สวัสดีค่ะะะะะ
หลังจากรีวิวทริป Meet the Bloggers Chapter 2 ณ ตรังและสตูลมาแล้วดังนี้
วันนี้จะพาไปเที่ยวยังอีกรูตติ้งหนึ่งของสตูล นอกเหนือไปจากทะเลแล้วนะคะ นั่นก็คือ สตูลจีโอปาร์ค ซึ่งประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า ถ้ำเลสเตโกดอน และป่าชายเลนนั่นเองค่ะ โดยเอนทรี่นี้จะเป็นเอนทรี่จบของทริปนี้แล้วนะค้าาา
หลังจากที่อิ่มกับบาราโรตีแล้วเราก็เดินทางไปที่แรกกันก่อนเลยกับพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า นะคะ พิกัดก็ตามนี้เลยนะฮับ
รถจอดที่ด้านหน้าอาคารเลยค่ะ รูปแรกคืออาคารที่ทำการของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นะฮับ ส่วนรูปล่างเป็นที่ทำการอบต.ที่นี่ ซึ่งถ้าจะเข้าห้องน้ำต้องไปที่อาคารนี้ค่ะ
เข้าไปภายในกันค่ะ เจ้าหน้าที่หรือตัวแทนของที่นี่รอพร้อมอยู่แล้วค่ะ (ขออภัยค่ะ หาที่จดชื่อกับตำแหน่งไว้ไม่เจอ แหะๆ)
ส่วนแรกเนื่องด้วยเป็นงบประมาณของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (ฮา) ก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับช้างเผือกในรัชกาลที่ ๙ นี้นะคะ
ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของช้างเผือกว่าต้องมีส่วนใดที่ขาวบ้าง ปัจจุบันช้างเผือกในรัชกาลนี้มีทั้งหมดกี่ช้าง โดยพี่เค้าก็ได้ให้ข้อมูลว่าที่จริงมีทั้งสิ้น 21 ช้าง แต่ขึ้นแค่ 10 ช้าง (โดยเชือกที่ 8-9-10 นี่ขึ้นระวางพร้อมกันค่ะ) เพราะในหลวงท่านดำริว่าเป็นการสิ้นเปลือง เนื่องจากการขึ้นระวางช้างนั้น จะต้องมีการสมโภชทุกจังหวัด นับตั้งแต่จังหวัดที่เจอช้างจนกระทั่งถึงกรุงเทพฯ ค่ะ (เคยจำได้ว่า สมัยเด็กๆ ครูบอกว่า การมีช้างเผือกปรากฏในรัชกาลนั้น ยิ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงถึงบุญบารมีของกษัตริย์พระองค์นั้นๆ นะคะ)
ปัจจุบันประเทศไทยเหลือช้างป่าราว 2000 ตัว และช้างเลี้ยง 4000 เชือกค่ะ แต่พี่เค้าบอกว่า ที่หนักกว่าคือ จำนวนของเสือโคร่ง เพราะเสือหนึ่งตัวจะใช้พื้นที่ราว 350 ตร.กม. ซึ่งพอปริมาณพื้นที่ป่าลดลง ก็มีผลต่อเสือโคร่งด้วยเช่นกันนะคะ
นอกจากนั้นก็ยังมีภาพยนตร์สารคดีที่มาถ่ายทำในประเทศไทยให้ดูด้วยนะคะ เป็นภาพยนตร์ที่มีฉากที่ช้างเข้าฉากทั้งสิ้น 400 เชือกค่ะ
นอกจากนั้นก็มีเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมประเพณี อาหารการกินของสตูล ฯลฯ ซึ่งพี่เค้าบอกว่า สตูลจะค่อนข้างเชื่อมโยงกับนครศรีธรรมราชมากกว่าหาดใหญ่ (ทั้งที่ใกล้หาดใหญ่กว่า) ภาษาที่ใช้ก็จะใช้ภาษาใต้แบบนครฯ เช่นกันค่ะ
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องราวของเซมัง ซึ่งทำให้เราได้ทราบว่า เซมังเป็นชนชาติในตระกูลนิกริโต ซึ่งแตกต่างจากซาไกที่จะเป็นตระกูลมองโกลอยด์ซึ่งจะมีผิวสีดำแดงนะคะ ขณะที่เซมังจะมีผิวสีดำเขียว แล้วในภาพยนตร์ที่มีอยู่จะทำให้เห็นเลยว่า เค้าแตกต่างกันจริงๆ ค่ะ
นอกจากนั้นพี่เค้ายังเล่าให้ฟังด้วยว่า อย่างเผ่าผีตองเหลือง ก็จะเป็นแบบเดียวกับซาไกค่ะ แต่ซาไกจะมีพัฒนาการมากกว่าเผ่าตองเหลืองนะคะ
นอกจากนั้นพี่เค้ายังเล่าด้วยว่า หากเซมังจะมีอะไรกัน เค้าจะไม่ทำกันในทับ (หรือบ้าน) นะคะ แต่จะชวนกันไปหาเผือกหามันค่ะ
โซนต่อมาก็จะเริ่มเป็นเรื่องของช้างสเตโกดอนแล้วนะคะ ก็จะมีการปูพื้นเรื่องของพื้นที่แถบถิ่นนี้ ช้างในยุคต่างๆ และการให้ความรู้เพิ่มเติม เช่น การที่บอกว่าช้างมีฟันทั้งสิ้น 6 ชุด ฟันหนา 2 นิ้ว และมักจะตายไปกับชุดที่ 6
ช้างสเตโกดอน เป็นช้างที่กินได้แต่พืชอวบน้ำตามลักษณะฟัน ไม่เหมือนช้างอื่น ซึ่งแต่เดิมช้างสเตโกดอนจะมีสี่งา แต่ก่อนสูญพันธุ์จะเหลือเพียงสองงาแล้วค่ะ
นอกจากนั้นก็ยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ซากช้างสเตโกดอนที่พบ จะพบจากในน้ำหมดทั้งสิ้นค่ะ อยู่ในถ้ำเลฯ (ที่เราจะไปเที่ยวรอบบ่าย) ทั้งสิ้นเลยค่ะ (ที่อยู่ที่นี่เป็นของจำลองนะคะ) แล้วการพบซากสัตว์มีทั้งสิ้นจำนวน 330 ชิ้นซึ่งเป็นสัตว์คนละชนิดกันค่ะ
จากนั้นก็พาไปเรียนรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยากันต่อที่อาคารด้านนอกค่ะ จะเป็นการพบเจอซากต่างๆ ลักษณะชั้นดิน ฯลฯ ซึ่งถ้าใครไป เราแนะนำให้ติดต่อวิทยากรบรรยายให้ฟังแบบนี้นะคะ ไม่อย่างนั้นจะดูแบบไม่มีความรู้อะค่ะ
เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ก็ไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารเรือนไม้ค่ะ เป็นร้านอาหารเล็กๆ พื้นบ้านอยู่ระหว่างพิพิธภัณฑ์ฯ กับถ้ำเลสเตโกดอนหละนะคะ อาหารจะค่อนข้างช้านิดหนึ่งค่ะ แต่โดยเวลาและทำเลแล้วก็เหมาะสมที่สุดสำหรับการกินมื้อกลางวันนะฮับ
