[[[[ Blog Tag: เมื่ออิชั้นติดเชื้อแถก]]]]
ช่วงนี้ชีวิตจขบ.เริ่มวิกฤต หลังจากไปเที่ยวลัลลาฉลองปีใหม่ซะหลายวัน ก็ถึงเวลากลับสู่ความจริงอันโหดร้าย ต้องเก็บตัวเข้าถ้ำตั้งใจอ่านหนังสือ เตรียมสอบ งดสังสรรค์ งดเขียน blog แต่... แต่แล้วก็เจอโรคระบาด โรคแถกเข้าไป จากเพื่อนร่วม blog แสนน่าร๊ากกกกสองคน โดยได้รับโรคครั้งแรก(ฟังแล้วเหมือนติดเชื้อ เลือดบวกเลยแฮะ อิอิ ไม่ใช่นะค้าาาา)ทาง msn จาก เจ้าโมโม่ ตอนวันพุธที่แล้ว หลังจากนั้นก็ได้หลังไมค์จาก คุณนัทแจ้งข่าวว่า โดนแท็กแล้วนะ ทั้งที่ตอนจขบ.รู้ตัวครั้งแรกว่าแถก/แท๊ก/tag คืออะไร จขบ.หมายมั่นปั้นมือมากว่า คุณนัทต้องเป็นหนึ่งในผู้โดย tag คนต่อไป ฮึ (คิด)ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวจริง ๆ เลย
*~tag คืออะไร?? ~* tag เป็นคำทักทายย่อ ๆ จากคำเต็ม Guten Tag ในภาษาเยอรมัน ความหมายคล้าย hello อ้าว เจ๊ย ไม่ช่ายยยย ผิดคิว ๆ tag เป็นคำย่อ ๆ มาจากคำเต็ม blog tag เปรียบเสมือนจดหมายลูกโซ่ในโลกไซเบอร์ ใครได้รับก็ต้องส่งต่อให้คนอื่น ๆ เป็นทอด ๆ ใครสนใจความหมายที่มา ที่แท้จริง ลองอ่านด้านล่างเลยค่ะ คัดลอกมาจากเจ้าโมโม่ (ซึ่งก็ก็อปเค้ามาอีกต่อหนึ่ง อิอิ) Blog Tag ก็คือ กิจกรรมแนะนำตัวของ เจ้าของ blog เริ่มต้นโดย The Jeff Pulver Blog โดยเมื่อได้รับ tag แล้ว จขบ. จะเขียนแนะนำตัวเอง แล้วก็ tag ให้อีก 5 คนถัดไป โดยเรื่องที่ให้เขียนก้อคือ Five things about you that relatively few people know . . . ถึงจะเจอ tag จากคนถึงสองคน แต่ว่า เอ่อ จขบ.ขอเขียนแค่ห้าเรื่อง เท่านั้นหล่ะค่ะ ตอนแรกว่าคิดเอง(เออเอง)ว่าเจอ tag จากสองคน ก็แปลว่าลบล้างหักลบกันได้เหลือศูนย์ ไม่ต้องเขียนสักข้อเลย อิอิ แต่เอาหน่อยน่า เดี๋ยวไม่อินเทรนด์เหมือน คนอื่นเค้า เขียนหน่อยละกัน ห้าเรื่องที่คนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับชิวเทียน อืม เอาเรื่องอะไรดีน้าาา
