Group Blog |
โศลกธรรม - อ.กะลาเรปะ มิอาจแบ่งแยก ใจเชื่อมใจ เป็นหนึ่งเดียว เหมือนหยดน้ำสองหยด เชื่อมต่อกันและกัน เป็นหยดเดียว เป็นเนื้อเดียว เป็นหนึ่งเดียว มิอาจแบ่งแยก มิอาจแตกต่าง มิอาจทำลายได้เลย ไร้ ไร้ ไร้ ขอบเขตทุกๆด้าน ใจเชื่อมใจเป็นเนื้อเดียว หุบปากเงียบ ตถตา ******************************** สุญญตาหนึ่งเดียว อย่าได้สร้างความแตกต่างระหว่างใจและสรรพสิ่ง เราควรจะเชื่อมมันเข้าด้วยกันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่าได้มองว่ามันมีความแตกต่างกันหรือเกิดความคิดแบ่งแยกแตกต่างกันขึ้นมาในใจ แต่จงมองให้เห็นสัจจะความจริงของสรรพสิ่งนั้น ว่าง ว่าง ว่าง ไร้ขอบเขตทุกๆด้าน นี้แหละคือความจริงของสรรพสิ่ง ที่เป็นสังขาร สังขตะ และอสังขตะ เพราะธรรมทั้งปวงล้วน ว่าง ไร้ขอบเขตทุกๆด้าน สุญญตาธาตุ ว่างไร้ขอบเขต หรือใจ สุญญตา ว่าง ไร้ขอบเขตทุกๆ ด้าน หุบปากเงียบถึงทันที *********************************** เสียงเพียงเสียงเดียวนำเราไปสู่ความเงียบได้ (ตถาตา) ในเสียง ๆ เดียว มีทั้งกฏไตรลักษณ์ มีทั้งความเงียบ มีทั้งความว่างเปล่า จากเสียง รู้เพียงเสียง ๆ เดียว เกิดดับเป็นไตรลักษณ์ หรือเป็นไปตามกฏเก้าตา กี่แสนล้านเสียงก็ล้วนเกิดดับ เป็นไตรลักษณ์ หรือเป็นไป ตามกฏเก้าตาเช่นเดียวกัน ตถาตา เช่นนี้เอง ************************************** สัจจะแห่งใจ ใจเป็นสัจจะสูงสุดและล้ำค่า ไม่อาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ สัจจะแห่งใจไม่เกิดไม่ดับ และมีอยู่เท่าเดิมตลอดเวลา ไม่มากขึ้น ไม่น้อยลง นี้คือ สัจจะแห่งใจอันเป็นสมบัติล้ำค่า **************************************** ใจไม่มีตัวตนจะเศร้าหมองได้อย่างไร ใจไม่เคยเศร้าหมอง ใจไม่เคยเปลี่ยนแปลง ใจไม่เคยลดน้อยลง ใจไม่เคยหมองเศร้า เพราะมีสภาพว่างและ ไร้ขอบเขตทุกๆ ด้าน จึงไม่มีสิ่งใดจะเศร้าหมอง ใจเป็นสัจจะอันสูงสุด เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ๆ แต่ไร้ตัวตนไร้รูปวัตถุ ไร้ความเกิดไร้ความดับลง นี้แหละคือสัจจะแห่งใจว่าง หรือใจสุญญตา ******************************************* ใจ คือนิพพาน ขันธ์และสิ่งที่เกิดขึ้นในใจคือ วัฎฎะ ใจและอาการของใจ ใจและกิริยาของใจ ใจและพฤติการณ์ของใจ ใจและระลอกคลื่นระยิบระยับของใจ ใจและปรากฏการณ์ของใจ ใจและมโนภาพของใจ ใจและภาพความฝันของใจ ใจและความคิดดีและชั่วของใจ ใจและขันธ์ ทั้ง 5 ของใจ ใจและหมอกเมฆของใจ ใจและเงาสะท้อนของใจ สรรพสิ่งที่เกิดจากใจล้วนเป็นสังขตะสังขารทั้งสิ้น ส่วนใจไม่เกิดไม่ดับมีสภาพเป็น อนัตตา เป็น สุญญตา เป็น อสังขต เป็น วิสังขาร และหมายถึงนิพพานธาตุด้วย ********************************************* ท้องฟ้า และหมอกเมฆมีความว่างเปล่าเป็นสะภาพ ท้องฟ้าดำรงอยู่ที่ใด หมอกเมฆก็อยู่ที่นั้นด้วย ที่ใดมี ท้องฟ้า ที่ ๆ นั้นก็มีหมอกเมฆด้วย ที่ใดมีหมอกเมฆที่ ๆ นั้นก็มีท้องฟ้า เห็นท้องฟ้าก็จะเห็นหมอกเมฆ เห็นหมอกเมฆก็จะเห็นท้องฟ้า เพราะทั้งสองอย่างได้ปรากฏอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ธรรมชาติที่แท้จริงของท้องฟ้าไม่เคยเศร้าหมองไปเพราะหมอกเมฆ ส่วนหมอกเมฆก็ไม่เคยทำลายท้องฟ้าให้เศร้าหมอง ทั้งสองปรากฏอยู่ด้วยกันแต่ไม่ติดกัน จะบอกว่าเป็นสองก็เป็นสอง จะบอกว่าเป็นหนึ่งก็เป็นหนึ่ง แต่โดยเนื้อแท้แล้วทั้งสองมีสะภาพว่างเปล่าเป็นเนื้อเดียวกันรวด มิอาจแบ่งแยกใด ๆ ********************************************* ใจมิอาจหมองเศร้า ท้องฟ้ามิเคยเปียก ฝนตกเป็นพันๆ ปี แต่ท้องฟ้าก็มิเคยเปียก ใจมีอุปมาดั่งท้องฟ้า ท้องฟ้าก็มีอุปมาดั่งใจ กิเลสต่าง ๆ อุปมาดั่งหมอกเมฆ หมอกเมฆก็มีอุปมาดั่งกิเลส ในท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอกเมฆ แต่ท้องฟ้าก็มิเคยเศร้าหมองไป เพราะหมอกเมฆ ส่วนหมอกเมฆก็มิเคยทำลาย ท้องฟ้าให้เศร้าหมอง กิเลสมีปรากฏมากมาย แต่ก็มิเคยทำลายใจให้เศร้าหมอง แต่ใจเป็นที่ปรากฏของหมอกเมฆแห่งกิเลสทั้งหลาย ทำไมใจจึงไม่เศร้าหมองไปเพราะหมอกเมฆ ก็เพราะเมฆหมอกทั้งหลายเป็นความว่างเปล่า กิเลสก็ว่างเปล่า ท้องฟ้าก็ว่างเปล่า ใจเองก็ว่างเปล่า ธรรมทั้งปวงทั้ง สังขตะ และอสังขตะ ล้วนมีสภาพว่างเปล่า เป็นอนัตตา เป็นสุญญตาในที่สุด ใจว่างเปล่า กิเลสก็ว่างเปล่า ในขณะที่เราคิดว่าใจของเราเศร้าหมองอยู่ ในขณะนั้นใจของเราก็ไม่ได้เศร้าหมอง แต่เป็นการเศร้าหมองที่ความคิดหรือความเข้าใจผิด เพียงเท่านั้นเอง ( อวิชชาหลงผิด ) แต่ในขณะที่เราคิดว่าใจของเราสะอาด ในขณะนั้น ใจของเรา ก็ไม่ได้สะอาด แต่เป็นการสะอาดที่ความคิดหรือความเข้าใจผิด ********************************************** ความเป็นหนึ่ง ใจและอาการกิริยาของใจ และกฏไตรลักษณ์หรือกฏเก้าตา เป็นสิ่ง ๆ เดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือมีสภาพเท่ากัน เป็นอนัตตาเป็นสุญญตาเท่ากัน หรือ ใจ + อาการของใจ และกฏเก้าตา มีสภาพเป็นอนัตตา เป็นสุญญตาเสมอกันหรือเท่ากัน คือเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นอันเดียวกัน ที่ใดมีใจที่นั้นก็มี อาการของใจ ที่ใดมีอาการของใจ ที่นั้นก็มี กฏใตรลักษณ์ มีกฏเก้าตาอยู่ด้วย ใจก็คืออาการ และ อาการก็คือใจ ใจคือกฏเก้าตาและกฏเก้าตาก็คือใจ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแท้ ******************************************** ใจนี้มีธรรมชาติ ว่าง ๆ และเป็นที่ผ่านมาผ่านไปของอารมณ์ อารมณ์ต่าง ๆ ผ่านมาแล้วผ่านไปในใจนี้ ใจนี้มีธรรมชาติว่าง ๆ ไร้ขอบเขตทุก ๆ ด้าน และไม่มีอารมณ์ใด ๆ จะทนอยู่ได้ในใจนี้ ใจนี้ไม่เกิดไม่ดับ (เพราะว่างไร้ตัวตน จึงไม่เกิด จึงไม่ดับ) สิ่งที่เกิดและดับนั้นคืออารมณ์หรือ สังขารนั้นเอง (ธรรมดาของสังขารล้วนมายา) ใจคือผู้รู้ ผู้ดู ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ต่อสังขารต่ออารมณ์ตามเป็นจริง อารมณ์ต่าง ๆ ล้วนเกิดดับและว่างเปล่า ใจก็ว่างเปล่าเพระเป็นที่เกิดดับของอารมณ์ (ธรรมทั้งปวงคือใจสุญญตานี้เอง) ******************************************** การตื่นรู้เป็นการเฝ้ามองอย่างแผ่วเบา มองและรับรู้อย่างแผ่วเบา แล้วสิ่งต่าง ๆจะไหลผ่านจิตใจเราไป หมอกเมฆเปรียบเหมือน รูป รส กลิ่น เสียง สุข ทุกข์ ความคิดต่างๆ อุปมาดังหมอกเมฆ อย่ารังเกียจ ถ้าเรามีสติตื่นรู้เรื่องทุกเรื่องประสบการณ์ทุกประสบการณ์ต้องจบสิ้นลง เหมือนหมอกเมฆไหลผ่านยอดเขา และสิ่งต่างจะยึดไว้ไม่ได้เพราะมันไหลเหมือนหมอกเมฆ มันไร้สาระ มันว่างเปล่า มันไม่มีตัวตนให้ยึด มันเป็นเพียงปรากฎการณ์ที่อาศัยกันและกัน ประสานบวกกันเป็นรูปทรงขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น โดยเนื้อแท้แล้วมันไม่มีตัวตนให้ยึด ยึดไว้ไม่ได้ เหมือนเงาในกระจกเหมือนหมอกเมฆในท้องฟ้า เหมือนภาพในความฝัน ยึดไว้ไม่ได้ ********************************************** ไม่มีการขัดท้องฟ้าด้วยซันไลต์ (ใจไม่มีตัวตน ไม่สะอาด ไม่สกปรก จึงขัดไม่ได้) ********************************************** ทักทายคราฟ
โดย: nuyza_za วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:14:05 น.
ไอ๊หยา....หมอเขียวออกบู๊กเดืองหน้านี้เลี้ยว ที่สานติอาโศก ฮ้อหม้อ......น่าลูชม
โดย: โดเรม่อง IP: 110.49.104.198 วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:09:32 น.
|
patnaja
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?] สร้างลิงค์ของโปรไฟล์ในแบบที่เป็นตัวคุณเอง Friends Blog
Link
|