อิ่มกันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางต่อไปยังถ้ำเลสเตโกดอนกันค่ะ ถ้ำเลสเตโกดอนเป็นถ้ำเลที่ยาวที่สุดในแหลมมลายูค่ะ (ขณะที่ถ้ำภูผาเพชรเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดค่ะ)
ค่าใช้จ่ายที่นี่หัวละ 300 บาท นะคะ โดยราคานี้ขั้นต่ำต้องมากัน 8 ท่าน ค่ะ (หรือถ้ามาไม่ถึงก็จะจ่าย 2400 บาทเป็นค่าเหมาไปเลยก็ได้นะคะ) โดยขั้นตอนการเดินทางก็จะเป็นการนั่งเรือแคนูอยู่ราวๆ ชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงค่ะ (ทั้งในถ้ำและนอกถ้ำ) จากนั้นก็จะเป็นการนั่งเรือหางยาว ผ่านแหล่งทำถ่าน แล้วก็ขึ้นไปค่ะ
โดยก่อนเข้าถ้ำ ต้องใส่หมวกกันน็อคและเสื้อชูชีพด้วยค่ะ ซึ่งการเข้าไปที่นี่ยังไงท่อนล่างก็มีโอกาสเปียกนะคะ เพราะฉะนั้นควรเตรียมกางเกงไปเปลี่ยนเมื่อสิ้นสุดทริปด้วยค่ะ (ที่ท่าเรือปลายทางมีห้องน้ำให้เปลี่ยนค่ะ)
่นอกจากนั้นก็ควรเอาถุงกันน้ำไปด้วยสำหรับใส่พวกอุปกรณ์ที่เปียกไม่ได้นะฮับ แล้วก็ในถ้ำบางช่วงจะต้องมีขึ้นจากเรือ (กรณีน้ำลดมากๆ แล้วเรือผ่านไม่ได้) ด้วยค่ะ ควรแต่งกายให้ทะมัดทะแมงที่สุดนะฮับ เป็นรองเท้าแตะแบบรัดส้นจะดีกว่าค่ะ หรืออย่างน้อยก็รองเท้าแตะก็ได้นะคะ
ตัวถ้ำเลฯ จะเที่ยวได้แค่วันละรอบนะคะ ซึ่งต้องเช็คกับทางที่ทำการว่า วันนั้นๆ จะเข้าได้ช่วงเช้าหรือบ่ายค่ะ (เพราะน้ำขึ้นเกินไปก็เที่ยวไม่ได้ น้ำลงเกินไปก็เที่ยวไม่ได้ค่ะ ต้องเช็คให้ดีค่ะว่าต้องไปถึงเวลากี่โมง และควรไปให้ตรงเวลาเป๊ะๆ นะคะ เพื่อการท่องเที่ยวได้อย่างครบถ้วนค่ะ)
ซึ่งการเที่ยวที่นี่ ถ้าใครแข้งขาไม่ดี ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่นะคะ เพราะอย่างเราตอนไปมีช่วงหนึ่งต้องขึ้นจากเรือนิดหนึ่งมันก็ต้องปีนป่ายนิดหน่อยน่ะค่ะ อีกอย่างการนั่งบนเรือแคนูนานๆ สองชั่วโมงนี่ ถ้าคนหลังไม่ค่อยดีก็ควรเลี่ยงเช่นกันฮับ รวมทั้งคนที่กลัวความมืดด้วย (คือระหว่างเที่ยวมันมีไฟส่องค่ะ แต่จะมีช่วงหนึ่งที่เค้าทดสอบความมืดที่สุด เค้าจะดับไฟทุกดวง ซึ่งมันมืดสนิทจริงๆ ค่ะ ไม่เห็นอะไรเลย) แต่ถ้าใครเมื่อยวิธีที่จะช่วยได้อีกอย่างคือ นั่งบนเสื้อชูชีพค่ะ เพราะช่วยซัพพอร์ตได้หน่อยหนึ่งนะคะ แหะๆ
มาฟังพี่เจ้าหน้าที่ (แอนด์ไกด์) บรีฟกันนะคะ แฮ่...