ลองเริ่มแรกด้วย เรื่องชื่อดีกว่า ขอเตือนก่อนว่าเขียนยาวมั่ก ๆ ไร้สาระด้วย อิอิ ใครไม่มีเวลามาก โปรดกลับมาอ่านใหม่เมื่อท่านมีเวลาเถิดดด 1. ชื่อชิวเทียนที่คุณไม่รู้ หลายคนที่ได้ยินชื่อ มักนึกเอาเองจากชื่อว่า เจ้าของชื่อเป็นสาวหมวย ขาว (มีคนคิดงี้จิง ๆ แบบเห็นชื่อจีน ๆ ง่า)ความเป็นจริงแล้วชิวเทียน-จขบ.นั้น- เป็นในทางตรงข้ามกับที่ว่ามาทุกอย่าง (อย่าจิ้นให้หน้าตาเลวร้ายมากนะค้าาา ได้โปรด)
ชื่อนี้เกิดขึ้นในวันหนี่งที่ชิวเทียนเริ่มอยากมีอมยิ้มเป็นของตัวเอง หลังจากที่ซุ่มอ่านพันทิปมานาน คิดว่าตั้งแต่ปลายปี 2000 โน้นแหน่ะตอนเริ่มอ่าน ตอนนั้นชิวเทียนเน้นอ่านถนนนักเขียน พวกอาศรมชาวโคลง แต่ไม่เคยตอบ เพราะไม่มีคอมเป็นของตัวเอง แล้วก็ยังไร้ความสามารถเกินกว่าจะทำให้ Netscape ของห้องคอม/ห้องสมุดพิมพ์ภาษาไทยได้ (ถึงสามารถก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม Admin คงฆ่าทิ้ง) อ่านอย่างเดียวจนติดนิสัย ตอนหลังถึงจะมีคอม เป็นของตัวเองแล้วพิมพ์ไทยได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ตอบเหมือนเดิม เอาแต่อ่าน
พอเริ่มอยากมีตัวตนกะเค้าในสังคมพันทิปบ้าง ก็ต้องตั้งชื่อสมัครอมยิ้ม ด้วยความชอบสีส้มทอง ๆ ของฤดูใบไม้ร่วง ก็เลยนึกเนื้อเพลงโปรดท่อนหนึ่ง The falling leaves drift by the window. The autumn leaves of red and gold เสียงเท่ ๆ นุ่ม ๆ อบอุ่นของลุงแนท Nat King Cole กับเพลง Autumn Leaves ลอยมาแต่ไกลเลย
ตอนนั้นก็เลยพิมพ์สมัครอมยิ้มด้วยชื่อ Autumn Leaves ซึ่งแน่นอน... ชื่อซ้ำ* พอรู้ว่าชื่อซ้ำก็เครียด ๆ นั่งคิดหาชื่อใหม่ ตอนนั้นก็ยังอ่อน ต่อโลกนัก -*- ไม่ทันคิดว่าแค่ใส่เลขเพิ่มเข้าไป เปลี่ยนตัวอักษร เป็นตัวเล็กตัวใหญ่ก็สมัครได้แล้ว นั่งคิด ๆ ยังไงก็อยากได้ ชื่อพร้อมความหมายใบไม้ร่วงเหมือนเดิม
ตอนแรกจะเอาคำภาษาเยอรมัน Herbst แต่ว่า เอ่อ ฟังแล้วไม่เพราะเลย แล้วก็เรียกยากเกินไปอีก ต้องเรียกว่า แฮ๊ร์บแล้วตามด้วยเสียง st ต่อท้าย โอ๊ย ยุ่งยากเกินไป เดี๋ยวคนเรียกเพี้ยน ชื่อเราก็หมดสวยกันพอดี (เป็นเอามากจริง ๆ)...คิดไปมา คิดยังไงไม่รู้ ปิ๊ง! ขึ้นมาว่า เอาชื่อฤดูในหนังสือจีนกำลังภายในดีกว่า ชิวเทียน อ๊า เพราะมั่ก ๆ ลองพูดทวนไปทวนมายิ่งเพราะ กดสมัครอมยิ้มทันที พร้อมภาวนาไม่ใช่ชื่อซ้ำ...
