สบายๆสไตล์พระรองฯ
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
11 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
วันสุดท้ายของครูผู้สอนให้รู้จักอุดมการณ์







พวกหรีดดอกไม้สดแขวนเรียงกันไว้บนผ้าม่านหนาสีแดงเลือดนกบนศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่ตั้งงานศพ มีทั้งดอกกุหลาบสีแดง กุหลาบสีขาว ดอกหน้าวัวและดอกดาวเรืองสีเหลืองแจ่มกระจ่าง โลงศพสีดำเนื้อมุกมีลวดลายสีทองเป็นมันวาว ด้านขวามีรูปภาพของผู้ตายอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ยิ้มสดใสผมขาวโพลนตามวัยเจ็ดสิบปี เขาคือครู แสวง ครูที่ใจดีและคอยประสิทธิประสาทวิชาให้กับเด็กในหมู่บ้านนี้ หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม ครูสี........ เพราะหลังเกษียณอายุราชการ ครูแสวงได้เป็นตัวตั้งตัวตีเป็นแกนนำระดับจังหวัด ให้กับกลุ่มก้อนทางการเมืองสีหนึ่ง

เสียงมโหรีปี่พาทย์ที่ดังจากลำโพงรอบด้าน เป็นพัฒนาการของการจัดงานในยุค วงมโฬรีจริงกลายเป็นสิ่งที่หายากเข้าไปทุกที แม้แต่ในจังหวัดชนบทแบบนี้ก็ตาม แต่เสียงจากเทปคาสเซ็คที่เปิดผ่านเครื่องขยายเสียง ก็ชวนให้เศร้าสร้อยตามบรรยากาศของงานที่จัดขึ้นเพราะการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก คนที่มาร่วมงานต่างแยกย้ายกัน นั่งบ้างยืนบ้างจับกลุ่มสนทนากันในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่จากไป

แต่ล่ะคนมีสีหน้าซึมเศร้า แววตาบ่งบอกได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ บางคนควบคุมตัวเองไม่อยู่ น้ำตารินไหลเมื่อยามไปจุดธูปไหว้ ขอขมาเป็นครั้งสุดท้ายต่อหน้าโลงศพ หยาดน้ำตาไม่รู้กี่หยดแล้ว จากใครหลายคนที่รินหลั่งบนหนอมรองไหว้สีเหลืองใบนั้น

กลิ่นควันธูปที่ลอยอ้อยอิ่งจากกระถางธูป เตือนให้ใครบางคนต้องทำหน้าที่เปลี่ยนกระถางธูปใหม่ เพราะกระถางธูปใบเก่า อัดแน่นไปด้วยก้านธูปที่ไหม้หมดไปแค่ไม่ถึงครึ่งดอก บ่งบอกได้ถึงจำนวนคนที่มาร่วมไว้อาลัยให้กับผู้ที่จากไปในครั้งสุดท้าย

งานเริ่มตั้งแต่ยังไม่ค่ำ แต่คนก็มีมาเป็นระยะไม่ขาดสาย ญาติๆผู้ตายซึ่งรับหน้าที่เจ้าภาพก็สาละวนกับการดูแลแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน น้ำท่าถูกจ่ายแจกไปให้กับทุกคนที่มาร่วมงาน น้ำฝนกับน้ำแข็ง 2-3 ก้อนในแก้ว มันไม่ได้เป็นสิ่งตอบแทนที่มีราคาค่างวดอะไร เพียงแค่เป็นสิ่งตอบแทนต่อน้ำใจ ของคนที่ยังระลึกถึงผู้ที่จากไป

2 ทุ่มแล้ว พระสงฆ์สี่รูปเดินเข้ามาในโถงศาลาวัด เดินขึ้นไปนั่งบนชานไม้ยกสูงจากระดับพื้นศาลา แขกที่มาร่วมงานต่างแยกย้ายจากการจับกลุ่มสนทนา พากันนั่งประจำที่ ศักดิ์ยกมือขึ้นพนม ดวงตามีแววสงบแต่ลึกๆ แล้วเขารู้ว่ามันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายอย่างที่เขาเองก็ยังไม่สามารถแยกได้ว่าความรู้สึกเช่นนั้นคืออะไร รู้แต่ว่ามันกำลังคุกคามความสงบที่เคยมีอยู่ทุกวินาที