VIDEO
จากนั้นก็ได้เวลาเริ่มเที่ยวกันแว้ววว หน้าปากถ้ำมีป้ายตัวนี้อยู่ ถ่ายรูปหมู่กันได้นะฮับบบบ
หันหน้าเข้าป้ายเมื่อกี๊ เดินไปทางขวามือ เรือแคนูรอเราอยู่แล้วค่ะ หนึ่งลำนั่งได้สองท่าน (ไม่รวมคนพายให้) แต่ถ้าตัวใหญ่ๆ น้ำหนักเยอะๆ จะนั่งแค่คนเดียว (ไม่รวมคนพาย) ก็ได้ค่ะ
นี่คือพี่ไกด์ของเราค่าา มีไฟสปอร์ตไลท์สำหรับส่องตามจุดต่างๆ ในถ้ำด้วยนะคะ นอกจากนั้นคนพายเรือแต่ละลำ และตัวคนนั่งก็จะมีไฟเล็กๆ คาดหัวไว้ด้วยตามภาพ (คนถือควรเป็นคนนั่งหน้านะคะ เพราะจะได้ส่องไปยังจุดต่างๆ ได้ค่ะ)
จากนั้นก็เริ่มท่องเที่ยวกันแล้วค่า เรือก็พายตามๆ กันไปเรื่อยๆ นะคะ ลักษณะการเที่ยวที่นี่จะเป็นตามภาพนี่แหละค่ะ นั่งแคนูไป ชมหินงอกและหินย้อยไปเรื่อยๆ นะคะ ซึ่งระหว่างที่ชมก็อย่างที่พี่เค้าบอกนะคะว่าห้ามเอามือไปแตะหินงอกหินย้อยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้หยุดการงอก/ย้อยได้ค่ะ ภายในถ้ำจะค่อนข้างมืดหน่อยนะคะ แล้วก็เคลื่อนไหวตลอด เพราะงั้นภาพจะค่อนข้างสั่นไหวพอสมควรเลยค่ะ (อันนี้ต้องชม OMD จริงๆ ค่ะ ถ่ายทั้งภาพนิ่งและวีดิโอมาได้ค่อนข้างดีเลย แม้แสงในถ้ำจะน้อยมากๆ)
ตรงจุดนี้แหละค่ะ ที่เราต้องเดินขึ้นกันนิดหนึ่ง เนื่องจากน้ำยังลดอยู่นะคะ พี่ประจำเรือก็ต้องลากเรือข้ามไปค่ะ แข็งแรงมากๆ อ้ะ
จากนั้นก็มาถึงจุดไฮไลท์จุดหนึ่งของถ้ำนี้ค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเรียกหินนางฟ้านะคะ (ถ้าผิดขออภัย แหะๆ) ดูออกมั้ยคะว่าเป็นผมหน้าม้าและผมยาวลงมาน่ะค่ะ ตรงนี้ถ้าไปกันเป็นหมู่คณะ ก็ให้คนหนึ่งถือกล้องไว้รอถ่ายเพื่อนได้ค่ะ ทางคนเรือจะพายไปอยู่ใกล้ๆ แต่จะเห็นจากรูปว่า ตัวหินชัด แต่ตัวคนมีเบลอบ้างนะคะ เพราะต้องบอกให้เรือนิ่งๆ ซึ่งเรือบนน้ำน่ะนะ โอกาสนิ่งสนิทมันย้ากยากค่ะ เลยถ่ายกันมาได้แค่นี้ แหะๆ
จากนั้นก็ชมความงามของถ้ำต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ สวยอ้ะ ชอบจัง
สำหรับส่วนนี้ รูปซ้ายบนจะเห็นค้างคาวนะคะ ซึ่งวันนั้นที่เราไปเห็นอยู่สองจุดค่ะ ซึ่งพี่คนพายบอกว่าแปลก ปกติจะมีเยอะๆ แค่จุดเดียวค่ะ ฮา ส่วนรูปซ้ายล่างจะเป็นงวงช้างหรือฝักบัวค่ะ (ดูออกมั้ยคะ บนเพดาน) ส่วนขวาล่างจะเป็นรูปครอบครัว พ่อแม่ลูกค่ะ แต่มีอีกคนอยู่หลังไกลๆ เราว่าคงเป็นเมียน้อยเนาะ (เดี๋ยวๆ กลับมาก่อนค่ะป้าคะ) แต่พอเราแซว มีเสียงบอกว่า เค้าอาจจะอยู่กับเมียน้อย แต่คนไกลๆ นั่นเมียหลวงก็ได้..........ค่ะ
จุดต่อไปเป็นจุดที่พี่ไกด์ให้ดูว่าจะเป็นจุดหนึ่งที่เห็นภาพหินสะท้อนในน้ำนะคะ (แต่น้ำต้องนิ่งนะคะ ถ้าไม่นิ่งนี่จบกัน แหะๆ) ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เราเริ่มสังเกตน้ำกับภาพสะท้อนของถ้ำในน้ำเลยค่ะ บางช่วงนี่สวยมากๆ ยังกะมีอีกถ้ำอยู่ใต้น้ำ (เดี๋ยวมีภาพให้ดูค่ะ)
