Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
10 กันยายน 2549
 
All Blogs
 
ความน่าจะเป็น...ที่ไม่น่าจะเป็น..!!?


ลังๆเลๆอยู่เป็นนาน กว่าที่ฉันจะตกลงปลงใจหยิบเอาหนังสือเรื่อง ความน่าจะเป็นของ ปราบดา หยุ่น ขึ้นมาอ่าน หนังสือเล่มที่ได้รับคำวิจารณ์ ทั้งด้านบวกและด้านลบ อย่างมากมายในปีที่มันได้ขึ้นแท่นรับรางวัล เรื่องสั้นซีไรท์ปี 2545 ฉันอ่านความน่าจะป็นเปรียบเทียบไปกับเมืองใต้อุโมงค์ หนังสือรวมเรื่องสั้นอีกเล่มหนึ่งของ ประชาคม ลุนาชัย ที่ถือได้ว่าเป็นคู่เชือดคู่เฉือนกันอย่างสมศักดิ์ศรี (หรือไม่.?) บนเวทีซีไรท์ปีนั้น

เมืองใต้อุโมงค์นั้นอ่านจนจบเล่ม แต่อ่านความน่าจะเป็นได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ตัดสินจากความรู้สึกของตัวเองในฐานะของคนอ่าน ที่ก็ใช่ว่าจะสัดทัดจัดเจนกระไรนักหนา กับวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังจะขอชี้ไปที่เมืองใต้อุโมงค์ ของประชาคม ลุนาชัย ว่าควรจะเป็นหนังสือที่ควรคู่กับรางวัลซีไรท์มากกว่า ความน่าจะป็นของ ปราบดา หยุ่น

เปล่า....ฉันไม่ได้มีอคติอะไรกับ ปราบดา และหนังสือของเขา และยอมรับว่าตัวเองก็ไม่ได้มีบรรทัดฐานอะไร มาชี้วัดตัดสินนอกเหนือไปจากความชอบและชื่นชม เมืองใต้อุโมงค์ มากกว่า ความน่าจะเป็น ฉันอยากจะขอยกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคำประกาศของคณะกรรมการการตัดสินรางวัลซีไรท์ ประจำปี 2545 มาให้อ่านกันสักนิดหน่อย

"เรื่องสั้นในหนังสือรวมเรื่องสั้นชุดนี้ มีลีลาและกลวิธีการเขียนเฉพาะตัว และมีความหลากหลายแปลกใหม่ในด้านกลวิธี และขนบวรรณศิลป์ นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในด้านการเล่นกับภาษา อย่างมีรากทางวัฒนธรรม"

อย่างมีรากทางวัฒนธรรม ฉันออกจะไม่ค่อยมีความรู้สึกเห็นด้วย หรือคล้อยตามข้อความนี้เท่าไหร่นัก แต่กลับเห็นด้วยกับคำกล่าวของเพื่อนคนหนึ่ง ที่เคยคุยกันถึงหนังสือเล่มนี้ว่า "เราไม่รู้ว่าเขา (ปราบดา) เข้าใจภาษาไทยดีหรือเปล่า อ่านแล้วบางทีก็ยังงงๆว่าเขาอยากจะสื่ออะไรกันแน่"

จริงอยู่ที่ถ้าหากจะพูดกันถึงความสร้างสรรค์ ความใหม่และสด ฉันก็ขอยอมรับว่า ปราบดา มีมันอยู่เต็มเปี่ยม เขาประดิษฐ์ประดอยภาษาของเขาขึ้นใหม่ พยายามให้มันวิจิตรบรรจง แต่ฉันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบางทีมันออกจะมากเกินไป

เขามีมุมมองต่อเรื่องราวที่ไม่เหมือนใคร มองเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องเป็นราวให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้ เช่นเรื่องของนักเว้นวรรคที่ชื่อ นางสาววันดี ฉันพอเข้าใจว่าศิลปินทำอะไรก็ต้องมีคอนเซป แต่ฉันคงต้องยอมรับอย่างไม่อายว่า การอ่านความน่าจะเป็น ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าได้มีโอกาสไปยืนอยู่หน้า ภาพแอปแสตรค ของศิลปินผู้มีชื่อเสียง โด่งดังสักคน แล้วใช้สายตาเพ่งพินิจไปที่ภาพ อย่างพากเพียร เท่าแล้วเท่ารอด ฉันก็ได้แต่ทอดถอนใจและรำพึงรำพันกับตัวเองว่า "มันวาดรูปอะไรของมันวะ" ข้อสรุปคือฉันคงยังไม่ลุ่มลึกมากพอที่จะเข้าใจถึงคอนเซปอันยิ่งใหญ่ ของศิลปินนั่นเอง

