ถ้าให้พูดถึง Twilight
ถ้าให้พูดถึงเรื่องราวลึกลับแบบตำนานหรือเทพนิยายอะไรแนวๆนั้น ตัวละครที่รู้สึกหลงใหลที่สุดคงเป็น Vampire ทรงเสน่ห์ พละกำลังแข็งแกร่ง เคลื่อนไหวได้เร็วกว่าใจนึก และเป็นอมตะ เป็นหนุ่มหล่อ สาวสวยไปตลอดกาล ใครล่ะจะไม่อยาก แต่ก็นั่นแหละ มันก็เป็นแค่เรื่องเล่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยศาสตร์ยืนยันได้ซักทีว่ามีจริง ตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออกจนเดี๋ยวนี้ก็เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองสะสมนิยายและหนังสือที่เกี่ยวกับแวมไพร์ไม่ใช่น้อยเลย เรื่องล่าสุดก็คือ ปราสาทรัตติกาล อันนี้ตัวละครแวมไพร์เป็นผู้หญิง แต่ไม่ค่อยโดน ดูมันมั่วซั่วไปหน่อย เหมือนจับเอาแร็คนาร็อคกับไฟนอลแฟนตาซีมาผสมกันแถมมีตัวเอกเป็นแวมไพร์ โอ้วว....มันเยอะไป ดังนั้นปัจจุบันเรื่องโปรดก็ยังเป็นหนังสือชุด Twilight อันที่จริงก็อ่านถึงเล่มจบแล้วล่ะ แต่..ทำไมถึงยังติดตราตรึงใจแต่เล่มแรกนักก็ไม่รู้ วันนี้ก็เลยไปหาดีวีดีมาดูเปลี่ยนบรรยากาศหลังอ่านหนังสือไปครบสิบรอบแล้ว ได้ยินได้เห็นมาซักพักแล้วล่ะถึงความหล่อเหลาของพ่อพระเอก แหม หล่อจริงๆนะ เห็นแล้วก็รู้สึกว่า อู้ยยย ได้ดั่งใจช้านนน นางเอกก็เหมือนแกะออกมาจากหนังสือ แคสติ้งตัวละครลงตัวดี เคมีคู่นี้เหมาะเจาะ ดูแล้วไม่ขัดหูขัดตา ดูหนังจบแล้วรู้สึกว่าตัดออกหลายฉากที่มันเจ๋งๆทีเดียว ก็เข้าใจแหละว่าจำเป็น แต่ก็ทำให้หนังถ่ายทอดความผูกพันธ์ลึกซึ้งไม่ครบ ทำให้รู้สึกว่า ไรเนี่ย รักกันง่ายจริง แล้วแบบฉากหวานก็กลายเป็นฉากกายกรรมเปียงยางยังไงไม่รู้อะ แต่ก็ถือว่าโอเคนะเรื่องบทพูด ไม่ตัดไม่เปลี่ยนบทพูดเลี่ยนๆของพระเอกอันเป็นจุดขายของพ่อเอ็ดเวิร์ดเค้า(ก็พระเอกเป็นหนุ่มยุคกลางนี่เนาะ) ก็ถือว่าเป็นหนังรักวัยรุ่นที่ดูเพลินดีอยู่ ถ้าจะให้พูดถึงสิ่งที่ประทับใจจริงๆในหนังสือทไวไลท์เห็นจะมีอยู่สามฉาก อ่านไปสองบทแรกไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ น่าเบื่อชวนง่วงมาก นางเอกพล่ามอะไรอยู่ได้ แต่พอเจอฉากนี้ เริ่มรู้สึกอินไปกับหนังสือ นั่นก็คือฉากที่นางเอกจะโดนรถชน ก่อนหน้าที่นางเอกจะโดนรถทับอยู่แล้วนั้น ได้ก้มลงไปดูล้อรถเพราะสังเกตเห็นอะไรแว้บๆเข้าตา ซึ่งก็คือโซ่พันล้อที่พ่อนางเอกหรือ "ชาร์ลี" พันไว้ให้กันลื่นก่อนที่เธอจะขับไปโรงเรียนในวันที่หิมะเริ่มตก