ศักดิ์ไม่ได้ร้องให้เลยสักนิดเมื่อมรณกรรมของคุณครูมาถึง ความเสียใจถูกเก็บกักไว้ในส่วนลึกใครๆ ก็ว่าเขาเป็นคนเข้มแข็ง มีเพียงอาการขมวดคิ้วและเม้มริมฝีปากเท่านั้น น้ำตาของเขาที่มีเอ่อขึ้นมาบ้างในบางครั้ง แต่ก็ไม่เคยไหลรินออกจากดวงตา เพราะมันได้ไหลกลับลงไปขังอยู่ในบ่อที่ลึกที่สุดของหัวใจ บ่อซึ่งเก็บกักความเศร้าโศกเสียใจไว้

เสียงสวดภาษาบาลีที่ภิกษุสงฆ์ท่องสวดพร้อมกัน เป็นจังหวะทำนอง ดังแววไปทั่วทั้งศาลา ทุกคนอยู่ในอาการสงบ มือที่ยกขึ้นพนมเสมออกของใครหลายๆคน สั่นสะท้านเบาๆ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ที่จะมีการสวดอภิธรรม พรุ่งนี้ ร่างของบุคคลอันเป็นที่รักจะถูกนำไปฌาปนกิจที่เมรุ ไฟที่แผดเผาร่าง จนกลายเป็นควันจะนำวิญญาณของคนที่น่าเคารพนับถือผู้นี้ลอยขึ้นสู่สรวงสรรค์

ไม่นานนักการสวดพระอภิธรรมก็จบสิ้น เจ้าภาพจัดการประเคนจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ นิมนต์ท่านลงจากศาลาไป ศักดิ์ลุกขึ้นจากที่นั่ง และเดินเลี่ยงออกมาด้านนอก หลบเลี่ยงที่จะนั่งฟังกลุ่มคนอุดมการณ์เดียวกับครูแสวง ที่จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องทางการเมืองกันบนศาลาวัด เดินออกมาหามุมสงบโคนต้นปีบนอกศาลา นั่งอิงแอบเงาความมืดจ่อมจมอยู่ในอารมณ์คนเดียว

30 ปีแล้วมั้ง ที่เขาได้รู้จักกับผู้มีพระคุณท่านนี้ ยังนึกภาพตัวเองร้องไห้กระจองอแงในวันแรกที่แม่จูงเขามาเรียนป.เกียมในภาษาของคนบ้านนอก หรือชั้นอนุบาลของคนกรุง ในโรงเรียนประจำหมู่บ้านได้ ครูแสวงนี่แหละเป็นคนเข้ามาจับตัวเขาที่กำลังดิ้นรนพยายามจะวิ่งตามแม่ ที่กำลังโบกมือลาแล้วเดินจากไป ยังจำนกกระสากระดาษตัวแรกที่ครูแสวงเอามาหลอกล่อให้เขาสนใจและหยุดร้องไห้ได้ดี

วันนี้เขาอยากได้นกกระสากระดาษตัวนั้นอีกครั้ง เพราะน้ำตาในใจเขามันไหลหลั่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

และเนื่องจากเป็นโรงเรียนบ้านนอกเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อ 30 ปีก่อน โรงเรียนวัดที่เขาเรียนนั้นจึงมีครูเพียง 7 คน ครูหนึ่งคนจึงต้องทำหน้าที่สอนหลายวิชาให้กับหลายชั้นเรียน ทุกชั้นเรียนมีนักเรียนตั้งแต่ ป.เกียมจนถึงป.6 รวมกันทั้งหมด 40 กว่าคนเป็นเด็กที่อยู่ในละแวกนั้นทั้งหมด ครูแสวงรับหน้าที่สอนวิชา ส.ป.ช เรียกอย่างเต็มยศว่า สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต

ครูแสวงเป็นผู้ที่ทำให้เขารู้จักอวัยวะส่วนต่างของร่างกาย สอนให้รู้จักต้นไม้ใบหญ้า สอนให้รู้จักสัตว์เลี้ยงสัตว์ป่า สอนให้รู้จักศาสนาและวัฒณธรรม สอนให้รู้จักประเทศของเรา สอนให้เรียนประวัติความเป็นมาของชาติบ้านเมือง และอีกเยอะแยะมากมาย และเรื่องหนึ่งที่ยังจดจำฝั่งใจมาจนถึงทุกวันนี้ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ยังจำได้ดีในวันที่เขาได้รู้จักประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก ก็ตอนสมัย ป.5 ซึ่งครูแสวงจัดให้มีการเลือกตั้งหัวหน้าห้องขึ้นครั้งแรก ปกติแล้ว อีหวาน ลูกยายปริก เพื่อนร่วมชั้นของเขาทำหน้าที่นี่มาตลอดตั้งแต่ ป.1-ป.4 ซึ่งครูแสวงนั้นแหละที่เป็นคนแต่งตั้งให้ ก็แน่ล่ะ อีหวานมันเป็นเด็กโข่งเรียนซ้ำชั้นมา 2 ปี แถมตัวใหญ่ยังกับหมีควาย ตัวใหญ่กว่าเด็กผู้ชายเสียอีก มันคุมเพื่อนๆในห้องได้อยู่แล้ว ในสมัยเด็กๆเขายังไม่เข้าใจหน้าที่รับผิดชอบของหัวหน้าห้อง รู้เพียงแต่ว่าเป็นคนกล่าวนำทักทายสวัสดีคุณครูยามครูเข้ามาสอน และกล่าวนำอำลาคุณครูยามสอนเสร็จเท่านั้น และในระหว่างเปลี่ยนวิชา หัวหน้าห้องก็คอยทำหน้าที่ควบคุมดูแลเพื่อนๆในชั้นเรียนตอนคุณครูไม่อยู่ ให้ทำตัวเรียบร้อยเท่านั้น

แต่ระบอบประชาธิปไตยจำต้องมีการขันอาสาเพื่อเข้าเป็นตัวแทนลงคัดเลือก ซึ่งครูแสวงเลือกคนขึ้นมาคนหนึ่งเป็นหลักไว้แล้ว และแน่นอน อีหวานในฐานะหัวหน้าห้องคนเก่า ก็ได้รับการเสนอชื่อจากครูแสวง ตอนนั้นเพื่อนร่วมชั้นของศักดิ์มีเพียงแค่ 6 คน ต่างมองหน้ากันไปมา เป็นผู้แข่งขันในระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกของเด็ก ป.5 นอกนั้นไม่มีใครกล้าเสนอตัวเองเลย อาจเป็นเพราะเกรงกลัวบารมีอีหวานกันจับใจ เพราะไม่รู้ว่าหากลงแข่งขันด้วยแล้วเกิดชนะขึ้นมา อีหวานจะผูกใจเจ็บตามมาเอาเรื่องที่หลังหรือเปล่า นึกถึงตอนนี้ ศักดิ์มีรอยยิ้มที่มุมปาก ตอนนั้นเขายอมรับเลยว่า กลัวอีหวานเอามากๆ

จึงเดือดร้อนครูแสวงต้องทำหน้าที่กระตุ้นเตือนนักเรียนที่เหลือว่า “ประชาธิปไตยคือเสรีภาพในการแสดงความเห็น หากปล่อยให้ความกลัวหรืออำนาจใดมาครอบงำการตัดสินใจที่จะเลือกหรือแสดงออก จะใช่ประชาธิปไตยได้อย่างไร” สำหรับเด็กบ้านนอกที่วันๆเอาแต่ดีดลูกหินลูกแก้ว โดดหนังยางไปวันๆ คำกล่าวเหล่านี้อาจจะถูกต้อง แต่ก็เข้าใจได้ยากเกินไปสำหรับเด็ก เพราะคำพูดของครูแสวงไม่เป็นผลไม่มีใครอยากเสี่ยงตายลงแข่งขันกับอีหวานเลย

ไม่รู้เป็นเคราะห์หามยามร้ายอะไรไม่ทราบ เพราะครูแสวงก็ตัดสินใจหยิบเขาขึ้นมาเป็นคู่แข่งขันกับอีหวาน และผลก็เป็นไปตามคาด เขาแพ้อีหวานแบบหลุดรุ่ย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังลงคะแนนเลือกอีหวานเป็นหัวหน้าห้องเหมือนกับเพื่อนคนอื่น ประชาธิปไตยครั้งแรกของเขาจึงเป็นแบบ “ลากตั้ง”ไม่ใช่ตัวแทนที่มาจากความยินยอมพร้อมใจของคนทั้งห้อง แต่จำต้องเลือกไปเพราะไม่กล้าขัดใจครูและเลือกแบบมีความกลัวครอบงำจิตใจ จึงจบไม่สวยงามนัก