ในความรู้สึกของฉัน ความน่าจะเป็น ไม่อาจตอบโจทย์บางอย่างได้ โจทย์แบบเดียวกับที่ ประชาคมตอบไว้ในเมืองใต้อุโมงค์

หากว่าความหรูหรา ท้าทาย คือคำนิยามของ ความน่าจะเป็น งดงามและเรียบง่าย ของถ้อยคำภาษา วิธีการเล่าและความลึกซึ้งในวิธีคิด ก็คือคำนิยามของเมืองใต้อุโมงค์ เรื่องราวของประชาคมได้ถ่ายททอด สอดแทรก และปลูกฝังจิตสำนึก ทัศนะคติดีๆต่อสังคม ทุกเรื่องของเขาจบได้ในความรู้สึก และยังทิ้งอะไรไว้ให้คนอ่านได้คิดตาม โดยเฉพาะเดือนฉายใต้อุโมงค์ ซึ่งเป็นเรื่องสั้นเรื่องสุดท้ายในชุดนี้

"เรื่องสั้นรับใช้อะไร รับใช้ใคร สะท้อนอะไร บอกกล่าวอะไร......เรื่องสั้นทำหน้าที่ของมัน เช่นเดียวกับงานศิลปะแขนงอื่นๆ เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งไม่สามารถปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีของคนอ่านได้ทันท่วงที และไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมได้อย่างฉับพลัน โดยตัวของมันเอง นักเขียนเพียงทำหน้าที่ สร้างงานอันเป็นที่รัก อย่างดื่มด่ำ ความรื่นรมย์จากการเขียนย่อมเป็น สะพานทอดยยาวไปสู่ความรื่นรมย์แห่งการอ่าน จากนั้นช่อดอกไม้ อุทยานแห่งความดีงามก็จักผลิบานขึ้นทีละต้น"

ข้างต้นนั้นคือคำนำซึ่ง ฉันยกส่วนหนึ่งมาเป็นตัวอย่าง จากเมืองใต้อุโมงค์

เช่นนี้แล้ว คุณค่าของงานเขียนในความคิดของฉัน จึงไม่ใช่ความวิจิตร พิศดารของอะไร แต่มันควรจะอยู่ที่ว่า งานนั้นๆได้ตอบโจทย์อะไรในหัวใจคนอ่านได้บ้าง อาจไม่ต้องเลิศเลอกระไรนักหนา ขอเพียงแค่ว่าเมื่ออ่านแล้ว มันได้มีส่วนในการเติมเต็มความขาดพร่อง อะไรในหัวใจคนอ่านได้บ้างก็เท่านั้น





Create Date : 10 กันยายน 2549
Last Update : 18 มีนาคม 2550 12:43:34 น. 23 comments
Counter : 3175 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะคุณบรรณภรณ์ที่คิดถึง
โอเล่มาเชิญนะค่ะ
มีเวลาว่างเชิญไปอีกมุมของโอเล่
จะพาไปให้หัวเราะเล่นนะค่ะ
ตามลิ้งค์เลยนะค่ะ

//chobcheer.pantown.com/

ฝันดีนะค่ะ

ป.ล.โอเล่คิดถึงจริงๆน๊า


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:2:56:47 น.  

 
สวัสดีจ้า ... หลังจากคุยวันนั้นแล้วก็ไม่ได้คุยอีก ก็กำลังคิดว่าพี่หายไปไหนน๊อ แต่แว๊บไปตอบให้ที่เม้นท์เลยได้รู้แระว่าหายไปไหนมา ตอนนี้เลยหายคิดถึงเลยล่ะจ้ะ อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะพี่ ...


