บทที่ 3 - การเดินทางของความรัก
"มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่ยึดมั่นกับพันธสัญญา"
เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราเข้มแข็งได้แค่ไหน จนกระทั่งความเข้มแข็งเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ เมื่อวันที่ได้รู้ว่าพ่อเอาเงินไปปล่อยกู้ และเป็นหนี้เสียมากมาย นั่นยังไม่เสียหายเท่ากับที่เอาบ้านไปจำนองเพื่อเอาเงินมาปล่อยกู้เพิ่ม คงหวังได้ดอกเบี้ยมาชดเชยหนี้ที่สูญไป แต่โลกความจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด แม้แต่รับซื้อเช็คเมื่อถึงกำหนดเช็คก็เด้ง เมื่อทวงถามก็ได้รับเช็คมาใหม่อีกหลายสิบใบ และก็ทยอยเด้งครบทุกใบ ส่วนแม่ก็หลงลูกยุให้เป้นเถ้าแชร์ผลที่ได้คือลูกมือเปียแล้วหนี ความเสียหายทางการเงินเข้าขั้นหายนะ แต่สิ่งเลวร้ายยังไม่จบ ผลพวงของการเป็นป๋าปล่อยเงินกู้ทำให้มีสาวน้อยสาวใหญ่เข้ามาพัวพัน และทุกอย่างก็แย่ลงเรื่อยๆ พ่อเริ่มจากกลับบ้านดึก กลับบ้านบ้างไม่กลับบ้านบ้าง และไม่กลับบ้านเลยในที่สุด แม่ไปสืบรู้มาว่า ที่หายๆไปเป็นป๋าส่งเสียเลี้ยงดูสาวเหนือพร้อมลูกๆที่ติดจากบรรดาสามีเก่าของเธอ แม่เสียใจมากกลายเป็นคนอมทุกข์ พี่สาวฉันทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรงและเก็บข้าวของออกจากบ้านไปอีกคน ฉันกลายเป็นเสาหลักของบ้านที่ดูแลทั้งพี่สาวคนโตที่เป็นอัมพาตจากเส้นเลือดในสมองแตก และต้องดูแลแม่ที่ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยนักในช่วงนี้ ในขณะเดียวกันฉันก็ได้รับจดหมายจากธนาคารแจ้งว่าพ่อขาดส่งค่าผ่อนบ้านมานาน ฉันคงต้องทำงานให้หนักขึ้นอีก โชคดีนายฝรั่งเป้นพวก workaholic ฉันจึงมีโอทีเป็นสรณะ นายจะไป Roadshow ต้องนั่งทำนั่งแก้ presentation กันจนดึกดื่นตี 1 ตี 2 กันเป็นประจำ เพื่อนร่วมงานหลายคนเริ่มบ่นเรื่องคุณภาพชีวิต ฉันมีแต่ยิ้ม สิ้นเดือนรับโอทีเยอะกว่าเงินเดือน เสาร์อาทิตย์ก็รับงานพิเศษเพิ่ม เรียกได้ว่าทำงาน 7 วันไม่เคยหยุด บางวันฉันกลับบ้านมาเจอพี่สาวนอนหิวไม่ได้กินข้าว ฉี่อึไม่ได้รับการดูแล ฉันทำทุกอย่างไม่เคยรังเกียจ
ฉันเข้าใจว่าเราทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตนเอง เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม งั้นก็ยิ้มรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกันเถอะ สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วและย้อนไปแก้ไขไม่ได้ มันไม่ใช่ปัญหา มันเรียกว่าสถานการณ์ "พ่อหนุ่มที่หน้าตาเหมือนนักวิทยาศาสตร์นั่น เด็กเราเหรอ" พี่เอื้อง เป็นรุ่นพี่ที่ทำงานทักถามขึ้นเมื่อมีโอกาสได้เห็นหน้าหยวนแบบแว่บๆ ภาษาที่พี่เอื้องใช้ทำให้ฉันกลั้นหัวเราะไม่อยู่
"เด็กเดิดอะไร เด็กโข่งสิไม่ว่า" ฉันตอบพลางอธิบายว่าพ่อหนุ่มผมยุ่งหัวเถิดนั่นเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนประถม
"นั่นสิ พี่ก็ว่าไม่คือเลย" คุยกับพี่เอื้องต้องมีวุ้นแปลภาษา เพราะพี่เอื้องมักมีภาษาเป็นของตนเองเสมอ คำว่าไม่คือในความหมายของพี่เอื้องแปลว่าไม่เหมาะสม
"แล้วแบบไหนถึงจะคือล่ะพี่เอื้อง" ฉันถามเล่นๆ แต่คำตอบพี่เอื้องไม่ได้มาเล่นๆ หน้าตาคุณพรี่จริงจังมาก
"เฮียเล้งไอทีงัย สเปคพี่เลย พี่ว่าคนที่ให้ยาคูลท์มาส่งที่โต๊ะเธอประจำก็เฮียเล้งนั่นล่ะ" คำตอบพี่เอื้องพาวงแตก ใช่ฉันเป็นคนพิเศษสำหรับเฮียเล้ง เกลียดเป็นพิเศษงัย ฉันอาจจะเคยพูดหรือทำอะไรให้เฮียเล้งเหม็นขี้หน้าโดยไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะสายตาท่าทางเขาแสดงออกชัดเจนมากว่าไม่อยากพูด ไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากปฏิสัมพันธ์ใดๆกับฉัน เอาจริงๆเขาน่าจะเกลียดฉันมากเลยล่ะ
"รู้ได้งัยว่าสาวยาคูลท์ไม่ได้วางผิดโต๊ะ เขาอาจจะให้มาส่งโต๊ะพี่เอื้องก็ได้" ฉันแซวขำๆ แต่สังเกตได้ชัดว่าพี่เอื้องหน้าแดง หูแดง รุ่นเล็กหลบไป รุ่นใหญ่เขาจะคุยกัน 555
