Xinchao Vietnam ( 8 )
ช่วงที่คณะทัวร์ไปถึงนั้น รอบแสดงก่อนหน้านั้นกำลังจบพอดี บริเวณหน้าโรงละครเลยแออัดคับคั่งเป็นพิเศษ ทั้งรถทัวร์ รถแท็กซี่ และรถซิโคล่ที่นักท่องเที่ยวรอขึ้นชมบรรยากาศเหมือนรถตุ๊กๆ บ้านเรานั่นแหละไกด์บอกว่า คนถีบซิโคล่ เป็นอดีตทหารผ่านศึกเวียตนามรอบต่อไปสำหรับวันนั้นคือรอบห้าโมงเย็น หรือ 17.00 น.ครับ ซึ่งไกด์บอกว่า จะหว่างที่รอชมนั้น ลูกทัวร์สามารถเดินชมร้านจำหน่ายข้าวของหรือย่าน 36 สาย (36 เฝอเฟือง) ซึ่งอยู่บริเวณนั้นก็ได้ และมาพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรับตั๋วและเข้าชมรอบต่อไปไม่อยากไปช้อปปิ้งเช่นคนอื่นเขา สองพี่น้องรีบสาวเท้าก้าวลงถนนแล้วก็เดินมุ่งมั่น แบบไม่มีถอยกลับ และไม่สนใจเสียงแตรนานาชนิดจากบรรดามอเตอร์ไซต์ที่วิ่งผ่านถนนสายนี้ ข้ามถนนมายังสวนสาธารณะ และทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem) หรือ ทะเลสาบคืนดาบ โดยสวัสดิภาพทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem) ตั้งอยู่ในพื้นที่ๆ เป็นเขตเมืองเก่า มีตำนานเล่าขานกันถึงสถานที่แห่งนี้ เป็นตำนานการสร้างชาติเวียดนามว่า ในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเลเหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีนแห่งราชวงศ์หมิงที่รุกราน ให้ออกไปจากเวียดนาม ในขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบเห็นไหมล่ะ ? ไม่เสียแรงที่เดินข้ามมา ขอเล่าเรื่องต่อนะครับตะพาบยักษ์ชนิดนี้ ก็คือ ตะพาบยักษ์แยงซีเกียง (Rafetus swinhoei) ซึ่งเป็นตะพาบขนาดใหญ่และใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ที่อาศัยอยู่ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ปัจจุบัน ใน "วัดหง่อกเซิน" (Ngoc Son) หรือ "วัดเนินหยก" ที่ตั้งอยู่ตอนเหนือของทะเลสาบ ก็มีตัวอย่างสตั๊ฟฟ์ของตะพาบชนิดนี้ให้ชมกันด้วย โดยการเดินทางไปวัดหง่อกเซิน จะมีสะพานไม้ ชื่อ "สะพานเทฮุก" (The Huc) หรือ "สะพานแสงอาทิตย์" มีสีแดงสดใสถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของกรุงฮานอย ข้ามจากฝั่งแผ่นดินใหญ่ไปยังวัดซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ทางตอนเหนือของทะเลสาบ และยังมีหอคอยโบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า "ทาพรัว" (Thap Rua) ซึ่งหมายถึง "หอคอยเต่า" หรือ "หอคอยตะพาบ" ในปัจจุบัน ยังมีหลายคนได้เห็นตะพาบยักษ์โผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนถ่ายฤดูกาล ซึ่งเชื่อกันว่ามีอยู่ 3-4 ตัว ในสถานที่เลี้ยงในโลกเท่านั้น ปัจจุบัน ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem) กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบพักผ่้อนหย่อนใจของชาวกรุงฮานอย โดยมีการสร้างเป็นสวนสาธารณะล้อมรอบ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงอีกแห่งของกรุงฮานอย ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมและถ่ายรูปเป็นจำนวนมากหน้าประตูวัดหง่อกเซิน (Ngoc Son)แต่ไม่ได้เข้าไปชมข้างในวัด ซึ่งเสียเงินค่าเข้าชมด้วย เพราะไม่ได้แลกเป็นเงินด่ง (Dong) ไว้ครับบริเวณสวนสาธารณะ จะร่มรื่น มีชาวเมืองฮานอยเข้ามาใช้บริการมากมายกับป้ายแจ้งว่า ครบรอบ 1,000 ปีของกรุงฮานอยอีกมุมหนึ่งของสวนสาธารณะครับมองดูนาฬิกา จวนได้เวลานัดหมายแล้วสิ เห็นจะต้องข้ามถนนกลับไปยังโรงละครแล้วล่ะ โชคดีที่ขบวนรถขาดช่วง เลยข้ามกลับได้สะดวกผ่านร้านค้าย่าน 36 สาย (36 เฝอเฟือง) ซึ่งไกด์บอกในภายหลังว่า ส่วนใหญ่จะจำหน่ายของที่ระลึก และของทำเลียนแบบยี่ห้อดังแท้ๆ คือ ทำปลอมมากับมือ แล้วผมก็มีโอกาสเข้าไปนั่งที่โรงละคร "ถั่งลอง" โดยไม่เคยคาดฝันมาก่อน