สำหรับหนังสือนี้ นิดบอกตามตรงว่า ไม่เฉพาะงานของปราบดาหรอกค่ะที่อ่านแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจ หรือว่าภาษาใหม่ๆ วัยรุ่นเค้าเรียกว่าไม่ค่อยเก็ท เพราะว่างานของคนอื่นๆ บ้างที่เขียนออกแนวใหม่ๆ รำพึง เปรียบเทียบ บางทีมันก็ยากจะเข้าใจนะค่ะ อาจจะเพราะว่าไม่ชินกับผลงานและการเขียน หรือว่าไม่ก็อ่านน้อยสำหรับงานบางอย่าง พอมาจับแล้วมันไม่คุ้นเคยก็เลยพาลไม่เข้าใจ และรับยาก ทีนี้เลยกลายเป็นว่า เลยเป็นกรอบให้เราตัดสินเองเลยว่า เล่มไหน อ่านยากไม่อ่าน เล่มไหนอ่านง่ายก็ขอให้ได้ถือไว้เถิด

เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ก็เลยเห็นด้วยเลยว่า เล่มไหนที่อ่านแล้วเหมือนเราอิน สนุก ได้เติมเต็มกับความรู้สึกของเราได้ สนองความต้องการเราได้ นั่นล่ะค่ะ ถือว่าหนังสือเล่มนั้นประสบความสำเร็จในแง่ของความรื่นรมย์ให้ตัวเองได้รื่นเริง

ฝันดีจ้ะ


โดย: JewNid วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:3:44:50 น.  

 
ไม่มีหนังสือเรื่อง"ความน่าจะเป็น"ของคุณปราบดา หยุ่น ที่ได้รับรางวัล S.E.A write ปี'45 ไว้ครอบครองค่ะ

เหตุผลก็คือเคยพลิกๆดูขณะอยู่ในร้านหนังสือ เปิดอ่านไปหลายหน้าแต่ไม่เข้าใจในภาษาที่เค้าสื่อให้คนอ่าน

ไม่ได้รับความรื่นรมย์ใดๆในการอ่าน ตอนนั้นก็แอบคิดว่า

ตาย.. ทำไมเราอ่านหนังสือที่ได้รับรางวัลเล่มนี้ไม่รู้เรื่องนะ

ใครถามจะคุยกะเค้าได้มั๊ยเนี่ย ตอนนั้นไม่อยากตก trend

น่ะค่ะ แต่ก็นึกถึงความรู้สึกตัวเองมากกว่า คิดว่าในเมื่อ

ฉันอ่านไม่รู้เรื่องจะซื้อมาให้เสียตังค์ทำไมกัน

ในที่สุดฉันก็เลยไม่ได้ซื้อมาไว้เป็นเจ้าของ

~~หนังสือที่ดีของฉันไม่จำเป็นต้องได้รับรางวัลใดๆ แต่

อ่านแล้วถ้าฉันได้"อะไร"บ้าง หรือแค่ทำให้ยิ้มได้ ฉันก็

ปลื้มกับมันแล้วค่ะ

Happy sunday,ka!


โดย: random-4 วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:8:59:56 น.  

 
ผมว่าสิ่งที่คนเขียนหนังสือควรจะศึกษาก่อนเป็นอย่างแรก
และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือภาษาและการสื่อภาษา หนังสือ
ที่ดีต้องทำให้คนอ่านเข้าใจมากกว่าไม่เข้าใจ และถ้าหนังสือ
เล่มไหนทำให้คนอ่านเข้าใจได้ตรงตามความตั้งใจของผู้เขียน
แล้วละก็ ผมถือว่าหนังสือเล่มนั้นประสบความสำเร็จมากกว่า
การได้รางวัลแล้วละครับ

จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือที่เขียนโดยคนไทย
เยอะเท่าไหร่ เพราะส่วนมากก่อนที่จะหยุดอ่านหนังสือไปเนื่อง
จากข้ออ้างว่า "ไม่มีเวลา" แล้ว ผมมักจะอ่านแต่หนังสือแปล
จำพวกแนวสืบสวนสอบสวน, หนังจีนกำลังภายใน และเรื่องสั้น
บ้างมากกว่า ส่วนของนักเขียนไทยที่ชื่นชอบมากๆก็จะมีเพียง
งานเขียนของ "มาลัย ชูพินิจ" ไม่ว่าจะเป็นในนามปากกา
ใดๆก็ตาม โดยเฉพาะ "ล่องไพร" (ที่เพชรพระอุมา ของ
พนมเทียน เทียบไม่ติดในความเป็น "นิยาย" ตามความรู้สึก
ของผม...) "ล่องไพร" หนังสือที่ทำให้ผมชอบผืนป่า และ
ชีวิตป่า (คล้ายๆเป็นชีวิตในความฝันซึ่งความเป็นจริงไม่
สามารถใช้ชีวิตเยี่ยงนั้นในวิถีชีวิตของผมตอนนี้ได้)

ความเป็นเอกลักษณ์ทางงานเขียนอาจจะทำให้หนังสือขายดี
หรือขายไม่ออกเลยเลยก็ได้ แต่นั่นแหละที่ทำให้หนังสือมี
"เสน่ห์" สำหรับคนที่ไม่ใช่นักเขียนอย่างผม เพียงแต่ผมต้อง
สามารถเข้าถึง "เสน่ห์" ที่ว่านั้นเท่านั้นจึงจะยอมควักกระเป๋า
เพื่อหนังสือเล่มนั้น....


โดย: ST.Exsodus วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:9:45:27 น.  

 
No Comment ค่ะ ...ไม่ได้อ่านงานของปราบดานานแล้ว
ที่อ่านล่าสุดเป็นเรื่องสั้นของเขา ก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
เล่มที่ จขบ. อ่าน เราก็ยังไม่ได้อ่าน มึนๆ กับตัวหนังสือของเขาง่ะ


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:10:43:15 น.  

 

ผมเป็นคนขี้เกียจอ่านนิดหน่อย ยิ่งมาเจอหนังสือซีไรต์ (ส่วนใหญ่ความคิดดีแต่เขียนซีเรียส) ผมก็เลยอ่านไม่ค่อยจบ

ความน่าจะเป็น ก็เป็นอีกเล่มที่วางอยู่บนหิ้งนานเป็นปี จำไม่ได้ว่าวางอยู่ตรงไหนแล้วด้วย

ปล. ผมเป็นคนสุราษฎร์ครับ เกิดและเรียนมัธยมที่นี่ แต่เรียนชั้นสูงและทำงานที่กรุงเทพครับ


โดย: yyswim วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:11:59:17 น.  

 
หนังสือซีไรท์บางเล่ม อาจจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชมมากมายในสายตาหลายคน แต่ศิลปะ มันก็เป็นเรื่องอัตถวิสัยมานานแล้วนะครับ

ซีไรท์ที่ผมชอบมากสองเล่ม ก็ไม่ใช่หนังสือที่ใครจะยกย่องมากมาย อย่าง "ซอยเดียวกัน" ของคุณวาณิช และ "ตลิ่งสูง ซุงหนัก" ของคุณนิคม รายวา

สำหรับผม ซีไรท์ ไม่ได้เป็นดัชนีวัดความดีของหนังสือ แต่เป็นแค่รางวัลที่ให้กำลังใจคนทำงานเขียน และเป็นเหมือนคำแนะนำให้คนอยากอ่านหนังสือ แต่ไม่รู้จะเลือกเล่มไหน มีเกณฑ์บางอย่างในการช่วยตัดสินใจ

ผมเชื่อว่า มีหนังสืออีกหลายเล่ม ที่ดี โดยไม่เคยได้เข้าชิงซีไรท์

ผมแสดงความเห็น โดยไม่มีน้ำหนักอะไรเลยนะครับ เพราะผมสูญเสียความสามารถในการอ่านนิยายไปนานแล้ว 5555

ผมไม่เคยบังคับให้ตัวเองอ่านหนังสือต่อเนื่องรวดเดียวจบได้มานานแล้ว เพราะไม่เคยมีหนังสือเล่มไหน สะกดผมอยู่ เหมือนเมื่อก่อน

ไม่ได้บอกว่า นักเขียนรุ่นนี้ฝีมือสู้รุ่นก่อนไม่ได้หรอก
ผมคงสนใจเรื่องดนตรีและภาพยนตร์มากขึ้น อ่านหนังสือน้อยลงเท่านั้นเอง

หายไวไวนะครับ ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมผมที่บล็อคครับ


โดย: aston27 วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:12:30:40 น.  