ตัวอย่างของภาพสะท้อนของถ้ำในน้ำค่ะ สวยเชียว แต่ภาพล่างสวยกว่านะคะ (ตอนถ่ายวีดิโอไม่ยักกะเห็นแบบนี้ แปลกจริงเชียว เลยได้แต่เอาภาพนิ่งที่ดูดีที่สุดมาให้ดูแทนนะคะ แหะๆ) ซึ่งการเห็นภาพแบบนี้ กรณีไปเป็นหมู่คณะ จะต้องเป็นเรือลำแรกที่เรือลำอื่นยังไม่มาก่อคลื่นค่ะ ไม่งั้นจะไม่เห็นนะคะ เพราะถามลำอื่น ไม่มีใครเห็นเลย ฮาา
แต่เฟิร์มว่าสวยจริงๆ ค่ะ ยังกะเมืองเวทมนตร์อ้ะ
มาดูภาพแบบเคลื่อนไหวกันบ้างนะคะ รวบรวมไฮไลท์ทุกจุดของถ้ำนี้มาให้ดูค่ะ ซึ่งจะมีหัวใจที่ปลายอุโมงค์ หนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ด้วยนะคะ
VIDEO
จากนั้นก็ออกจากถ้ำมา เจออีกจุดหนึ่งค่ะ ตรงนี้ทางซ้ายมือจะมีฟอสซิลปลาหมึกด้วยนะคะ (แต่ตอนลำเรา ไกด์ยังไม่มาถึง เลยไม่รู้ไม่ได้ถ่ายมาค่ะ ขออภัย แง) ตรงนี้เป็นอีกจุดที่พี่คนเรือต้องยกเรือขึ้นตามภาพค่ะ (เราน่ะเสียใจมากเบย ลืมให้ทิปพี่เค้าตอนเปลี่ยนเป็นเรือหางยาวอ้ะ หันมาอีกที พี่เค้าไปแล้ว)
จากนั้นก็นั่งเรือแคนูชมวิวต่อไปอีกหน่อยค่ะ ตรงนี้สองฝั่งก็คือสองจังหวัดตรังกับสตูลนะคะ
นั่งไปพักเดียวเองค่ะก็จะเจอกับเรือหางยาวแล้วนะฮับ นั่งแผ่นละ 3 คนนะคะ แล้วควรบาลานซ์น้ำหนักกันให้ดีๆ ค่ะ แฮ่...
ที่จริงระหว่างทางนอกจากป่าชายเลนแล้ว พี่ไกด์บอกว่า ปกติจะมีฝูงลิงออกมาด้วยค่ะ แต่วันนั้นหายเกลี้ยงง่ะ แง้วววว
นั่งเรือไปจนเกือบถึงท่าเรือ ทางฝั่งซ้ายมือจะมีซากของเตาเผาถ่านอยู่ค่ะ พี่ไกด์บอกว่า เมื่อก่อนแถวนี้เผาถ่านกันเยอะ และถ่านที่นี่เป็นถ่านที่มีคุณภาพดีมาก แต่ปัจจุบันเพื่อการอนุรักษ์ป่าชายเลนก็ไม่ได้ทำกันแล้วนะคะ
นั่งเรือหางยาวไปอีกราวๆ 30 นาทีก็ถึงท่าเรือทุ่งอ้อยแล้วค่ะ สามารถจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำได้นะคะ เป็นอาคารทางซ้ายมือในรูปซ้ายบนค่า
จากนั้นก็เดินทางกลับตรังกันค่ะ ไปซื้อขนมเปี๊ยะซอย 9 กัน ซึ่งปรากฏว่าใครที่ไม่ได้สั่งไว้คือ อดฮ่ะ ฮาา (และเราไม่ได้สั่งง่ะ) เราเลยซื้อขนม..อ่า เรียกอะไรคะ? ปกติบ้านอิชั้นเรียกถ้วยฟู ซึ่งมีหลายรสในหนึ่งกล่องค่ะ แต่ลองกินแล้วตัวรสกับกลิ่นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นะคะ แหะๆ
เสร็จแล้วก็ไปสนามบินเพื่อเช็คอินกันค่า พี่กิตก็มาส่งเราที่สนามบินโดยสวัสดิภาพ ใครไปเส้นทางตรัง แนะนำเลยนะคะ พี่เขาขับรถดีมาก มารยาทดี บริการดี ขับเร็วแต่ปลอดภัย ประทับใจมากค่ะ
เช็คอินและโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็เอกซเรย์เพื่อจะไปยังเกทค่ะ
จากนั้นก็มีการตรวจบัตรประจำตัวกับบอร์ดดิ้งพาสค่ะ โดยแบ่งออกเป็นสองแถว สองสายการบินชัดเจน ของแอร์เอเชียจะอยู่ทางขวามือนะคะ แฮ่...
