นไม่พึงประสงค์มาจากไหน
ฉันจะตัดสินใจลาชีวิตคนกล่องเสียที เสียดายชีวิตติดปีกของฉันจริง
คนเก่งตลอดกาลในจินตนาการของตัวเองจนตรอกแล้ว
ใครนะบอกคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก
ฉันว่าคับแค้นใจเพราะที่อยู่เป็นโจทย์ปัญหาที่ยากมากมากเลย
ชีวิตคนกล่องวันนี้ไม่มีแม้ที่ให้ถอนใจ แม้แต่ลมหายใจของฉันยังถูกย่ำยี..
ถึงเวลาที่ฉันเปลี่ยนกล่องเสียที
ให้กล่องใบใหม่ของฉันเป็น Eco-Floating Architecture !








Create Date : 02 ตุลาคม 2554
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 17:14:54 น. 0 comments
Counter : 858 Pageviews.

Peakroong
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]





"หากต้องตัดสินใครสักคน

เริ่มจาก "ทำไม"คงจะดีกว่า"อย่างไร"

เพราะสิ่งที่มองเห็นไม่แน่ว่ามีอยู่จริง

สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าไม่มี

สิ่งที่คิดว่าใช่อาจไม่ใช่

สิ่งที่ไม่คิดว่าใช่สำหรับคุณ

มันอาจใช่เลยสำหรับใครอีกคน"


"
๐ ให้ลมหายใจของใบไม้เป็นบันทึกคนกล่อง
คำเขียนของคนล้มลุกคลุกคลาน
แต่ยังมีลมหายใจเป็นของตัวเอง
แม้ไม่ใช่ทุกอย่างที่มีหากเป็นทุกอย่างที่เป็น
เก็บความว่างเปล่าไว้เติมเต็ม..

๐ ขอบคุณตัวละครทุกตัว
ทั้งที่มีอยู่จริงและที่ไม่มีตัวตน
ขอบคุณวันเวลา-ครูบา-อาจารย์
ที่สอนให้เก็บเกี่ยว ฝึกให้คิด สอนให้เขียน

๐ ขอบคุณเพื่อนเพื่อนชาวไซเบอร์
ที่กรุยทางให้สร้างสรรรค์บล็อคได้เท่าใจ
ขอบคุณทุกภาพงดงามจากบล็อกน้องญามี่ขอบคุณ https://www.thaipoem.com
ที่ให้เพลงประกอบเป็นอมตะนิรันดร์กาล

๐ ขอบคุณความเป็นเธอ..
ที่ส่งผ่านการ"ให้"มาเสมอฝัน
ขอบคุณความเป็นฉัน..
คนเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างวันมาถักทอ


'ปีฆรุ้ง
27 มกราคม 2553


Friends' blogs
[Add Peakroong's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.