อนาคตน้ำมัน--รุ่งหรือร่วง?
ผมว่าประเด็น"น้ำมัน" เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราควรรู้ เพราะยิ่งทุกวันนี้เราใช้น้ำมัน เป็นพลังงานเป็นอันดับแรกๆของโลก --ถ้าย้อนดูตั้งแต่วิกฤตพลังงานคราวก่อนปี 1980 อเมริกาได้เริ่มตื่นตัวกับพลังงานทดแทน โดยการเร่ง Innovation พลังงานทดแทน ขนาด GM ในยุคนั้น ยังออก"รถไฟฟ้า"ออกมาเรียบร้อย ..จากนั้นก็"เจ๊ง.. บ๊ง" ในเวลาต่อมา
ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์จะเห็นได้ว่า ราคาน้ำมันขึ้นลงเป็น Cycle เวลาน้ำมันแพง ก็จะมีคนสนใจมาลงทุน"น้ำมัน".. ก่อให้เกิด การค้นหาน้ำมัน การสร้างโรงกลั้น ซึ่งขวบนการต่างๆ ก่อนที่จะผลิตน้ำมันต้องใช้เวลาหลายปี และนี่ก็คือ "ช่วงขาขึ้น" เนื่องจาก "เงินลงทุน"ที่เทเข้ามา แต่ Supply ใหม่ๆยังไม่เกิด ..จนในที่สุด พอ Supplyใหม่ๆ เกิด---ก็เข้าสู่ "ขาลง"ของน้ำมัน ซึ่งก็คือ หลังจากปี 1980 เป็นต้นมาน้ำมันก็แย่ลงเรื่อยๆพร้อมกับ Commodity ต่างๆ ก็ตกระนาว --และนี่ก็คือ ช่วงยุคทองของ"หุ้น" เพราะเมื่อ"ต้นทุนการผลิต"ต่ำ บริษัทก็กำไรเยอะ
...อนาคตข้างหน้า "พลังงานทดแทน"น่าจะเข้ามามีบทบาทที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเข้ามาถึง..จุดที่เรียกว่า "เมื่อไหร่น้ำมันและ commodity จะเข้าขาลง" --ประเด็นนี้ผม มองว่าอยู่ที่ "จีนและ อินเดีย ไอ้ BRIC "นี่แหละเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งผมมองว่า ในระยะสั้น Bubble ใน Asset อาจมีการ "ประทุ"บ้าง ..เป็นครั้งคราว
..แต่ใน ภาพใหญ่ BRIC น่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่การบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมี "น้ำมันและ Commodity เป็นตัวขับเคลื่อน" --จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ "น้ำมันยังอยู่ในขาขึ้นอีกนาน" อีกประเด็นที่เป็นตัวเสริมแนวคิดของพลังงานแพง ก็คือ "Globalization" ซึ่งก่อนหน้า"วิกฤต"เราก็ได้เห็นแล้วว่า "การค้าและเดินทาง"ทั่วโลกกำลังเข้าสู่"ยุครุ่งเรือง" แต่ปรากฏว่า Sub-Prime เตะสกัดขา "สายการบินและการท่องเที่ยวขนส่ง" แต่ผมมองว่า ที่จริงมัน"เป็นโอกาส" เพราะถ้าผ่านวิกฤตคราวนี้ไป ผมมองว่า การบิน และ การเดินเรือ จะเข้ามาสู่"ยุคทอง"อีกครั้ง ส่งผลให้ น้ำมันและพลังงาน รวมทั้ง Commodity แรง...ง...ง...
