ภารกิจ..ย่ำแดนมังกร ตอนที่ 1 : เหินฟ้าสู่ปักกิ่ง อารยนครอันรุ่งเรือง
เกริ่นนำ
ประมาณหกเดือนก่อนหน้านี้ ผมยอมรับว่าตื่นเต้นมากเมื่อรู้ว่าจะได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองนอก ผมต้องขอออกปากก่อนว่าสำหรับทริปนี้เป็นการเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองเป็นครั้งแรก สู่โลกกว้างที่เคยได้มีโอกาสได้เห็นได้อ่านแค่ในอินเทอร์เน็ต หนังสือหรือนิตยสารท่องเที่ยว ทว่าครั้งนี้มีโอกาสได้ไปสัมผัส ได้ไปเยือนกับตัวเอง นับเป็นโชคดีมากสำหรับตัวผม โอกาสในครั้งนี้ของผมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดความเมตตาและความเก่งกาจของผู้จัดการ งบประมาณที่ใช้เดินทางพาคณะเราไปเที่ยวต่างประเทศครั้งนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นเงินรางวัลที่ได้มาจากบริษัทซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานได้ระดับดีมากของผู้จัดการ และความร่วมมือร่วมแรง ร่วมใจกันทำงานของคณะพวกเรา จนประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง และเป็นเพราะความสามารถอันยอดเยี่ยมของผู้จัดการในการบริหารจัดการงานต่างๆ ผลตอบแทนที่ได้จึงคุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี และทำให้พวกเราและผมได้มีโอกาส "บิน" ไปสัมผัสความยิ่งใหญ่และอลังการของมหานครปักกิ่งในครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในประสบการณ์และความทรงจำอันยอดเยี่ยมในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ ต้องขอขอบพระคุณผู้จัดการและผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่หยิบยื่นโอกาสดีๆให้แก่ผม


คืนวันที่ 9 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ประเทศไทย
ผมลงจากรถ taxi ที่หน้า gate 10 ภายในบริเวณสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ หลังจากที่จ่ายค่า taxi ไปเกือบสี่ร้อยบาท เหงื่อแทบตก ก็แหงล่ะ ขึ้นทางด่วนมานินห่า ราคาค่าโดยสารก็เลยแพงอย่างที่เห็น แต่ไฉนรถก็ยังติดบนทางด่วน จะมีทางด่วนไว้ทำไม? ผมวุ่นวายกับการพยุงตัวเองและหอบข้าวของลงจากรถ พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ที่ตัวผมเองก็ไม่ค่อยมีแรงจะลากมันหรอก คิดดีแล้วล่ะที่ไม่มาสนามบินด้วย airport link สัมภารกหรือสัมภาระเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวต้องกลายเป็นไอ้บ้าพะรุงพะรังบนสถานี airport link แน่ๆ ผู้ชายตัวเล็กๆอย่างผมจะมีแรงไปฉุดลากอะไรมากมาย และด้วยความที่คิดเยอะตามประสา จึงยัดเอาอะไรใส่มามากมายนักหนาก็มิอาจทราบได้ กลัวเหลือเกินว่ากระเป๋าจะ overload ถ้าเป็นงั้นนะ อาจถูกผู้จัดการบ่นแน่ๆ แต่ก็อย่าได้แคร์ ฮาๆ มาถึงสนามบินแล้ว ยังไงคืนนี้เราจะไปปักกิ่ง!!