 
ตานึกว่าตาเป็นคนเดียวที่มีความรู้สึกแปลกๆกับหนังสือของ คุณ ปราบดา หยุ่น....แถมยังพาลโมโหตัวเองว่า อาจจะตกรุ่นไปซ่ะแล้ว ที่แท้ก็มีคนคิดเหมือนเราเช่นกัน....

ตากลับบ้านไปเที่ยวนี้ ขนหนังสือมาหลายเล่ม แต่ไม่มีงานของเขาสักเล่ม...เหตุผลง่ายๆก็คือ ตาอ่านงานของเขาไม่รู้เรื่อง และอีกอย่าง ตาชอบอ่านหนังสือหน้าขาวๆค่ะ

คิดถึงนะคะ...


โดย: Tante Ta วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:12:35:58 น.  

 
เห็นผมเขียนชมล่องไพรไว้เยอะ กลัวคนที่อ่านเพชรพระอุมาก่อน
แล้วมาอ่านล่องไพรจะด่าเอาได้ เลยต้องมาอธิบายให้เข้าใจกันสักหน่อย

จริงๆทั้งสองเรื่องนี้การที่จะชอบเรื่องไหนมากน้อยกว่ากันอยู่ที่
ความชอบส่วนตัวเป็นหลัก ความชอบในแนวการดำเนินเรื่อง และ
ลำดับการอ่านก่อนหลังก็มีส่วนอยู่ไม่ใช่น้อย

จริงๆแล้วผม ชอบทั้งสองเรื่องละครับ แต่จะชอบล่องไพรมากกว่า
เพราะในช่วงต้นของเพชรพระอุมาออกจะมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกัยเยอะ
เกินไปหน่อย แถมศัตรูแต่ชาติปางไหนก็ดันมาเป็นสัตว์ซ๊ะส่วนมาก
(ไม่ว่าจะถูกบงการจากใครหรือไม่ก็ตาม) อ่านแล้วรู้สึกสงสารสัตว์เหล่านั้น
ส่วนจุดมุ่งหมายของทั้งสองเรื่องก็ออกจะต่างกันพอสมควร
ทางด้านล่องไพรจะมีหลากหลายกว่าเพราะมีหลายตอนแต่เนื้อเรื่อง
จะมีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่บ้างการดำเนินเรื่องของเพชรพระอุมา
จะออกเป็นแนวละคร มีคู่พระนาง แต่ของล่องไพรจะเป็นแนวภาพยนต์
มากกว่า แต่ละเรื่องก็ให้ความรู้กันไปคนละแบบ คนละอรรถรส ถึงแม้จะเป็น
เรื่องเกี่ยวกับป่าเหมือนกันแต่ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คงเป็นเพราะผมไม่ค่อยชอบดูละคร เลยทำให้ความชอบที่มีต่อ
เพชรพระอุมาน้อยกว่ากว่าล่องไพร และอาจจะเป็นเพราะผมอ่าน
ล่องไพรตั้งแต่เด็ก ก่อนจะมาอ่านเพชรพระอุมาเป็นสิบปีได้
ความรู้สึกประทับใจจึงเอียนเองไปทางล่องไพรมากกว่า เพราะเป็น
ความประทับใจตั้งแต่วัยเด็ก อีกทั้งได้อ่านหนังสือของ "มาลัย ชูพินิจ"
ในแนวอื่นจากนามปากกาอื่น ทั้งแนวโรแมนติก (แบบเรื่องสั้น) ที่เขียนได้
ประทับตรึงใจในแง่ของเหตุและผลรวมทั้งถ้อยคำ หรือแม้แต่หนังสือแนว
อิงประวัติศาสตร์อย่าง "ชายชาตรี" ก็ทำให้ผมหลงไหลได้ไม่มีลืม (หากแต่
เสียได้ที่ไม่ได้อ่านเรื่องนี้จนจบ...) ความผูกพันธ์ที่ผมมีต่อตัวอักษรที่ลายร้อย
และเรียบเรียงผ่านปลายปากกาของ "มาลัย ชูพินิจ" จึงมีมากกว่า "พนมเทียน"
อย่างเห็นได้ชัด

โอว~ ยิ่งเขียนยิ่งยาวเดี๋ยวจะไม่จบเอา เอาเป็นว่า ชอบเรื่องไหนก็อ่านเรื่องนั้น
เถอะครับ รางวัลนั้นเป็นความภูมิใจของนักเขียน แต่สิ่งที่ทำให้นักเขียนอยู่ได้
คือยอดขายครับ


โดย: อ่านมานิดหน่อยขอฝอยแบบงูๆปลาๆ (ST.Exsodus ) วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:12:39:02 น.  