ซึ่งนางเอกได้บรรยายไว้ว่า "ฉันไม่รู้ว่าชาร์ลีต้องตื่นเช้าขนาดไหน แต่ความห่วงใยที่เค้าถ่ายทอดอย่างเงียบๆนั้น มันช่างจับใจชั้นเหลือเกิน" อ่านแล้วนึกถึงพ่อตัวเอง พ่อของชั้นกับชั้นก็แบบนี้นะ ไม่ค่อยพูดอะไรกัน ทั้งที่ตอนเย็นพ่อก็มารับจากโรงเรียนทุกวัน ระหว่างทางกลับบ้านเราไม่ค่อยพูดอะไรกันมากเท่าไหร่ ก็เปิดเพลงฟังไปเรื่อย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงโปรดพ่อ คือ เพลงยุค 70 - 80 แต่พอทุกครั้งที่ชั้นจะเปลี่ยนเครื่องแบบ เช่น ขึ้นม.ต้น เริ่มผูกคอซองไปโรงเรียน จะเห็นพ่อตื่นเช้ากว่าปกติ มานั่งรอข้างล่างก่อนชั้นไปโรงเรียน และพ่อก็จะเป็นคนไปส่งแทนพี่เลี้ยง ก่อนออกจากบ้านก็วิจารณ์เรื่องการแต่งตัวของชั้นซะเสียเซลฟ์ "ทำไมกระโปรงมันยาว" "ทำไมโบว์มันเบี้ยว" แต่แม่ก็จะทำหน้ายิ้มๆขำๆมาทางชั้นว่า "พ่อเขิน" ตอนม.ปลาย ตอนเข้ามหาลัยเป็นแบบนี้ตลอด แต่ชุดเดียวที่พ่อไม่ทันเห็นคือชุดครุย พ่อเสียก่อนที่ชั้นจะได้ใส่ชุดครุยตอนเรียนจบ..... ในหนังสือจะเห็นว่านางเอกเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ถ่ายทอดความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง ชาร์ลีเองก็เช่นกัน ทำให้ความรักของพ่อลูกคู่นี้ดูเป็นจริง คือรักแหละแต่แสดงออกมากกว่าคำพูด ซึ่งเชื่อว่าพ่อกับลูกสาวหลายคู่คงเป็นแบบนี้ไม่น้อยในสังคม ทำให้เนิ้อเรื่องเริ่มแสดงถึงความผูกพันธ์และเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ตัวละครเริ่มมีมิติ เบลลาเองก็คงรักพ่อไม่น้อยกว่ารักเอ็ดเวิร์ดเลย และเอ็ดเวิร์ดก็รู้ดีจึงไม่อยากทำให้นางเอกต้องพรากจากครอบครัว ฉากที่สอง เป็นฉากที่ชั้นคิดว่าเป็นเลิฟซีนของหนังสือเล่มนี้ คือฉากในรถหลังจากดินเนอร์มื้อแรกที่ซีแอตเติล การได้ใกล้ชิดกันในที่แคบๆสองต่อสอง ระยะทางที่ดูเหมือนยาวไกลกลับผ่านไปไวเหมือนวิ่งร้อยเมตร เคยคิดแบบนี้กันไม๊คะ แบบประมาณว่า "ว้า..ถึงบ้านแล้ว" หรือ "อยากจับมือที่อยู่บนเกียร์นั่นจริงๆ แล้วเค้าจะจับมือเราไม๊" ไรเงี๊ยะ อร้ายย แค่คิดก็เขินแล้ววว ฉากนี้น่ารักมาก คนเขียนก็บรรยายได้วัยรุ่นซะจริงๆ คือใช้ภาษาไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็เป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่สามคน คือ พระเอก นางเอก และคนอ่าน 555 