แต่ศักดิ์ก็สามารถสร้างควมทรงจำเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้สวยงามได้ เพราะเขาชนะเลิศประกวดเรียงความระดับจังหวัด ในหัวข้อ อุดมการณ์ประชาธิปไตยของฉัน ทำเอาครูแสวงยิ้มไม่ยอมหุบไปหลายวัน เป็นปลื้มและชื่นชมลูกศิทย์ที่สอนมากับมือ แต่เด็กก็คือเด็ก ยังไม่เข้าใจความหมายสิ่งที่ตัวเองเขียนอย่างถ่องแท้ แค่ศักดิ์เขียนตามแบบที่เขาคิด ซึ่งเป็นแนวคิดง่ายๆ สำหรับระบอบประชาธิปไตย คือการเคารพเสียงส่วนใหญ่เท่านั้นเอง

“ดีมาก มีอุดมการณ์ ดีมาก” ครูแสวงพร่ำชมเมื่อได้อ่านเรียงความฉบับนั้นของเขา
“จงยึดมั่นในอุดมการณ์แบบนี้ต่อไปนะ” คำเหล่านั้น กว่าเขาจะมาเข้าใจจริงๆได้ ก็ตอนโตเป็นผู้ใหญ่นี้แหละ
“ทุกคนดูเอาไว้ ประชาธิปไตยที่ดี ต้องมีอุดมการณ์ แต่อุดมการณ์ของแต่ล่ะคน ใช่ว่าจะต้องเหมือนกันหมด เพราะประชาธิปไตยคือเสรีภาพ แต่ล่ะคนสามารถเลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องได้ จำไว้นะ นักเรียนทุกคน” “ครับ/ค่ะ”เพื่อนนักเรียนร่วมห้องรวมทั้งเขา รับคำครูแสวงอย่างพร้อมเพรียง

เพราะอุดมการณ์นี่เองที่ทำให้ศักดิ์เกือบจะต้องสังเวยชีวิต ให้กับอุดมการณ์ประชาธิปไตยของเขาเมื่อตอนเหตุการณ์พฤษาทฬิม ปี 35 ความรุนแรงที่ครูแสวงไม่เคยได้สอนสั่ง ถาโถมเข้ากระหน่ำเขาอย่างบ้าคลั่ง จนเขาต้องหลบแอบซ่อนอยู่ใกล้ศพ ของผู้คนร่วมอุดมการณ์เดียวกับเขา นั่นสอนให้เขารู้จักโลกแห่งความเป็นจริง ที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในบทเรียนวิชา ส.ป.ช ที่ครูแสวงพร่ำสอน นั่นคือจุดเริ่มของความแตกต่างทางความคิด ที่ต่อมาแตกต่างกันชัดเจนในเรื่องทางการเมืองสำหรับเขากับครูผู้มีพระคุณ ความคิดแวบหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง โผล่ขึ้นมาในสมองของศักดิ์

แม้ว่าเรียนจบชั้นประถมแล้ว ครูแสวงก็ใช่ว่าจะห่างหายไปจากชีวิตเขา เพราะแกก็มีพื้นเพอยู่ที่นี่ เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เหมือนกับคุณครูอีกหลายๆคนในโรงเรียน ที่หากไม่อยู่หมู่บ้านนี้ ก็อยู่ถัดออกไปอีกไม่กี่หมู่บ้าน ไกลสุดก็แค่อยู่ต่างอำเภอเท่านั้น ครูกับนักเรียนโรงเรียนแห่งนี้ จึงมีสายผูกพันกันไปตลอดไม่ว่าจะยังเรียนอยู่หรือไม่ก็ตาม และตัวเขาเองก็จัดได้ว่าสนิทสนมกับคุณครูท่านนี้เป็นพิเศษ มีการไปมาหาสู่กันเสมอ เขานับถือครูแสวงเหมือนญาติผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ต่างจากฝ่ายครูที่รักเขาเสมอเหมือนลูกหลาน

มีแค่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเท่านั้น ที่เขากับคุณครูได้เหินห่างกันไปบ้าง ศักดิ์ จำได้ดี ในวันที่เขาเรียนจบปริญญาแล้วกลับมาเพื่อรับหน้าที่สืบทอดกิจการเล็กๆที่บ้าน ก็เป็นวันที่ครูแสวงเกษียณอายุราชการพอดี งานเลี้ยงส่งครูผู้ทำหน้าที่ดูแลสั่งสอนบุตรหลานของคนในหมู่บ้านถูกจัดขึ้น แม้จะใช้งบประมาณไม่มากจัดกันตามประสาคนบ้านนอกคอกนา แต่ดูใหญ่โตด้วยจำนวนคนที่เข้ามาร่วมงาน ครูทุกคนที่เคยสอนที่นี่ หากเกษียณอายุราชการได้รับเกียรติแบบนี้เสมอ