ตั้งแต่วันนั้นก็เลยมีสาวหน้าไม่หมวยแต่ใช้ชื่อชิวเทียนอยู่ในพันทิปนี่หล่ะค่ะ *ตอนหลังมีอมยิ้ม เริ่มอ่านพันทิปหลายห้องมากขึ้น ถึงได้รู้จักชื่อคุณ Autumn Leaves แห่งห้องไกลบ้าน ชื่อที่ใครจะไปเรียนต่อ ทำงาน ไปเที่ยวที่นิวซีแลนด์แล้วเข้าห้องไกลบ้านไม่มีใครไม่รู้จัก
2. ชิวเทียนบ้า CSI มาก เคยดูมาก ๆ ถึงขั้นเก็บไปฝัน CSI: Crime Scene Investigation ทีวีซีรีย์ชื่อดังจบในตอนจากช่อง CBS ของเมกา นำเสนอการสืบสวนสอบสวนคดีของหน่วยงานหนึ่งของตำรวจ ที่ใช้หลักฐาน ร่องรอยที่คนร้ายทิ้งไว้สืบหาตัวคนผิดมาดำเนินคดี จำได้ว่าแรก ๆ ที่ CSI ถูกนำมาฉายทางฟรีทีวีในเยอรมัน น่าจะช่วงปี 01-เอ หรือ 02 ชักไม่แน่ใจ –ชิวเทียนไม่รู้จักไม่เคยได้ยินชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นตัวย่อ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้แต่เปิดเจอทีไรต้องรีบเปลี่ยนช่องหนีทุกที
เนื่องจาก เอ่อ เป็นคนไม่ชอบดูหนังผี หนังบรรยากาศสยองขวัญ แล้วเข้าใจผิดว่า CSI เป็นหนังแนวนั้น เลยไม่เคยดู จนวันหนึ่ง เปลี่ยนช่องมาเจอ CSI ตอนกลาง ๆ เรื่อง อ้าว เจ๊ยบรรยากาศ ไม่สยองแล้วแฮะ ทั้งทีมทำงานอยู่ในห้อง lab (ใครเคยดู จะนึกภาพออกว่า CSI มักจะเปิดตัวด้วยบรรยากาศอึมครึมหรือไม่ก็ เหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ไม่ปกติ หลังจากนั้นก็จะมีศพ แล้วทีม CSI ก็จะเริ่มเก็บร่องรอยสืบหาคนร้ายช่วงกลาง ๆ เรื่องไปจนจบตอน)ดู ๆ ไป โอ้ มีเครื่อง PCR ด้วย มี Gas Chromatography ด้วย เริ่มสงสัยว่า เนี่ยมันซีรีย์อะไรกันแน่ เลยนั่งดูจนจบตอน ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยพลาด CSI ทางทีวีแม้แต่อาทิตย์ เดียว ต้องพยายามหาทางดูให้ได้
ไม่นานหลังจากนั้น นอกจาก CSI ต้นฉบับ ทีมเริ่มแรกอย่าง CSI LasVegas แล้วก็เริ่มมี CSI Miami เริ่มมี CSI NewYork มาให้ดู ซึ่งแน่นอนค่ะ ชิวเทียนก็ดูมันหมดทุกทีม ไม่เคยพลาด แถมยังอิน เป็นจริงเป็นจังมั่ก ๆ บางทีเหยื่อโดนฆ่าแบบทารุณ หรือฆาตรกร ทำผิดเพราะเข้าใจผิด ชิวเทียนก็เอาแล้วนั่งร้องห่มร้องไห้ ไปกับเค้าด้วย หรืออาการหนักหน่อยตัวละครหลักใน CSI ตาย (เอ่อ มัน spoil ไหมเนี่ย คงไม่เนอะ) ชิวเทียนร้องไห้ไม่พอ เขียน space msn ส่งข้อความถึงตัวละคร บรรยายความเศร้าเสียใจอีกต่างหาก (เป็นเอามากเนอะ -*-) CSI บางตอนดูจบแล้วเกิดไอเดีย ปิ๊ง ๆ คิดอะไรต่อยอดได้ ก็เอามานั่งเขียนเป็นบทความซะงั้น (ว่าง ๆ จะเอามาลงบล็อก เปิดกรุรื้อกล่องบันทึกริมทาง ^^)