 


อ่อนล้าและอ่านหนังสือจบแล้ว
ก็มาร่วมสังสรรค์เฮฮายกกาแฟขึ้นซดชนแก้ว
แวะไปบอกที่ Blog เรามั่งนะคะ
ว่าคุณๆ ชอบไปดื่มกาแฟที่ร้านไหนบ้าง ?
เราจะได้ไปแวะดื่มมั่งเจ้าค่ะ
แต่ไม่ห้ามที่ท่านผู้ใดไม่ดื่ม
ก็มาเม้นท์บอกกันได้นะคะ
ไม่ผิดกฎ กติกา มารยาทแต่ประการใดเน๊าะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:13:56:30 น.  

 
ขอบคุณและดีใจค่ะที่ได้อ่านความเห็นที่หลากหลายจากเพื่อนๆ นั่นแหละค่ะที่ต้องการเลยละ จริงๆอยากจะให้เพื่อนๆได้ลองอ่านสองเล่มนี้จังเลยค่ะ เพราะมันน่าสนใจมาก วิธีเขียนของทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

แต่ความสำคัญของมันคงไม่ได้อยู่ที่ว่า ทั้งสองเล่มนั้นใครจะได้หรือไม่ได้รางวัลหรอกนะคะ จริงๆก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องนั้น เพียงแต่ว่าเขียนหัวข้อให้ดูน่าสนใจและน่าติดตามเท่านั้นเองค่ะ

ความสำคัญของบทความนี้ คงจะอยู่ที่ได้สรุปเอาไว้ในย่อหน้าสุดท้ายค่ะว่า

" เช่นนี้แล้ว คุณค่าของงานเขียนในความคิดของฉัน จึงไม่ใช่ความวิจิตร พิศดารของอะไร แต่มันควรจะอยู่ที่ว่า งานนั้นๆได้ตอบโจทย์อะไรในหัวใจคนอ่านได้บ้าง อาจไม่ต้องเลิศเลอกระไรนักหนา ขอเพียงแค่ว่าเมื่ออ่านแล้ว มันได้มีส่วนในการเติมเต็มความขาดพร่อง อะไรในหัวใจคนอ่านได้บ้างก็เท่านั้น"

จุดใหญ่ใจความก็คงจะอยู่ที่ว่าใครชอบหรือนิยมแบบไหน ก็แล้วแต่ใครจะเลือกเสพเลือกรับนั่นเองค่ะ ขอความคิดเห็นดีๆแบบนี้เยอะๆนะคะ จขบ ชอบมากที่ได้อ่านเพราะมันหลากหลาย และประเทืองปัญญาค่ะ ขอบคุณที่สุด


โดย: บรรณภรณ์ วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:16:09:34 น.  

 
ถ้าอ่านงานของปราบดาดี ๆ ก็จะพบคำบางคำที่อยู่ผิดที่ผิดทางเสมอ ๆ แต่ให้ตายเหอะ ไอ้ภาษาที่เราอ่านแล้วคิดว่ามันผิด แต่คณะกรรมการท่านบอกว่ามีความโดดเด่นในด้านการเล่นกับภาษา หรือว่าเป็นตัวเราเองที่ด้อยปัญญา

แต่ก็มีผู้ทรงคุณวุติหลายท่านที่มีความเห็นเหมือนเรา คำวิจารณ์ในแง่ลบจึงคละเคล้าไปกับคำวิจารณ์ในแง่บวก

แต่อย่าประมาทไป สมัยหนึ่ง 'รงค์ วงสวรรค์ ก็เคยถูกวิจารณ์ว่าทำภาษาวิบัติมาแล้ว ก่อนที่ต่อมาจะได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณกรรม

ปล. ผมอ่านเรื่องโลกนี้มันช่างยีสต์จบแล้วล่ะ อ่านแล้วนึกขำที่ผู้เขียนเล่าถึงลูกศิษย์ที่ทำตัวแปลก ๆ เข้าใจยากคนหนึ่ง แล้วเปรียบเทียบว่าให้ไปอ่านหนังสือของปราบดา หยุ่น ยังจะเข้าใจได้ง่ายกว่า


โดย: 9A วันที่: 10 กันยายน 2549 เวลา:23:01:21 น.  

