KANCHANABURI :: อนุสรณ์สถานช่องเขาขาด พิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ
หลังจากที่เก็บสัมภาระเรียบร้อยก็อำลา จังเกิ้ลราฟท์รีสอร์ท พวกเรานั่งเรือออกมาจากรีสอร์ท วันนี้ฟ้าใสเชียวแหละ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไปล่องแพกระโดดน้ำเล่นสนุกสนาน แหม .. ถ้ามากับเพื่อนนะมีเฮ แต่นี่มากะอาคุงแม่เลยต้องนั่งมองเค้าเล่นน้ำตาปริบๆ อิอิ
พอถึงฝั่งก็มาถึงวินาทีลุ้นระทึก ก็ทางขึ้นไปเนี่ยสูงเอาเรื่องเลย แถม จขบ. ก็ไม่ค่อยชำนาญการขับรถขึ้นเขาลงเขาสักเท่าไหร่ กว่าจะขึ้นสู่ทางราบปกติเล่นเอาลุ้นแทบแย่ พอออกจากทางเข้าท่าเรือรีโซเทล พวกเราขับรถออกไปทางขวา จุดหมายต่อไปเพื่อไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดล่ะ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ในเขตทหารดังนั้นต้องแลกบ้ตรก่อนเข้าไปชมล่ะ จากนั้นก็ขับรถตามเส้นทางเข้ามาเรื่อยๆ ก็เจอสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑ์แล้วล่ะ พวกเราก็เดินไปตามป้ายบอกทางเลย
พอเห็นบันไดลงเท่านั้นแหละอาคุงแม่ถึงกับถอย โห .. ทำไมดูมันไกลจังอ่ะ โชคดีที่มีน้องๆ กลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา พวกเราถามว่าไปอีกไกลไหม เค้าบอกว่าไกลมาก เท่านั้นล่ะอาคุงแม่หันหลังกลับเลย แล้วก็ถึงบางอ้อว่าต้องเข้าไปในโซนพิพิธภัณฑ์ก่อนแล้วจึงเดินเท้าไปดูช่องเขาขาด
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของการสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า ซึ่งญี่ปุ่นได้รวบรวมแรงงานหลายชาติ เป็นแรงงานชาวเอเชียว ๒๕๐,๐๐๐ คน เชลยศึกออสเตรีย อังกฤษ ดัตซ์และอเมริกามากกว่า ๖๐,๐๐๐ คน การก่องสร้างเริ่มในเขตตอนใต้ของประเทศพม่า
และขณะเดียวกันก็เริ่มมีการก่อสร้างในประเทศไทย ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๘๖ รางรถไฟก็สามารถมาเชื่อมต่อกันที่จุดแก่งคอยท่าในเขตประเทศไทย
เครื่องมือที่ทันสมัยก็มีใช้งานน้อยมาก ในการก่อสร้างรางรถไฟครั้งนี้ การขุดดินหรือการกระเทาะหินนั้นใช้พลั่ว ชะแลง แล้วขนย้ายดินหรือหิน รวมทั้งการถมแนวรางรถไฟกใช้แรงงานคนเป็นหลัก เครื่องตอก หรือค้อนใหญ่ถูกใช้เพื่อตัดหิน เจาะรูและขุดหลุมเพื่อวางระเบิดสะพานตลอดแนวรางรถไฟสร้างด้วยไม้ที่ตัดจากป่าตามแนวรางรถไฟแทบทั้งหมด
เดือนเมษายน พ.ศ ๒๔๘๖ การก่อสร้างดำเนินการรุดหน้าไปเร็วมาก เนื่องเด้วยฝ่ายญี่ปุ่นต้องการให้การก่อสร้างแล้วเสร็จตามความคาดหมายคือเดือนสิงหาคม ถูกกำหนดเป็นเส้นตายของการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ จึงเป็นเหตุให้เชลยศึกและคนงานชาวเอเชียถูกลงโทษให้ทำงานจนค่ำ
ที่บริเวณซึ่งทำการตัดช่องเขาขาดนั้น แสงแวบๆ จากกองไฟส่องกระทบเรือนร่างที่ผอมโซของคนงาน จึงเป็นที่มาของชื่อ "ช่องไฟนรก" (Hellfire Pass) หรือช่องเขาขาด การก่อสร้างที่เร่งรีบประกอบกับการระบาดของอหิวาตกโรคได้คร่าชีวิตของเชลยศึกและคนงานไปหลายพันคน
สาเหตุของการเสียชีวิตของเชลยศึกและแรงงานชาวเอเซียนั้น เนื่องมาจากการขาดแคลนอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ รวมทั้งทหารญี่ปุ่นที่ดูแลการก่อสร้างยังดำเนินการทารุณกรรมต่อเชลยศึกและแรงงานพลเรือนด้วย
อาหารหลักสำหรับเชลยได้แก่ ข้าวกับผักแห้ง และปลาแห้งเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่งผลให้เป็นโรงเหน็บชา โรคขาดวิตามิน เชลยศึกมีสุขภาพที่อ่อนแอและอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา
จขบ. เชื่อว่าหากเพื่อนๆ ได้มาเดินอ่านประวัติและเรื่องราวต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วจะรู้สึกถึงความทารุณโหดร้ายของสงคราม โดยเฉพาะวีดีโอที่ฉายภายในห้องแสดง ดูแล้วสงสารขึ้นมาจับใจเชียวล่ะ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกก่อตั้งโดย นายเจ จี ทอม มอร์ริส ที่เป็นหนึ่งในเชลยศึกและแรงงานพลเรือนในการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้ เป็นเวลา ๔๐ ปี หลังจากการก่อสร้างรถไฟสายนี้ ทอมตัดสินใจเดินทางกลับมาประเทศไทย เพื่อหาที่ตั้งของจุดช่องเขาขาด และได้เสนอข้อมูลต่อรัฐบาลออสเตรียเพื่อรับรองและสร้างพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์
ที่นี่จึงเป็นแหล่งรวมข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้คนรุ่นหลังตระหนักถึงภัยของสงคราม..
Photo and Story By Patthanid C. www.patthanid.bloggang.com Facebook : Patthanidfc
Create Date : 10 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 0:30:46 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2534 Pageviews. |
|
|
|