แถมฟรีทีวีเยอรมันก็เอาใจเหลือเกิน นอกจาก CSI แล้ว ก็เริ่มหา ซีรีย์สืบสวนสอบสวน เรื่องอื่นมาฉายให้ดูด้วย ซึ่งก็เข้าทางปืนสุด ๆ เพราะถึงชิวเทียนจะเป็นสาวตัวเล็ก เรียบร้อย รักเด็กและเสียงเพลง (อิอิ พิมพ์เองยังแอบอยากอ๊วกก) แต่ดั๊นชอบเรื่องราวจำพวกสืบสวน สายลับ สปาย นักสืบ อะไรแนวๆ นี้มาก ชอบมาตั้งแต่เด็ก สรุป...เลยดูซีรีย์เกือบทุกเรื่อง จากที่ติดแค่ CSI ก็ขยับขยายไปติดซีรี่ย์ เรื่องอื่นด้วย ฮ่าๆ ขอยกตัวอย่างบางเรื่อง เผื่อจะเจอคอเดียวกันชอบดูเหมือนกัน: The Closer, Mr.Monk, Columbo, Crossing Jordan, Law&Order, Profiler, Criminal Intent, Without a Trace, Cold Case, Criminal Mind etc.
อาทิตย์หนึ่งมีเจ็ดวันชิวเทียนดูทีวีหนังแนวสืบสวนสอบสวนไปซะห้าวัน แถมบางวันคึกมากดู CSI ติดต่อกันห้าตอนรวด ดูตั้งแต่ตีหนึ่งถึงตีห้า มีอยู่คืนหนึ่งดูมาราธอนแบบนี้หล่ะแล้วเข้านอน ปรากฏว่าฝันว่าตัวเอง กลายเป็นหนึ่งในทีม CSI ถือปืนไล่ล่าคนร้าย มีฉากกลิ้งหลบระเบิดด้วยนะ ปวดเมื่อยตามตัวเลยตอนตื่นมา แต่สนุกคุ้มค่ามาก ๆ ได้เป็น CSI หนึ่งวัน อิอิ เสียอย่างเดียว ไม่ทันเห็นหน้าหัวหน้าทีม ว่าเป็นลุง Gil หรือเฮีย Horatio เฮ้อ เสียดายจังงง
3.ชิวเทียนเคยใส่รองเท้าคนละสีไปเรียนหนังสือ ชิวเทียนก็เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ที่มีรองเท้าเยอะมาก หลากสีหลายแบบ กอง ๆ ตามชั้น ตามมุมห้อง หลายคู่ในนั้นเป็นรองเท้าผ้าใบซึ่งชิวเทียน มักใช้ใส่ไปเรียนหนังสือ เวลาไปเรียนชิวเทียนชอบแบบสะดวกลุย ๆ เน้นยีนส์+ผ้าใบเพราะมันช่างเป็นอะไรที่เหมาะมากสำหรับการวิ่งไปขึ้นรถเมล์ เนื่องจากตื่นไม่ค่อยทันไปเข้าเรียน
เช้าวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกา ชิวเทียนต้องออกจากบ้านตอนเจ็ดโมงครึ่ง เพื่อไปเรียนชั่วโมงแรกแปดโมงเช้าให้ทัน แถมวันนี้จะมีทำ lab ตอนบ่ายด้วย ซึ่งก็แน่นอนต้องมีการสอบปากเปล่าก่อนทำ lab ถ้าอาจารย์ถามแล้วตอบไม่ได้ หึ หึ ชิวเทียนก็จะได้รับเลือก ให้กลับบ้านไปนอนตีพุงซะ -_-“ ซึ่งชิวเทียนไม่ต้องการ