ผมมาถึงสนามบินก่อนเป็นคนแรกของคณะพวกเรา .... ทำยังไงดี ไม่มีเพื่อน จะไปอยู่ตรงส่วนไหนของสนามบินดีล่ะเนี่ย ไม่เคยไปทาง int'l departure ซะด้วย ทำตัวไม่ถูก แต่ผมก็ไม่แสดงออก ยังคงอาศัยการเนียน เดินเล่นกินลมชมวิวในสนามบินไปสักพัก ก็เผอิญคิดได้ว่ามีเพื่อนผมคนหนึ่งเป็น air ground ทำงานที่สนามบิน ไม่รอช้า..หยิบโทรศัพท์ ลองโทรหาเพื่อนทันที เผื่อว่าเพื่อนอาจจะอยู่เวรคืนนี้ก็ได้ ... และผมก็โชคดีที่เพื่อนผมยังทำงานอยู่ ไม่นานนักเพื่อนผมก็รีบวิ่งมาจาก row c เพื่อมาหาผมที่ row u ซึ่งระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆเลยนะ ขอบคุณที่เพื่อนสาวคนนั้นที่อุตส่าห์มา take care ผมอยู่พักหนึ่ง พาผมไปเดินดู ไปนั่งกินอะไรเล่นๆระหว่างรอเวลา หลังจากที่เพื่อนผมขอตัวกลับไปทำงาน ผมก็นั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวตรงบริเวณหน้าทางออกสู่ airport link รอเวลาว่าเมื่อไรเพื่อนร่วมคณะของผมจะมากันสักที เวลาล่วงเลยไปถึงประมาณเกือบห้าทุ่มก็เป็นเวลาที่คณะของพวกเรามากันครบทุกคนแล้ว ผมและคณะไปเข้าแถวเพื่อรอ check in คืนนี้พวกเราจะเหิ่นฟ้าสู่มหานครปักกิ่งด้วยสายการบิน Air China เที่ยวบิน CA 980 สู่เมืองปักกิ่ง สำหรับบรรยากาศการ check in ค่ำคืนนี้เรียกได้ว่าคึกคักเป็นพิเศษ คงเนื่องจากเป็นวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจึงเดินทางท่องเที่ยวกันเยอะในคืนนี้ สนามบินเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายสัญชาติ ที่หน้าตาดีก็มีเยอะนะ ฮาๆ หลังจาก check in เรียบร้อย ได้รับ boarding pass และเอกสารการเดินทางครบครันจากพี่ผู้ดูแลคณะทัวร์ ผมและเพื่อนบางส่วนรีบวิ่ง (วิ่งจริงๆ) เพื่อไปต่อแถวยัง immigration ซึ่งคืนนี้ต้องขอบอกว่า แถวยาวมาก ยาวเป็นหางว่าว คดเคี้ยวเป็นงูกินหางกันเลยทีเดียว ยืนรอคิวเพื่อตรวจสอบเอกสารอยู่นานมาก ประมาณ 40 นาทีเห็นจะได้กว่าจะถึงคิวผม ก็ไปยืนทำหน้าแบ๊วๆให้เจ้าหน้าที่เค้าตรวจเอกสารอยู่หนึ่งนาที ก็ได้ผ่านเข้าไปยังด่านตรวจร่างกาย ต้องรีบถอดเข็มขัด เอากระเป๋า โทรศัพท์ โลหะต่างๆใส่กระบะผ่านเครื่องสแกน CTX กว่าจะเสร็จสรรพและได้เข้าสู่ duty free ก็กินระยะเวลาตรงนี้อยู่ชั่วโมงกว่าๆ ทำให้มีเวลาเดินเล่นใน duty free น้อย เพราะนี่ก็ใกล้เวลาที่ gate จะเปิดแล้ว แต่โดยส่วนตัวผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบ shopping อะไรมากมายนัก ของพวกนี้หาซื้อได้ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ เดินเล่น เดินดูของกับเพื่อนไปเรื่อยๆ chocolate น่ากินมากมาย ตรงบริเวณที่ขายน้ำหอม ก็หอมได้ใจ หอมจนรู้สึกมึนหัวไปเลย ระหว่างนั้นพี่ๆบางคนก็ปลีกตัวไปใช้สิทธิ์ lounge ของการบินไทย ส่วนผมกับเพื่อนบางส่วนก็เดินไป gate เดินไกลพอสมควรกว่าจะถึง gate ซึ่งพอมาถึงก็เปิดให้เข้าไปนั่งรอขึ้นเครื่องได้ อันตัวผม ณ เวลานั้น เกือบจะตีหนึ่ง ซึ่งปกติเป็นเวลาที่ผมควรจะหลับไปแล้ว ตอนนั้นก็ง่วงสุดขีด ก็เลยไปนั่งหลับรอเวลา boarding อยู่สักพักหนึ่ง ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็เรียกให้เตรียมตัวเพื่อเดินเข้าง่วงช้างไปขึ้นเครื่อง ผมเห็นเจ้านกยักษ์ Air China ลำใหญ่จอดรอรับพวกเราอยู่ด้านนอก ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งที่จะได้ขึ้นเครื่องบิน แม้โดยส่วนตัวจะเป็นคนที่กลัวความสูง แต่เวลาได้นั่งเครื่องบินแล้ว ความกลัวเหล่านั้นกลับมลายหายไป กลับดีใจเสียด้วยซ้ำที่มีโอกาสได้ใช้บริการเครื่องบินอีกครั้ง แต่คืนนี้จะพิเศษตรงที่เป็นการบินข้ามประเทศ ออกไปสู่เมืองอื่น เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผม ย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา จริงมั๊ย?...