 
ผมเพิ่งซื้อหนังสือเขามาอ่านเอง

พอดีมันว่างมาก จำได้ตอนเรียนปี1 เพื่่อนมันอ่าน แต่เราไม่ได้สนใจ

งานของเขาก็พออ่านได้ บางเล่มน่ะ

บางเล่มไปยืนอ่านแล้วก็ ไม่ไหวๆ

นานาจิตตังของแบบนี้้


โดย: BaLL182 IP: 203.170.228.172 วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:1:29:32 น.  

 
เรื่องของปราบดาอ่านแล้ว
แต่ของประชา ยังไม่เคย
และจะไปซื้อหามาอ่าน
เนื่องด้วยชอบคำนำมาก ๆ

เจ๋งสุด ๆ ครับคุณบรรณภรณ์

อ่านหนังสืออะไรมาเขียนเล่าไว้แบบนี้เรื่อย ๆ นะครับ
เปิดโลกทัศน์ให้คนอื่น ๆ ดีครับ


โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:2:04:10 น.  

 
คุณบรรณภรณ์คะ
อืมท์ บอกแล้วให้ออนมาหาตาก็ไม่เชื่อ...อย่าเสียใจเลยค่ะ

อยากได้แต่ลิงค์อย่างเดียวเหรอคะ แล้ว อีเมล์ ไม่อยากได้มั่งเหรอตัว


โดย: Tante Ta วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:2:04:43 น.  

 
สวัสดีครับ ...

เขียนอย่างไรให้เป็นการเขียน "ด้วยใจ"
ไม่ใช่เขียน "ด้วยมือ" อ่ะเนี่ย


โดย: สะเทื้อน วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:8:48:19 น.  

 
สวัสดีวันจันทร์สีเหลืองค่ะคุณบรรณภรณ์ สบายดีนะค่ะท่าทางคุณบรรณภรณ์จะเป็นหนอนหนังสือชอบอ่านไม่เหมือนเราก็ชอบอ่านนะ แต่ว่าเปิดหนังสือขึ้นมาทีไรหลับทุกที


โดย: 304 คอนแวนต์ (304 คอนแวนต์ ) วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:10:58:48 น.  

 
สวัสดีเช้าวันใหม่วันจันทร์ค่ะ ....วันหยุดเสาร์อาทิตย์ได้พักผ่อนเหมือนที่ต้องการไม๊ค่ะ ...

ทางนี้ฟ้าฝนหยุดพัก ฟ้าแจ้ง ใส สวยดีค่ะ เคลิ้มๆ ทำให้ง่วงได้เหมือนกันน๊า ...

แวะทักทายค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:13:08:41 น.  

 
แวะมาทักทายด้วยความคิดถึงค่ะ จขบ สบายดีป่าวคะ


โดย: ทูน่าค่ะ วันที่: 11 กันยายน 2549 เวลา:13:17:22 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ บรรณภรณ์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันค่ะ

เคยหยิบความน่าจะเป็นมาอ่านครั้งเมื่อนานมาแล้ว
เกิดความรู้สึกเช่นเดียวกันว่า
แล้วทำยังไงฉันถึงจะเข้าถึงหนังสือเล่มนี้ได้
แต่ก็ยังประทับใจคำๆหนึ่ง ที่ผู้เขียน เขียนไว้ว่า "ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยน"
แล้วเรื่องราวต่อจากนั้นเป็นยังไงก็จำไม่ได้แล้ว อิ อิ


โดย: tu_bong วันที่: 12 กันยายน 2549 เวลา:0:33:04 น.  