เป็นที่รู้กันว่า หน้าหนาวตอนเช้า ๆ นั้นทั้งมืดทั้งหนาว ชิวเทียนตื่นมารีบหม่ำ ล้างหน้า แต่งตัว ใส่รองเท้าได้แล้วก็วิ่งออกจากบ้าน ฟ้ายังมืดอยู่มาก ถนนเปียก ๆ คงเพราะน้ำค้างจากตอนกลางคืน จำได้ว่าก่อนจะเริ่มออก วิ่งร้อยเมตร ชิวเทียนก้มลงพับขากางเกงยีนส์ขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้ เปียกน้ำตอนวิ่ง หลังจากใช้เวลาห้านาทีกว่า ๆ ชิวเทียนก็ไปถึงป้ายรถเมล์ ยืนรอรถเมล์แว๊บหนึ่ง พอ 07:39 รถเมล์ก็มา นั่งประมาณสิบนาที แล้วลงเดินต่ออีกเล็กน้อย เวลา 07:55 ชิวเทียนก็ไปปรากฏตัวในห้องเรียน
2 ชั่วโมงแรกของการเรียนผ่านไปอย่างเร็ว ชิวเทียนมีเวลาว่างเหลืออีก 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาสอบ lab เพื่อน ๆ ก็เลยลากกันเข้าห้องสมุด ไปอ่านและท่องหนังสือเตรียมสอบกันที่ชั้นสอง จำได้เลยว่าเตรียมสอบ เกี่ยวกับ Mass Spectroscopy นั่ง ๆ อ่านไป งงเล็กน้อย เพื่อนชิวเลยบอกว่า เดี๋ยวลงไปถามพ่อมด google ตรงมุมคอม ชั้นล่างดีกว่า ลงไปเจอเพื่อนคนอื่นก็เลยยืนเม้าท์กันเล็กน้อย
ทันใดนั้น ชิวเทียนก็รู้สึกแปลก ๆ รู้สึกว่าพื้นที่ยืนเหยียบอยู่มันเอียง ๆ เลยบอกเพื่อนว่า “แปลกจัง ทำไมพื้นตรงนี้สูงไม่เท่ากันเนี่ย” ขณะที่พูดชิวเทียนก็กวาดตามองพื้น แล้วก็ร้องกร๊ดขึ้นมาทันที โอ้ ถึงว่าทำไมพื้นมันสูงไม่เท่ากานนนนนนนนนนน ก็รองเท้าที่ใส่มาหน่ะซิ มันไม่ใช่คู่เดียวกัน!
ถึงจะเป็นผ้าใบสีน้ำตาลทั้งคู่ แต่คู่(เอ๊ะ หรือเรียกข้างดี)หนึ่งเป็นน้ำตาลเข้ม พื้นสูงหน่อยหนึ่ง ส่วนอีกคู่เป็นสีน้ำตาลอ่อนเกือบเหลืองเตี้ยติดดิน ไม่เหมือนกันอย่างมาก >,< ด้วยความตกใจ(ในความก่งก๊งของตัวเอง) ชิวเทียนก็ชี้ให้เพื่อนดูว่า ใส่รองเท้าผิดคู่ผิดข้างมา (เป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ ฮ่า น่าจะเงียบไว้ เพราะหลังจากนั้นรู้กันทั้งคณะเล้ยย)
ตอนนั้นบอกตรง ๆ อายมากเซ็งด้วย อารมณ์แบบว่าจะกลับบ้านแล้ววววว ชั้นอยู่ไม่ได้ ต้องไปเปลี่ยนรองเท้า แต่ก็เหลือเวลาประมาณสองชั่วโมง ก่อนถึงเวลาสอบ lab แถมยังอ่านหนังสือกันไม่เข้าใจ เพื่อนสนิทก็รั้งไว้บอก ว่าอยู่อ่านท่องให้เข้าใจนี่หล่ะ อยากถูกส่งกลับบ้านเวลาตอบคำถาม ไม่ได้หรือไง รองเท้าช่างมันเหอะไม่มีใครสังเกตหรอก(แต่มันก็บอกเองว่า ดูก็รู้ว่าคนละคู่ ฮ่วย) ชิวเทียนเลยต้องนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบต่อไป ด้วยจิตใจเป็นกังวล ทนอ่านจนจบเข้าใจแต่ยังท่องไม่เข้าหัวมากนัก แล้วก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป
เหลือบมองนาฬิกาเวลาสวยมาก เหลืออีก 40 นาทีก่อนสอบ บอกเพื่อนว่า ไม่ได้เด็ดขาดจะไม่เข้า lab ด้วยรองเท้าสีน้ำตาลคนละคู่กันแบบนี้เด็ด ๆ เกิดอาจารย์ให้ออกไปเขียนสมการเขียนอธิบายบนกระดาน ออกไปยืนเด่น ขนาดนั้นก็ต้องมีคนมองรองเท้า แล้วเค้าต้องรู้กันหมดเลยซิว่า ชั้นโก๊ะมาก ใส่รองเท้าผิดคู่ ไม่ยอมเด็ดขาด ยังไงชิวเทียนก็จะกลับบ้านไปเปลี่ยน รองเท้า เพื่อนเห็นว่ายังไงก็จะกลับให้ได้ เลยบอกให้รีบไปรีบกลับเดี๋ยวมาสอบ ไม่ทัน
ชิวเทียนก็เลยเดินออกมาที่ป้ายรถเมล์ อืมคำนวณเวลาแล้วกลับบ้านไม่ทันแน่ ๆ คือกลับบ้านหน่ะทันแต่กลับมาสอบไม่ทันแน่ คิดอยู่นานแล้วก็ปิ๊ง ๆ เกิดไอเดีย นั่งรถเข้าเมืองไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ดีกว่า ดูเวลา อ้าว รถเมล์เพิ่งผ่านไป เอ๋า ทำไงละนี่ สุดท้ายก็เลยคิดว่าเอาฟะ!เดินเข้าเมือง นี่หล่ะ เวลาปกติเดินประมาณ 15 นาที แต่วันนั้นคิดแล้วว่าถ้าวิ่งหน่อย ก็จะใช้เวลาไปกลับรวมซื้อรองเท้าเสร็จได้ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแน่ ๆ
สรุปวันนั้นชิวเทียนก็เลยมีรองเท้าคู่ใหม่สีชมพูสดใสใส่ไปสอบ อิ อิ โดยมีรองเท้าเก่าสองสีน้ำตาลวางซ่อนอยู่ในตู้ล็อกเกอร์หน้าห้องสมุด คราวนั้่นถือเป็นการซื้อรองเท้าที่เร็วที่สุดเป็นสถิติของชีวิตเลยทีเดียว เพราะเข้าร้านปุ๊บมองหาคู่ถูกใจ หยิบเบอร์ที่คิดว่าใส่ได้แน่ ๆ แล้วเอาไป จ่ายเงินทันที (ตอนนั้นไม่สนจริง ๆ นะว่ารองเท้าจะใหญ่ไป เล็กไป ใส่แล้วกัดไหม จะสวยเหมาะกับตัวเองหรือเปล่า คิดแต่จะซื้อเพราะคิดแล้วว่า รองเท้าต่อให้แย่แค่ไหนยังไงก็ยังเข้าคู่กันและย่อมดีกว่ารองเท้าสีน้ำตาล เข้มข้างและน้ำตาลอ่อนข้างอย่างที่ใส่อยู่แน่นอน
โอ้ เขียนไปสามหน้าแล้ว เพิ่งได้สามเรื่องเอง เอ่อ ต้องเขียนห้าเรื่องจริง ๆ หรือเนี่ย ในหัวมีเป็นร้อยเรื่องเลย เอ๊ย ไม่ช่ายยย ห้าเรื่องสงสัยห้าหน้าแน่ ๆ เอาหล่ะจะเขียนสั้น ๆ แล้ว...ที่เหลือต้องเขียนย่อ ๆ เท่านั้น!!!