แถมเป็นฉากไฮไลท์ก็ว่าได้นะ เพราะกำแพงที่พระเอกบรรจงสร้างขึ้นพังทลายลงหลังจากนางเอกรู้ความจริงและบอกพระเอกว่า "ถึงพระเอกจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ"(หล่อขนาดเน้ ชั้นก็ไม่แคร์ว้อยย) แถมตอนถึงหน้าบ้านนางเอก พ่อพระเอกก็ทำท่านิ่งๆแต่จริงๆอะไม่อยากให้นางเอกจากไป เรียกนางเอกก่อนเปิดประตูตั้งสองครั้ง แหม่ ลีลาจริงๆ มันทำให้รู้สึกถึงช่วงเวลาที่จีบกันใหม่ๆ เริ่มเรียนรู้กัน เริ่มติดใจกันและกลายมาเป็นความคิดถึงกัน เชื่อว่าสาวๆหลายคนคงโดนหนุ่มจีบโดยใช้วิธี "ขับรถไปส่ง"อยู่ไม่น้อย คืนนั้นคงนั่งลุ้นรอโทรศัพท์อยู่เป็นแน่ ใช่มะล่า ฮี่ๆๆๆ นางเอกก็เช่นกัน ตอนเช้าวันนั้นก็คงเหมือนฝัน งงๆเบลอๆ และคิดถึงพระเอกเป็นคนแรกตอนตื่น และฉากสุดท้าย คือฉากที่นางเอกกับพระเอกแกล้งเล่นละครตบตาชาร์ลี ก็เข้าใจนะ แต่นางเอกก็ใจร้ายมาก รู้แหละว่าไม่อยากให้พ่อมีอันตราย แต่การพูดถึงสิงที่เสียใจที่สุดก็เท่ากับว่าเปิดแผลเก่าให้เลือดซิบอีก แถมคราวนี้ลูกสาวที่รอคอยมานานเป็นคนพูดด้วย ชาร์ลีผู้น่าสงสารจะทำอะไรได้นอกจากยืนช็อค ประโยคที่จับใจชั้นมากคือ "อย่าไปเลย พ่อเพิ่งจะได้ลูกคืนมา" ชาร์ลีผู้ไม่เคยพูดอะไรมากกว่าสามประโยคกลับพูดความในใจที่ลึกที่สุด นางเอกก็เกือบใจอ่อน สงสารก็สงสารพ่อ รู้สึกผิดและเสียใจอยู่แล้ว พอมาเจอประโยคเด็ดจึงจำเป็นต้องพูดสิ่งที่พ่อช้ำใจที่สุด ในช่วงเวลานั้นใครที่เคยทะเลาะกับพ่อคงได้น้ำตาตกกันบ้างล่ะ ใครที่พ่อยังอยู่ ถ้าคิดได้ก็ควรหาโอกาสขอโทษท่านบ้าง จะได้ไม่เสียใจเวลาเค้าไม่อยู่แล้ว เหมือนชั้น.... เพราะชีวิตจริงไม่มีใครเป็นอมตะ การได้ใช้ชีวิตอยู่โดยรู้คุณค่าของมันและทำให้ทุกนาทีมีค่ากับคนสำคัญย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา อย่ารู้คุณค่าของเค้าเมื่อสายไปแล้ว เชื่อว่าแม้แต่แวมไพร์ผู้เป็นนิรันดร์ก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน
Create Date : 24 ตุลาคม 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 24 ตุลาคม 2552 2:46:17 น. |
Counter : 1743 Pageviews. |
|
|
|
ดีค๊าบ
เราเพิ่งอ่านเล่ม 3 ไปได้หน่อยนึงเองอ่ะ
T T
อยากอ่านให้จบ
แต่ติดใจเล่ม 1 เหมือนกัน
ชอบฉากเดียวกันเลย อิอิอิ
แถมมีฉาก กุ๊กกิ๊ก น่ารักมากมาย
ยังม่ายด้ายดูหนังด้วย
อยากดู พระเอกหล่อเนาะ
กรี๊ดดดดดดดดดด