แล้ววันนึงความสนิทระหว่างฉันกับพี่เอื้องก็ต้องแปลกๆไป ในคืนกินเลี้ยงงานวันปีใหม่ของบริษัทเหล่าเพื่อนพ้องน้องพี่ต่างก็แซวเฮียกันใหญ่ว่าทำไมยังไม่มีแฟน เฮียซึ่งคงเมาได้ที่ก็เดินไปคว้าไมค์ประกาศว่าสเปคเขาชอบผู้หญิงตัวเล็กแบบฉัน สีผิวแบบฉัน ผมยาวแบบฉัน แต่งตัวแบบฉัน สายตาทุกคู่ในงานหันมามองฉัน ฉันแทบสำลักเครื่องดื่มในมือ เฮียจะมาไม้ไหนอีกเนี่ย ก่อนเฮียจะตบท้ายว่า แต่ไม่ใช่ฉัน แล้วก็เดินจากไป
"แกแก เฮียเขาพูดแบบนี้หมายถึงอะไร แกไปทำอะไรเฮียเขา" เพื่อนสาวในทีมงานมากระซิบถามแบบงงงง พวกแกจะงงอะไรกัน เฮียเขาก็บอกชัดเจนแล้วไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน
ท่ามกลางความโง่และบ้าก็มีคนที่บ้ากว่า คนที่มารอรับฉันกลับบ้านได้ทุกวัน เลิกงาน 2 ทุ่มก็เจอ เลิกงาน 5 ทุ่มก็เจอ เลิกงานเที่ยงคืนตีหนึ่งก็ยังเจอว่ามีคนบ้านั่งรออยู่ ทั้งที่ไล่ให้กลับไปตั้งนานแล้ว คุณชายหัวหอมเป็นคนที่ทำให้ฉันต้องยอมแพ้ในความบ้าของเค้าเลย แต่ก็นั่นล่ะฉันเคยบอกเค้าไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าจะนั่งรอให้ตาดำเป็นหมีแพนด้าเพื่ออะไร..มันเป็นไปไม่ได้หรอก
******************************************************************
แล้ววันนึงกิฟซี่ก้อโทรมาบอกว่าถ้าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ ให้ฉันชวนคนโปรดของเค้าไปต่างจังหวัดด้วยกันกับกลุ่มเพื่อนพวกเราให้ได้ ฉันก้อบอกแล้วว่าไม่ได้คิดอะไร ถ้าเพื่อนต้องการก้อจัดให้...แต่เหมือนเพื่อนรักจะมีแผนการในใจ เพราะแอบไปนัดคนๆนึงไว้ โดยที่ฉันไม่ระแคะระคายมาก่อน เช้าวันนัดอยู่ๆหยวนก้อแวะมาที่บ้านโดยไม่ได้นัดหมาย ถึงงงๆสักหน่อยแต่ฉันก้อยังไม่ได้คิดอะไร คิดแต่ว่าไปกันหลายๆคนก้อสนุกดี เราไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะแม่ฉันไม่ปลื้มเรื่องผู้ชายพายเรือนัก (แม้ว่าฉันจะอายุยี่สิบกว่าๆแล้วก้อตาม) อาจเพราะแม่ยังฝังใจกับพฤติกรรมของอดีตลูกเขยที่แม่เคยปลื้มมากๆมาก่อน คนที่ใครๆก็พากันชมว่าเป็น perfect match แต่เมื่อพี่สาวเส้นเลือดในสมองแตกเป้นอัมพาตไม่ถึงปี เขากลับพาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้าน หลังจากหลอกลวงให้พี่สาวเซ็นมอบอำนาจยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปเป็นของตัวเองทั้งหมด แม่เป็นคนพาพี่สาวกลับมาอยู่บ้านหลังไปเยี่ยมแล้วเห็นพี่สาวนั่งกินข้าวคลุกน้ำตา โดยไม่มีทรัพย์สินใดๆติดตัวกลับมาแม้แต่บาทเดียว และชายผู้นั้นไม่เคยมาเยี่ยมหรือช่วยเหลือแต่อย่างใด..สิ้นสุดกันที ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน เท่านี้ก็สาแก่ใจ ซาบซึ้งทรวงในอกเรา ตัดกลับมาปัจจุบัน...สายๆหน่อยทุกคนก้อมาถึงที่บ้านฉันพร้อมเพรียง เราออกเดินทางไปต่างจังหวัดกันด้วยสมาชิก ผู้หญิง 4 (ฉัน / กิ๊ฟซี่ / น้ำใส และ แคท ) ผู้ชาย 2 (คุณชายหัวหอม กะนายหยวน)
เป็นทริปที่บรรยากาศกร่อยๆ ไม่ค่อยสนุกนัก หลังจากกร่อยทริปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น และดูเหมือนกิ๊บก็คงยังไม่พอใจหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เพราะไม่เคยมีใครบอกกล่าวอะไรให้ฟัง
ฉันเหนื่อยเกินที่จะไปวุ่นวายเรื่องของใครได้อีก และได้พยายามทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตาที่จะพาไปละกัน กับหยวน..เค้าขอเวลาและสัญญาว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่จนป่านนี้ฉันก็ยังไม่เห็นอะไรมันจะดีขึ้นสักอย่าง นอกจากตัวฉันที่เหนื่อยและท้อเต็มที *********************************************
Create Date : 15 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 9 มกราคม 2566 11:43:11 น. |
|
0 comments
|
Counter : 463 Pageviews. |
|
|
|