เข้าไปด้านในแล้วไม่มีร้านอาหารใดๆ ให้นั่งนะคะ จะกินจะอะไรก็ด้านนอกให้เรียบร้อยเลยนะคะ
บอร์ดดิ้งไทม์แล้ววววว ขากลับเป็นคุณ ABF นะคะ
จากนั้นก็ได้เวลา Take Off ฮับบบบ วันนั้นเมฆเยอะเชียว พอพ้นเมฆไปก็เห็นพระจันทร์เสี้ยวด้วยค่ะ ส่วนอาหารททท.สั่งผัดไทไว้ให้ค่ะ รสเผ็ดนิดๆ อร่อยดีนะคะ อ้อ ลืมให้ดูระยะห่างระหว่างที่นั่ง สำหรับคนสูง 152 อย่างเราถือว่าที่นั่งเหลือเฟือนะคะ
เอาภาพท้องฟ้างามๆ มาฝากนะคะ สวยจังเนาะ อยู่ในชั่วโมงต้องมนตร์จริงๆ
นอกจากนั้นกลุ่มเราก็ได้ครอบครองโมจิหยดน้ำสองชุดสุดท้ายค่ะ (หลังจากพลาดมาตอนไฟลท์ขามาตรัง แหะๆ) ชุดละ 90 บาทค่ะ ก็จะประกอบด้วยตัวโมจิ ซอส และผงโรยนะคะ สำหรับการกินก็เด้งดึ๋งๆ ดีค่ะ ตักยากเชียว ฮา เป็นการกินครั้งแรกของเรา ไม่เคยกินแบบออริจินัล เลยเปรียบเทียบไม่ได้นะคะ
นั่งมาชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสนามบินดอนเมืองแล้วค่ะ ขอบคุณพนักงานทุกท่านด้วยนะฮับ ในส่วนของสายพานรับกระเป๋าก็ดูได้จากจอตามภาพนะคะ แล้วก็ถ้าใครจะนั่งรถเมล์สนามบินก็ต้องไปที่ประตู 12 ค่ะ หรือจะให้ใครมารับก็นัดที่ประตูนี้ก็ได้ค่ะ มีจุดให้จอดแวะรับได้อยู่นะฮับ (วันนั้นติดรถชื่นมาต่อแท็กซี่ค่า แฮ่...)