หลังจากที่เดินผ่านง่วงช้างมาสู่ในตัวเครื่อง Boeing ลำนี้ ก็เกิดโกลาหลเล็กน้อย แม้จะเป็นเครื่องบินแบบที่นั่ง 2-5-2 ก็ด้วยความที่ผู้โดยสารเยอะมาก ซึ่งส่วนใหญ่ดูแล้วเป็นคนไทย น่าจะเต็มลำ เกิดการจราจรติดขัดในตัวเครื่อง ต้องยืนรออยู่นานกว่าจะเดินไปถึง seat ของผม ซึ่งก็นะ..อยู่ซะเกือบแถวหลังเลย คืนนี้ได้นั่งบริเวณหางเครื่องเป็นครั้งแรก ปกติเคยแต่นั่งตรงกลางลำ กังวลเล็กน้อยว่านั่งที่บริเวณนี้จะเกิดอาการเมาเครื่องหรือไม่ ก็ลองดู หลังจากจัดการเก็บข้าวของ (ซึ่งแค่กระเป๋าจุ๋มจิ๋มใบเดียว) ให้เป็นที่เป็นทางแล้ว บนเครื่องบินก็ฉายวีดิทัศน์สาธิตการรัด belt และการใช้เสื้อชูชีพและสาย oxygen ขณะเดียวกันก็มี air hostess มาทำท่าประกอบการสาธิตไปพร้อมกับวีดิทัศน์นั้น ผมก้ทำตามไปอย่างนั้นล่ะ รัด belt แล้วก็นั่งรอเวลาอันแสนจะตื่นเต้นที่เครื่องจะ take off ในค่ำคืนนี้ ณ ประเทศไทย ไม่เคยบินตอนกลางคืนดึกดื่นขนาดนี้มาก่อน เสียดายที่มองไม่เห็นวิวข้างนอก นอกจากแสงเล็กๆจากไฟนำทางเท่านั้นเอง เมื่อเวลา 01.05 น. ของเช้าวันใหม่ วันที่ 10 ธันวาคม 2553 ก็ได้เวลาที่เครื่องจะ take off แล้ว Air China ลำนี้ถูก taxi ไปยัง runway ไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่เท่าที่ผมคำนวณทิศทาง น่าจะเป็น runway ด้านซ้ายของสนามบิน เมื่อตั้งลำได้ตรงจุดแล้ว ก็เร่งเดินเครื่องยนตร์เต็มที่ ใบพัดและไอพ่นทั้งสองด้านเริ่มทำงานหมุนอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกสั่นกันไปทั้งลำ เสียงเครื่องยนตร์ต่างๆเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองกันอย่างแข็งขันเต็มประสิทธิภาพ แล้วไม่นานนัก Boeing ลำนี้ก็เริ่มพุ่งทยานไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอ จากความเร็วช้าจนเร็วและแรงมาก เรียกได้ว่าแรงต้านจากการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของตัวเครื่องอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ตัวผม (และผู้โดยสารคนอื่นๆ) ลำตัวติดอยู่กับ seat ได้เลย เครื่องวิ่งด้วยความเร็ว (ไม่ทราบว่าเท่าไร) ไปได้สักพักหนึ่งก็เชิดหัวขึ้นและ take off ไปสู่ราตรีอันมืดมิดในคืนนี้ และเมื่อล้อไม่สัมผัสกับพื้นโลกก็รู้สึกโหว่งและปั่นป่วนในท้องเล็กน้อยเมื่อเครื่องเริ่มทยานบินขึ้นสู่อากาศเบื้องหน้า ผมรู้สึกไร้น้ำหนักและหยุดหายใจไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง ณ ตอนนั้น มองออกไปนอกหน้าต่างในความมืดก็ยังเห็นแสงไฟสีส้มของ runway ที่เอียงกระเท่เหล้ค่อยๆถอยหลังและหายไปจากสายตาในไม่ช้า และตามมาด้วยภาพของอาคารสนามบินที่ไม่ตั้งฉากกับกรอบหน้าต่างนั้นค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆจนหายไปในความมืดมิด ระหว่างที่นั่งตัวเอียงทำมุมกี่องศากับพื้นโลกเพื่อไต่ระดับความสูงนั้น ผมพยายามมองลงมาดูพื้นโลกซึ่งก็เห็นแต่ความมืดและเส้นสีส้มของถนนมอเตอร์เวย์ และหลังจากนั้นเมื่อมองออกไปไกลๆก็ไม่อาจเห็นสิ่งใดนอกจากจุดเล็กๆสีขาว สีส้ม สีเหลือง เป็นหย่อมๆ เป็นเส้นๆ เบื้องล่างอันไกลโพ้น สักพักหนึ่งหลังจากการนั่งตัวเอียงและตื่นเต้นกับการมองออกไปในราตรีนั้น เครื่องก็ไต่ระดับมาจนถึงจุดที่กัปตันคงจะพอใจและปลอดภัยสำหรับการเดินทางแล้ว ตัวผมค่อยกลับกลายมานั่งตรงๆได้อย่างช้าๆ ซึ่งในระหว่างนั้นก็รู้สึกโหว่งในท้องเล็กน้อยเมื่อเครื่องค่อยๆปรับระดับและตั้งลำมาเป็นการบินขนานกับพื้นโลกได้สำเร็จและมุ่งตรงไปสู่อากาศข้างหน้าอย่างรวดเร็วตามกำลัง แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าเครื่องนั้นบินช้านะ นั่นเป็นแค่ความรู้สึกของผมเมื่อนั่งอยู่ภายในตัวเครื่องซึ่งคงแปรผกผันกับความเร็วที่เครื่องบินพยายามเร่งขึ้น อาจจะเป็นเพราะด้านนอกมีแต่ความมืด จึงไม่มีอะไรให้เป็นที่สังเกตและเปรียบเทียบถึงความเร็วที่เครื่องกำลังบินไป หลังจากที่เครื่องบินตั้งลำการบินได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้ยินเสียงสัญญาณอะไรสักอย่างที่คุณก็คงพอจะนึกออกเวลาที่เครื่องตั้งลำนั้นล่ะ และสัญญาณ สัญลักษณ์ต่างๆเหนือศีรษะก็แสดงว่าห้ามถอดเข็มขัดนะ สารพัดที่มันอยู่บนนั้น แล้วกัปตันก็แจ้งกับผู้โดยสารด้วยเสียงหล่อๆว่าตอนนี้เราอยู่กันตรงไหนของโลก สูงกี่หมื่นฟุต สภาพอากาศนอกตัวเครื่องมีอุณหภูมิเท่าไร ตามหน้าที่ของเค้านั้นล่ะฯ แล้วก็เป็นเสียง(บันทึก)บรรยายและกล่าวต้อนรับผู้โดยสารเป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษสำเนียงชาวจีน แล้วบรรดา steward หนุ่ม (หน้าตาดีด้วย) และ air hostess สาวชาวจีนก็เริ่มปรากฎตัวกันมาให้เห็น เริ่มเดินสำรวจผู้โดยสาร ตรวจดูความเรียบร้อย จากการสำรวจ seat สีม่วงของสายการบิน Air China ลำนี้ ก็ถือว่านั่งสบายอยู่นะ ไม่แคบสักเท่าไร ที่วางแขนเปิดออกได้และซ่อนปุ่มควบคุมเครื่องเล่นเพลงและหูฟังอยู่ภายใน ผมทดลองเปิดฟังและแน่นอนว่ามีแต่เพลงจีนทั้งนั้น ผมฟังไม่ออกก็เลยถอดออกดีกว่า ไม่สนุกเลย จะสังเกตได้ว่าตอนนี้ผมเริ่มตื่นตัวอีกครั้งหลังจากเมื่อสักครู่นี้ก่อน boarding นั้นผมยังง่วงขนาดหนักอยู่เลย ที่ใส่ของเบาะด้านหน้ามีนิตยสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศจีนให้อ่านอยู่เล่มหนึ่ง เป็นภาษาอังกฤษ ก็น่าสนใจอยู่บ้างในบางเรื่องบางตอน ตอนนั้นผมก็สัยอยู่อีกนิดนึงว่าจะมีเสิร์ฟอาหารไหม ก็เลยถาม air hostess ที่เดินผ่านไปมา และเค้าก็ตอบกับผมว่ามีแน่นอน ก็หิวอ่ะนะ ดึกขนาดนี้ นอนก็ไม่ได้นอน กินมื้อดึกอีก และที่สำคัญผมไม่ลืมที่จะเดินไปสำรวจห้องน้ำบนเครื่องบินและได้ฉี่ในที่สูงอีกครั้ง