ครูแสวงในวันที่ไม่มีงานประจำให้ทำ กับเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นชีวิตทำงานครั้งแรกก็โคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง กลับมาพร้อมกับความแตกต่างบางอย่าง จากประสบการณ์ตรงของศักดิ์

และงานศพก็ไม่ต่างกัน คร่าคร่ำไปด้วยลูกศิทย์ลูกหามากมาย แต่ละคนต่างก็เศร้าโศกเสียใจ ที่ผู้มีพระคุณท่านนี้ได้จากไปแล้ว อีหวานซึ่งปัจจุบันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในกลุ่มแม่บ้านชุมชน ก็รับหน้าที่เป็น:-)านอยู่บนศาลา ส่วนตัวเขาก็ช่วยงานด้วยการทำหน้าที่ต้อนรับแขกมากกว่าเพราะเขาเองก็สนิทสนมกับญาติครูแสวง และญาติพี่น้องครูแสวงก็ไม่มีใครออกมาขัดศรัทธาลูกศิทย์ที่แยกย้ายแจกจ่ายหน้าที่กันแทนเจ้าภาพ ทำหน้าที่กตัญญูกตเวทีครั้งสุดท้ายเลย

“เฮ้ย มานั่งทำไร มืดๆว่ะ ไอ้ศักดิ์”เสียงหนึ่งปลุกเขาจากภวังค์
“มานั่งรอดักฉุดสาวๆ เอ็งเห็นสาวๆบ้างไหมวะ อีหวาน ข้าเห็นมีแต่หมีควาย”เขาตอบหยอกแรงๆกับเพื่อนวัยเด็ก ที่เดินเข้ามาสนทนาด้วย

“แหม ไอ้นี้ วอนโดนส้นซะแล้ว...”อีหวานตอบกับมา ก่อนจะพากันหัวเราะร่วนเมื่อสบตากัน ตั้งแต่เริ่มงานมาเขาแทบไม่ได้สนทนากับเพื่อนเลย เพราะเห็นมันยุ่งๆ วุ่นวายกับการเป็น:-)าน แต่พอจะได้คุยกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆอยู่บ้าง

“เอ็งรู้แล้วใช่ไหม ว่าพรุ่งนี้วันเผา พวกแกนนำที่กรุงเทพของกลุ่มที่ครูไปเข้าร่วม จะมาเป็นเจ้าภาพวันเผา”อีหวานเอ่ยถามลอยๆ สายตาจับจ้องขึ้นไปบนศาลา มองดูคนที่กำลังทยอยกันกลับ

“เอ่อ รู้แล้ว ข้าก็ถึงกะว่าจะฝากซองให้เอ็งเอาไปให้เมียครูไง”

“อ้าว ไอ้ ชิ...หาย สรุปรุ่นเราทั้งรุ่น กะจะไม่มีใครมาวันเผาเลยเรอะ”
อีหวานสบถบ่น พร้อมบอกกับเขาว่า เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆก็ต่างฝากซองให้มันเก็บไว้ เตรียมเอาไปมอบให้ญาติครูแสวงพรุ่งนี้ ซึ่งมันเก็บมาครบแล้ว ขาดแต่เขาคนเดียว ซึ่งมันคิดว่าอาจจะไปร่วมงานพรุ่งนี้ด้วย

“ก็เอ็งไง อีหวาน ในฐานะหัวหน้าห้อง เอ็งต้องไปเป็นตัวแทนเพื่อนๆในห้อง”ศักดิ์ควักซองช่วยงานที่เตรียมไว้ส่งให้อีหวาน และตอบอย่างที่เคยได้หารือกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ซึ่งพร้อมเพรียงใจกัน จะไม่ไปงานวันเผาครูแสวงพรุ่งนี้ เนื่องด้วยแต่ล่ะคน ต่างรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์พฤติกรรมแกนนำกลุ่มนี้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาเองก็ทำใจไม่ได้หากว่าพรุ่งนี้ไปทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน แล้วต้องไปยกมือไหว้คนที่เขานึกรังเกียจ