ก็จบแล้วนะคะกับทริป Meet the Bloggers Chapter 2 ตรัง-สตูล ค่ะ ซึ่งขอบอกว่าเป็นการไปที่ทำให้เปิดหูเปิดตาเราในหลายสถานที่ท่องเที่ยวมาก เพราะนอกจากร้านติ่มซำเรือนไทยติ่มซำแล้ว ที่อื่นนี่เราไม่เคยไปเลยค่ะ ฮา (อ้อๆ มีหลีเป๊ะที่เคยไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้วซึ่งก็..นะ เปลี่ยนแปลงมากมาย)
ก็หวังว่าการรีวิวทั้งหมดจะช่วยเป็นข้อมูลสำหรับท่านที่คิดจะไปเที่ยวตรัง-สตูลกันนะคะ แต่อย่างที่บอกว่ามีอีก 3 รูตติ้งค่ะ ถ้าต้องการข้อมูลท่องเที่ยวในรูตติ้งอื่นๆ ก็สามารถลองหาอ่านได้นะฮับ
ขอบคุณททท. สายการบินแอร์เอเชีย และผู้ประกอบการที่ตรังและสตูลทุกท่านเลยนะคะ สำหรับทริปนี้ ประทับใจมากๆ จริงๆ ค่ะ แล้วก็หวังว่าการรีวิวของเราจะทำให้คนอยากไปตรัง-สตูลกันมากขึ้นนะคะ เป็นเพชรเม็ดงามที่ยังรอให้คนไทยไปชื่นชมจริงๆ ค่ะ ไปเที่ยวกันนะฮับบบบบบ
ปฏิทินธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2559 1. ฟังธรรมเสวนา เรื่อง งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์โดย ท่าน ว.วชิรเมธี
เวลา 14.00 -15.30 น.ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ (ใกล้สถานทูตจีน)
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/photos/a.290267315876.154324.180070180876/10153490872720877/?type=3&theater
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2559
1. งานทำบุญครบรอบ 21 ปี ศูนย์การค้า แฟชั่นไอส์แลนด์ ถวายภัตตาหาร และทอดผ้าป่า 15 วัด เวลา 6.30 น.ณ ศูนย์การค้า แฟชั่นไอส์แลนด์ คันนายาว กทม.
https://www.facebook.com/bogboon/photos/a.335848433125466.75888.335629013147408/1110969598946675/?type=3&theater
2. ตักบาตรพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น วัดพุทธบูชา (ทุกวันเสาร์แรกของเดือน)
วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2559 (ปกติกิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน แต่เดือนมกราคม จะจัดวันปีใหม่) 1.ทำบุญกับพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถ.จรัญสนิทวงศ์ซอย 37 เวลา 06.30-10.30 น. ดูรายละเอียดพระที่มารับบาตรและแผนที่ได้ที่ //www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=3447 2. งานไถ่ชีวิตโคกระบือ ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน ณ. วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพฯ
https://web.facebook.com/bogboon/photos/a.614964165213890.1073741836.335629013147408/540852169291757/
วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2559
1. พระอาจารย์มานพ อุปสโม แสดงธรรมและนำปฏิบัติกรรมฐาน
ตั้งแต่เวลา 9.30 น. - 15.00 น.
ณ ศาลาไตรสิกขา บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2
ปฏฺิทินธรรมบ้านจิตสบาย
//www.jitsabuy.com/calender.html
วันอาทิตย์ที่ 12 และ 26 มิถุนายน 2559 (กิจกรรมจัดทุกๆ วันอาทิตย์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน) 1. ทำบุญ ฟังธรรม จากครูบาอาจารย์พระป่าสายกัมมฐาน ณ ศาลาลุงชิน แจ้งวัฒนะ 14 กิจกรรมจะเริ่มจากการถวายภัตตาหารร่วมกันเวลา ๘:oo น. สำหรับท่านที่สนใจนำอาหารมาร่วมทำบุญ แนะนำให้มาก่อนเวลาเพื่อจัดเตรียมอาหารใส่ภาชนะ ซึ่งจะเริ่มลำเลียงถาดอาหารเพื่อเตรียมประเคนเวลาประมาณ ๗:๔๕ น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/SalaLungChin?fref=ts
วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2559 (จัดทุกวันเสาร์ที่สี่ของเดือน)
1. เชิญทุกท่านร่วมทำบุญตักบาตร สดับธรรม พระเถระวัดป่ากรรมฐาน เมตตารับบาตร โดย เว็บไซต์บ้านอารีย์ //www.baanaree.net
กิจกรรมอื่นๆ ของบ้านอารีย์ //www.baanaree.net/e_news/enews87.html
วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2559
1. พระราชทานเพลิงศพ พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง จันทสิริ) วัดอโศการาม
ณ เมรุชั่วคราววัดอโศการาม เวลา 15.00 น.
https://www.facebook.com/bogboon/photos/a.335848433125466.75888.335629013147408/1106788246031477/?type=3&theater
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ1,469,696+3386009 =4855705/12221/1147