ฮาๆ ตอนแรกงงกับประตูว่าเปิดยังไง แต่ที่แท้มีคนเข้าอยู่ เป็นคนไทยซึ่งเขาก็สอนผมว่าต้องเปิดปิดประตูห้องน้ำยังไง ฮาๆ แอบโชว์ความสะเหร่อไปแล้วหนึ่งครั้ง ภายในห้องน้ำแคบนะ แต่ไม่มาก ก็พอให้นั่งถ่ายกันได้อย่างไม่อึดอัดนัก ภาพรวมภายในห้องน้ำก็แลดูไฮเทคไม่น้อยล่ะ ตอนจะออกจากห้องน้ำก็ลืมว่าต้องเลื่อน ต้องงัดประตูยังไงอีก แอบโชว์รอบสองฮา ดีนะที่ไม่มีคนรอคิวเข้าห้องน้ำ เดินกลับมาที่นั่งของตัวเอง เริ่มดึงผ้าห่ม ดึงหมอนออกมาแล้ว เริ่มจะง่วงแต่แน่ใจเลยล่ะว่านอนไม่หลับ เพราะไม่ได้นอนแบบบนที่นอน แค่นั่งให้หลับไปตลอดทางเท่านั้นเอง เบาะนั่งปรับเอนไม่ได้มาก ก็ปรับให้สุดเท่าที่จะปรับได้ เกรงใจคนข้างหลัง ซึ่งก็คือเพื่อนเราเองนั่นแหละ ก็นั่งไปอย่างนั้นแหละ ระหว่างนั้นเครื่องก็สั่นเป็นพักๆ บางทีก็สั่นแป๊ปนึง บางทีก็สั่นนาน ไม่แน่ใจว่าตกหลุมอากาศหรืออะไร อาจจะชนกับมวลอากาศก็ได้ และเครื่องก็สั่นแบบนี้ไปตลอดทั้งคืน จนทำให้ผมเสียวอยู่เรื่อยๆ ฮาๆ ก็รู้ว่ามันปกติเหมือนกับรถยนต์ที่วิ่งบนถนนแล้วเจอกับลูกระนาดหรือวิ่งบนทางไม่เรียบ ย่อมต้องสั่นเป็นธรรมดา แต่อันนี้อยู่บนเครื่องบิน บินอยู่กลางอากาศ เครื่องสั่นเพราะผิวอากาศขรุขระแบบนี้ก็กลัวบ้างไรบ้าง แต่ผมสังเกตคนอื่นไม่เห็นเขาจะรู้สึกรู้สาอะไรกันเลย หรือพวกเขารู้สึกแต่ไม่แสดงออก ฮาๆ ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้นตลอดค่ำคืน ระหว่างที่ผู้โดยสารคนอื่นเริ่มจะหลับไปแล้ว แสงไฟบนเครื่องเริ่มหรี่ลงจนเหลือแค่ความสลัวพอมองเห็นผมก็คงจะต้องเริ่มข่มตา ข่มใจตนเองให้หลับบ้างแล้วล่ะ จากหน้าจอ navigator ขนาดใหญ่ที่มีให้ดูบนเครื่องนั้น ทำให้ทราบว่าตอนนี้เครื่องบินกำลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ บินข้ามผ่านประเทศลาว ประเทศเวียดนามและทางตอนใต้ของประเทศจีน ไปสู่นครปักกิ่งในอีกเกือบ 6 ชั่วโมงข้างหน้านี้...



Create Date : 28 เมษายน 2554
Last Update : 28 เมษายน 2554 23:01:39 น.
Counter : 1584 Pageviews.

2 comments
  
โหหห อ่านไม่ไหวเลยหล่ะจ่ะ อิอิ จะได้เล่มหนึ่งแล้ว อิอิ
โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 28 เมษายน 2554 เวลา:22:47:50 น.
  
เหอๆ ขออภัยครับ ยังไม่มีเวลาทำรูปเลยอ่ะ
โดย: Passepartout วันที่: 28 เมษายน 2554 เวลา:22:54:36 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Passepartout
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



คนธรรมดาคนหนึ่งบนโลกใบนี้ ซึ่งกำลังก้าวข้ามผ่านกาลเวลา เพื่อไปสู่อนาคต...

พยายามเข้าใจกับคำว่า "ตราบใดที่มีรัก..ย่อมมีหวัง"
เมษายน 2554

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
29
30