“กรรมเวรของข้า แต่ก็เอาเถอะ ข้ารับหน้าเองก็ได้”อีหวานรับซองของเขา ไปใส่ไว้ในกระเป๋าถือ ใส่ไว้รวมกับซองแบบเดียวกันอยู่ในนั้น 5-6 ซอง

“เอ่อ แบบนี้สิหัวหน้าห้องของพวกเรา”เขาตบไหล่ตบหลังเพื่อนสาวอย่างพอใจ และคิดว่าตั้งแต่อีหวานเป็นหัวหน้าห้องของเขามา มีครั้งนี้แหละ ที่เขาเห็นว่ามันทำหน้าที่ได้เหมาะสมกับตำแหน่งที่สุด

“แต่เอ็งอย่าไปเผลอยกมือไหว้ ไอ้พวกนั้นเข้าล่ะ เดี๋ยวมันจะมาชวนเอ็งเข้ากลุ่มด้วย”
“จะด่าให้ล่ะสิไม่ว่า ถ้าขืนสอใส่เกือกมาชวนข้า...........ไอ้พวกที่ได้แต่คอยถ่วงความเจริญประเทศ”
อีหวานพึมพำตอบสายตาจับจ้องไปที่รูปครูแสวงที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพแล้วบอกกับเขาว่า

“ไม่รู้ครู เขาคิดอะไรของเขาเนอะ ถึงได้ไปเชื่อคนพวกนั้น”
“อย่าไปคิดแบบนั้นเลย เหมือนที่ครูเคยสอนเราตอนเด็กๆไง”
อีหวานพยักหน้ารับคำเขา เข้าใจในความหมายที่เพื่อนพูด ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกย้ายกันไป

“แล้วครู เขาจะเสียใจไหม ถ้าหากรู้ว่าพวกเราคิดไม่เหมือนเขา”เป็นคำถามที่ศักดิ์ได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดออกมา ซึ่งคงไม่ต่างกับ อีหวานและเพื่อนๆคนอื่นๆที่คิดเช่นเดียวกัน แต่ไม่เคยมีใคร เปิดเผยความในใจออกมาให้ครูได้รู้เลย ว่าพวกตนคิดเห็นเช่นไรทางการเมือง พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะบอกว่า เขาชื่นชมนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งครูของพวกเขาตั้งแง่รังเกียจ

“ครูครับ จะผิดไหม ถ้าจะบอกครูว่า ผมชอบ.....”วันนี้ทุกคนก็คงได้แต่เก็บงำความรู้สึกในใจไว้ แต่หวังว่าดวงวิญญาณของผู้มีพระคุณอย่างครูแสวงจะเข้าใจ ในเหตุผลที่เขาเลือกที่จะคิดแบบนั้น

พระคุณของครู ลูกศิทย์ทุกคนต่างจำใจไว้ไม่เคยลืมเลือน คำสอนของครูก็เช่นกัน มันไม่เคยจางหายไปจากเด็กชั้นประถมทุกคนเมื่อ 30 ปีก่อนเลยแม้แต่คนเดียว
“ทุกๆคน มีสิทธิที่จะเลือกเชื่อในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้อง”
และวันนี้ พวกเขาได้เลือกแล้ว
แม้จะต่างจากความเชื่อของครูผู้สอน ซึ่งสอนพวกเขามาก็ตาม

คนที่เคยทำดี ต่อให้มีความต่างทางอุดมการณ์แค่ไหน ยังไงก็เป็นคนดี
ผิดกับคนที่เป็นคนเลว ต่อให้มีอุดมการณ์ที่ดีแค่ไหน ยังไงก็เป็นคนเลว

+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+

เรื่องนี้ผมขอแต่งเผื่อระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่เคยอบรมสั่งสอนผมมาในครั้งอดีต แต่งขึ้นจากเค้าโคลงเรื่องจริง ที่มิตรสหายทางงการเมือง(คุณชายภีม)ของผมท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟัง ว่าตัวเขาและผู้มีพระคุณอย่างครูมีความเห็นไม่ตรงกันทางการเมือง แต่เขาไม่ได้บอกล่าวให้ผู้มีพระคุณรู้ แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยและคอยรับฟังเรื่องราวทางการเมืองจากครูอยู่ฝ่ายเดียว จวบจนกระทั่งถึงวันจากไปของครูผู้มีพระคุณ