ยกตัวอย่างประเทศ"จีน" ที่มี"ทุนสำรองใหญ่ที่สุดในโลก" แทบจะเป็น Guarantee เลยว่า "ไม่ว่ายังไง จีนยุคนี้จะไม่กลับไปปิดประเทศอย่างที่เป็นมา" อย่างไรก็ตาม เส้นทางของ "จีน"คงไม่ได้โรยด้วย"กรีบกุหลาบ" มันคงเป็นทางขรุขระ ขึ้นดอยสุเทพ อะไรประมาณนั้น...หุ หุ --ซึ่งจีนเอง อยากพัฒนาประเทศโดยเอาสิงค์โปรเป็นแบบ คือ เผด็จการทุนนิยม ..ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง
คำถามที่เกิดขึ้น คือ "เราจะเตรียมรับสถานการณ์อย่างไรกับเหตุการณ์นี้"--ผมว่า เราจะต้อง มองพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของ Port และ bet ที่การบริโภคภายในของ BRIC(และประเทศที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึง"ไทย"เราด้วนแหละ) ที่จะโต จนกลายเป็นคู่ค้าที่สำคัญของโลก อย่างรถยนต์ปีนี้จีน จะมียอดขาย(จำนวนคัน)แซงอเมริกาไปแล้ว
..ประเทศไทย ถือเป็นประเทศหนึ่งที่"คนจีน"สนใจมาลงทุน ย่อมต้องได้รับอานิสงค์อย่างแน่นอน วันนี้ทั้งตลาดหุ้นเรามีมูลค่า 200 billion Dollar (ซึ่งทั้งตลาดไทยรวมกัน เล็กกว่า "Petro china" บริษัทเดียว)..คุณเห็นภาพไหมว่าตลาด"จีน"ใหญ่ขนาดไหน ..ตอนนี้ตลาดหุ้น"จีน"เป็นรองแค่ New York
...หากจีนประกาศ"หยวน" ให้แข็งค่า ตามที่อเมริกา(ร้องขอ) ..คุณคิดดู ว่า "ตลาดหุ้นจีน คงใหญ่เป็นที่หนึ่งของโลกในทันที" เฮอะๆ..นึกสนุก ถ้าผมเป็น"คนจีน" พอเงินหยวน แพงก็เท่ากับว่า"อยู่ดีๆก็รวยขึ้น" ..ดังนั้น ไหนๆก็รวยขึ้น ก็เอาเงินไป Take Over บริษัทอเมริกาให้หมด ..คราวนี้ "ไอ้กัน" มีหนาว
.... ศตวรรษที่ 19 อังกฤษเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้อังกฤษเป็นจ้าวแห่งยุคนั้น ....ศตวรรษที่ 20 การผลิตย้ายฐานมาที่อเมริกา ทำให้เป็นยุคของอเมริกา .... ศตวรรษที่ 21 การผลิตอยู่ที่จีน การบริการอยู่ที่อินเดีย คุณคิดดูว่า ศตวรรษนี้ ..คุณจะเอาเงินไปไว้ที่ไหน.......(ในตุ่ม!!! ฮิ ฮิ ฮิ...) เขียนโดย pawawit ที่ //pawawit.blogspot.com
Create Date : 24 มิถุนายน 2553 |
|
2 comments |
Last Update : 24 มิถุนายน 2553 13:47:20 น. |
Counter : 712 Pageviews. |
|
|
|
ส่วนจีนเริ่ม Copy and Development เพื่อสร้าง Brand ของตัวเอง แทนที่จะเป็น Copy and Sale เหมือนแต่ก่อน ช่วงหลังๆจึงเห็นจีนเริ่ม Takeover กิจการต่างชาติมากขึ้น
อนาคตอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทน ในความเห็นส่วนตัวน่าเหมาะกับการลงทุนเป็นที่สุด ในอนาคตจีนอาจเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น คือคนรวยก็รวยสุดๆ คนจนก็จนสุดๆ เพราะยิ่งผลิตมาก ยิ่งใช้น้ำมันมาก ราคาเครื่องอุปโภคบริโภคก็จะขึ้นเป็นเงาตามตัว คราวนี้ยิ่งขึ้นค่าเงินหยวน คนจนๆในจีนจะน่าสงสารที่สุด ^^