และทางไกด์กำชับว่าอย่าได้พกกล้องถ่ายรูปในลักษณะเตรียมพร้อมให้เจ้าหน้าที่เก็บตั๋วได้เห็น อาจเสียเงินค่ากล้องเพิ่มอีกต่างหากด้วย ถ้าเป็นโรงละครบ้านเรา เต็มทุกรอบอย่างนี้ แถมมีวันละหลายรอบด้วย หากผมเป็นเจ้าของโรง หรือเป็นคนเชิดหุ่นกระบอก คงไม่คิดทำอย่างอื่นแล้วล่ะการแสดงในรอบนั้น เริ่มจากประวัติตามตำนานปรำปราของชาวเวียตนามถึงกำเนิดชนเผ่า การแสดงรื่นเริงในช่วงฤดูเพาะปลูก และของชนเผ่าต่างๆ โดยมีโฆษกบรรยายให้ทราบก่อนทุกครั้ง แต่เป็นภาษาเวียตนามครับ โดยมีจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ข้างเวที คอยแปลเป็นภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่งไม่เสียดายเงินค่าเข้าชมเลยครับ ชมเพลินจนกระทั่งหมดรอบแทบไม่รู้ตัว แถมผู้เข้าชมต่างงัดกล้องถ่ายรูปมาถ่ายเป็นแถว บางรายถ่าย วิดีโอ.ด้วยสิ โดยเจ้าหน้าที่ในโรงไม่เข้ามาห้ามปรามแต่อย่างใดไม่มีกล้องจริงๆ ใช้มือถือก็มีคิดเรื่อยเปื่อยถึงโรงแสดงหุ่นโจ หลุยส์ ของบ้านเราครับแสดงได้ดีเยี่ยม แต่ดิ้นรนหาทุนมาแสดงเอง จนกระทั่งหัวหน้าคณะตายทิ้ง โดยไม่มีหลักฐานฐานะที่มั่นคงให้แก่ลูกน้องในคณะเลยหนอ ?หรือว่าผมเข้าใจผิดก็ได้ฉากสุดท้ายปรากฎขึ้น พร้อมการโชว์ตัวของผู้เชิดหุ่นซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทุกคน เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้เข้าชมทั้งโรงหลังจากจบการแสดง พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ทางบริษัททัวร์ฯ ต้องพาคณะทัวร์ออกไปหามื้อค่ำทาน ก่อนเข้าที่พักยังโรงแรม "ถั่ง เหล่ย" (Thang long Hotel) ต่อไปย่าน 36 สาย (36 เฝอเฝือง) เป็นย่านที่นักท่องเที่ยวนิยมพักกันมาก เพราะมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายของที่ระลึกเต็มไปหมดผ่านสะพานลองเบียน (Long bien Bridge) อันเก่าแก่และมีชื่อเสียงของกรุงฮานอย มีทางวิ่งทั้งรถไฟและรถยนต์ และบริษัทผู้ก่อสร้างสะพานนี้ได้รับงานก่อสร้างสะพานพระรามหก (สะพานแรก) ที่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยารถไฟที่ข้ามสะพานนี้ เป็นรถไฟสายเหนือ ไปยังชายแดนเวียตนาม - จีน ที่ จ.ลางเซิน (Lang son) จ.ลาวกาย (Lao kai) และไปยังอ่าวตังเกี๋ยที่ จ.ไฮฟอง (Hai phong) และ จ.กว่างนิงห์ (Quang ninh) ครับขนาดหัวค่ำ ยังมียวดยานพลุกพล่าน ไม่แพ้บ้านเราเลยล่ะร้านอาหารที่เป็นจุดหมายนั้นชื่อ ร้านอาหาร แซน (Zen Restaurant) ซึ่งเป็นร้านอาหารยอดนิยมของชาวฮานอย แถมยังขายอาหารคาวหวานแบบบุฟเฟต์ รวม 200 กว่าชนิด ทางไกด์เลยเป็นห่วง รีบพามาที่ร้านนี้ กลัวจะหาที่นั่งไม่ได้ ยิ่งค่ำ คนยิ่งแน่นครับที่หน้าร้านยังมีของแปลก คือ จัดหาควายหล่อด้วยไฟเบอร์แถมมีเชือกร้อย ให้เด็กๆ ได้สนุก รู้จักธรรมชาติตามท้องนา เวลาติดตามผู้ใหญ่มาทานอาหารด้วยแถมมีวงดนตรีบรรเลง และนักร้องสาวๆ มาขับกล่อมให้แขกเหรื่อได้นั่งชมอยู่หน้าร้านด้วยสิหลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็มาถึงที่พักประจำคืนนี้เสียที โรงแรมถังเหล่ย (Thang loi Hotel) ซึ่งรัฐบาลคิวบาสมัยประธานาธิบดี ฟิเดร คัสโตร ได้สร้างเป็นของขวัญให้รัฐบาลเวียตนามเหนือ เมื่อเอาชนะศึกรวมชาติใหม่ๆ และเป็นโรงแรมเดียวในขณะนี้ที่อยู่ในกำกับของรัฐบาลเวียตนาม ไม่ได้แปรรูปไปเป็นของเอกชนในภาพ เป็นสนามไดร้ฟ์กอล์ฟ ตีแล้ว ลูกกอล์ฟลงน้ำไปเลย เพราะโรงแรมเป็นรีสอร์ทอยู่ริมทะเลสาบ นับว่าไม่เหมือนใคร พอตอนกลางคืน ก็มีพนักงานโรงแรมพายเรือออกเก็บลูกกอล์ฟครับมองจากหน้าต่างห้องพัก และโรงแรมซีกที่ผมกับน้องสาวนอนอยู่มีชั้นเดียว ตอนดึกคืนนี้มีฝนตกชุดใหญ่ที่ฮานอย ทำให้ระบบ wifi ของโรงแรมล่ม และแก้ไขไม่ได้จนกระทั่งวันถัดมา โรงแรมของรัฐก็อย่างนี้แหละ ฮิ ฮิ