แต่ตัวละครบางตัวและเหตุการณ์บางอย่าง นำมาจากชีวิตจริงของตัวผมเอง อย่าง ครูแสวง ก็เป็นครูที่ได้สั่งสอนผมมาจริงๆในตอนที่ยังเรียนอยู่โรงเรียนประถม แถวบ้านที่สิงห์บุรี (ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว ในปี 2549)
อีหวาน ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผมจริงๆ และตอนสมัยเด็กผมก็กลัวมันมาก เพราะมันตัวใหญ่ 555+ ปัจจุบันนี้ มันทำหน้าที่ประธานกลุ่มแม่บ้านประจำหมู่บ้าน กลุ่มกิจกรรมหัตธกรรมดอกไม้ประดิษฐเล็กๆแห่งหนึ่งในอำเภอ พรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี



+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+

เรื่องนี้ผมขอแต่งเผื่อระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่เคยอบรมสั่งสอนผมมาในครั้งอดีต แต่งขึ้นจากเค้าโคลงเรื่องจริง ที่มิตรสหายทางการเมือง(คุณชายภีม)ของผมท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟัง ว่าตัวเขาและผู้มีพระคุณอย่างครูมีความเห็นไม่ตรงกันทางการเมือง แต่เขาไม่ได้บอกล่าวให้ผู้มีพระคุณรู้ แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยและคอยรับฟังเรื่องราวทางการเมืองจากครูอยู่ฝ่ายเดียว จวบจนกระทั่งถึงวันจากไปของครูผู้มีพระคุณ

แต่ตัวละครบางตัวและเหตุการณ์บางอย่าง นำมาจากชีวิตจริงของตัวผมเอง อย่าง ครูแสวง ก็เป็นครูที่ได้สั่งสอนผมมาจริงๆในตอนที่ยังเรียนอยู่โรงเรียนประถม แถวบ้านที่สิงห์บุรี (ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว ในปี 2549)

อีหวาน ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผมจริงๆ และตอนสมัยเด็กผมก็กลัวมันมาก เพราะมันตัวใหญ่ 555+ ปัจจุบันนี้ มันทำหน้าที่ประธานกลุ่มแม่บ้านประจำหมู่บ้าน กลุ่มกิจกรรมหัตธกรรมดอกไม้ประดิษฐเล็กๆแห่งหนึ่งในอำเภอ พรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
















Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2554 21:41:40 น. 5 comments
Counter : 2660 Pageviews.

 
คล้ายๆ จะเศร้าปนอิ่มใจ


โดย: tantaro วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:3:18:29 น.  

 
เข้ามาอ่านครับ


โดย: BOMPS IP: 110.171.54.121 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:4:27:47 น.  

 
๕๕๕+
เพิ่งจะลงเรื่อง ดวงใจครู ใน blog ของตัวเอง
แล้วแวะมาอ่านเรื่องนี้ต่อ...

ได้ feeling ดีแท้ค่ะท่าน...


โดย: พลเมืองตัวน้อย วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:14:55:18 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ครับ
ขอให้สุขภาพดีมีความสุขกันทั้งครอบครัวนะครับ




<div class="yt-alert yt-alert-error yt-alert-player yt-rounded "><span class="yt-alert-icon"><img src="//s.ytimg.com/yt/img/pixel-vfl3z5WfW.gif" class="icon master-sprite" alt="Alert icon"></span><div class="yt-alert-content"> You need Adobe Flash Player to watch this video. <br> <a href="//get.adobe.com/flashplayer/">Download it from Adobe.</a><br></div></div>


















โดย: Borkum_Monet วันที่: 21 มกราคม 2555 เวลา:17:28:11 น.  

 
ตามคุณมาจากpantip.ชื่นชมความคิดที่คนในชาติควรหยุดทำลายชาติได้แล้วควรร่วมใจรวมพลังกันพัฒนาชาติให้เจริญก้าวหน้าเพราะถ้าเป็นแบบนี้อีกไม่นานเราคงถอยหลังจมลงไปในเหวแล้วลูกหลานเราจะดำรงชีวิตอยู่กันอย่างไร


โดย: ครูแก่ๆ IP: 124.122.87.169 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2556 เวลา:0:51:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พระรองตลอดกาล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ใส่ข้อความที่นี่
Friends' blogs
[Add พระรองตลอดกาล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.