 
เอ..แต่ทำไมกันนะหนูถึงชอบกับงานเขียนเล่มนี้ของปราบดาหยุ่น อันที่จริงตามความคิดของหนูนะที่กล่าวๆมากมันก็ถูกนะ หนูว่าเป็นภาษาที่แปลกดี การทำความเข้าใจกับมันได้คือสิ่งหนึ่งที่ท้าทายและเหมือนกับการอ่านแบบผจญภัยมากกว่าที่จะอ่านเรื่องที่มันเข้าใจง่ายๆที่จริงภาษาที่เขา(ปราบดา หยุ่น)ใช้ก็เป็นภาษาไทยนี่แหละเพียงแค่กลวิธีของเขาแยบยลไปในอีกแง่มุมหนึ่งการได้อ่านและได้เข้าใจอะไรที่ต่างจากมุมเดิมก็เป็นสิ่งที่หลายๆคนอาจต้องการแต่อีกแง่หนึ่งแล้วการมีความสุขกับการอ่านหนังสือตามแนวที่ตนเองชอบและตัดสินใจซื้อนั่นก็เป็นสิทธิ์ของผู้อ่าน
คนเราย่อมมีความชอบแตกต่างกันไปบ้างเป็นธรรมดา
เอาเป็นว่าชอบและมีความสุขกับสิ่งใดก็เลือกสิ่งนั่นส่วนการตัดสินของคณะกรรมการนั้นก็ต้องเข้าใจตามแง่มุมของคนที่พิจารณา
ความหมายของการอ่านไม่จำเป็นว่าหนังสือที่เราชอบนั้นจำเป็นต้องเป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลเสมอไป
เพราะที่เราชอบนั้นอาจให้อะไรกับเราหรือที่เรียกว่าตอบสนองความต้องการของเราได้มากกว่าก็แค่นั้น


โดย: สายน้ำ IP: 119.42.83.138 วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:23:56:52 น.  

 
ผมละเซงโครต

ผมได้อ่านเรื่องนี้เป็นๆๆๆหลายรอบแล้ว
ไม่ค่อยที่จะรู้เรื่องเท่าไร
ก็สนุกดีคับ



โดย: โอเล่ย์ IP: 118.174.97.190 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:18:22 น.  

 
เพิ่งจะเริ่มอ่าน ความน่าจะเป็น ค่ะ แต่แค่ตอนแรกเท่านั้นก็ยังไม่เข้าใจ ไม่เก็ตอ่ะค่ะ ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรอ่ะค่ะ ใครเก็ตก็ช่วยบอกทีว่าสรุปว่า ความน่าจะเป็นกับ คำว่า "ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลง" มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ขอบคุณค่ะ


โดย: ปุณยนุช IP: 1.47.245.79 วันที่: 4 กรกฎาคม 2555 เวลา:9:51:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

บรรณภรณ์
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




"ถ้าลดขนาดความต้องการของเราให้เล็กลง ขนาดของความสุขจะเพิ่มมากขึ้น"




Everything happens for a reason,live it, love it,learn from it, make your smile change the world but don't let the world change your smile





ชื่อติ๊กนะคะ ......
จะเรียกน้อง (ถ้ายังมีคนที่อายุมากกว่าอยู่อ่ะนะ)
จะเรียกพี่ เรียกน้า อา หรือป้าก็ได้ไม่ว่ากัน
แต่อย่าเพิ่งเรียกยายเท่านั้นเพราะอายุยังไม่ถึง
ขณะนี้อยู่ที่สถานีรถไฟหลักสี่ตอนต้น ๆ ค่ะ

ก่อนอื่นใด ....คงต้องกล่าวคำขอบคุณจากใจ
ทั้งกับเพื่อนเก่าที่ไม่ลืมกัน.........
และเพื่อนใหม่ที่เข้ามาทักทาย
และให้โอกาส จขบ. ได้ทำความรู้จักนะคะ
รู้สึกเป็นเกียรติมาก
สำหรับมิตรภาพที่ทุกคนมีให้
ขอบคุณที่เข้ามาบ้านนี้และทิ้งคำทักทายไว้ให้
ไม่โหวด ไม่ไลค์ไม่เป็นไรค่ะ
แค่เข้ามาอ่านและทักทายกันก็ดีใจแล้ว
kiss kiss



New Comments
Friends' blogs
[Add บรรณภรณ์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.