4. เมื่อก่อนชิวเทียนเป็นคนไม่ช่างพูด สมัยเรียนประถมและมัธยมนั้นชิวเทียนเป็นคนเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา ต้องคนสนิทกันจริง ๆ ถึงจะรู้ว่าชิวเทียนก็พูดได้นะ -*- ยิ่งถ้าคนไม่รู้จักกัน มาก่อน คนแปลกหน้า(ไม่เคยเจอกันมาก่อน)อะไรเนี่ยชิวเทียนไม่พูดด้วยเลย เพราะไม่รู้จะพูดอะไรด้วย แป่ว!
มาเรียนภาษาเยอรมันแรก ๆ รู้สึกตัวเองมีปัญหายังไงไม่รู้ภาษาพัฒนาช้า จะว่าเพราะเป็นเด็กสายวิทย์จ๋าก็ไม่น่าเกี่ยว มานั่งคิด ๆ ดูก็ได้คำตอบว่า คงเพราะไม่ค่อยได้ใช้พูดนอกห้องเรียน ทางแก้ปัญหาที่นึกได้ตอนนั้น ก็คือต้องออกไปสังสรรค์ปาร์ต้งปาร์ตี้กะเด็กเรียนภาษาชาติอื่น ๆ บ้าง แต่เพราะชิวเทียนไม่ใช่คนช่างพูดเลยเป็นปัญหาใหญ่ จะไปเข้าเรียน คอร์สสอนพูดคอร์สเข้าสังคมก็ไม่มีให้เรียน คิดไม่ตกสักทีเลยไปปรึกษา เพื่อนที่เรียนด้วยกัน ไปถามเค้าอยู่นานถามอย่างละเอียดเลยนะว่า เจอคนแปลกหน้าครั้งแรกต้อง คุยยังไง ต้องมองยังไง มองหน้า มองมือ เริ่มบทสนทนาแบบไหน หัวข้อเรื่องไหนคุยได้เรื่องไหนคุยไม่ได้ จำได้ว่าตอนนั้นถึงขั้นนั่งลิสต์เป็นข้อ ๆ เลยว่า ถ้าจะพูดเรื่องนี้ต้องเล่าอะไรบ้างเสร็จแล้วจะพูดถึงเรื่องอะไรต่อไป
หลายปีหลังจากนั้น ชิวเทียนเริ่มพูดเก่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ชอบพูดกับคนแปลกหน้า อยู่ดี เพราะนึกเริ่มบทสนทนาไม่ค่อยเก่งเหมือนเดิม จนกระทั่งวันหนึ่งชิวเทียนจับพลัดจับผลู ได้ไปทำงานกับกลุ่ม ๆ หนึ่ง มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการออกหนังสือ (แจกสมาชิก) ต้องคอยหาคนเขียนคอลัมน์ในเล่ม ต้องคอยตามจิกเอางาน มาลงเล่มให้ทัน ต้องโทรหาคนนั้นคนนี้ทั้งรู้จักและไม่รู้จัก
แล้วโทรไปปุ๊บจะใช้งานให้เค้าเขียนเรื่องให้เลยตั้งแต่คำทักทายแรกก็ ไม่ค่อยสวยนัก ดังนั้นชิวเทียนเลยต้องหัดโม้เรื่องโน้นเรื่องนี้ ชวนคุยจิปาถะ ก่อนจะเข้าเรื่องใช้งาน ทำงานนั้นอยู่นานพัฒนาขึ้นเยอะในหลาย ๆ ด้าน ที่สำคัญตั้งแต่คราวนั้นชิวเทียนก็เลยเปลี่ยนไปกลายเป็นคนคุยเก่งขึ้น พูดน้ำไหลไฟดับแม้คนฟังหลับก็ยังไม่เลิกพูด เสียดายอยู่อย่างเดียว ตอนนี้นะเวลาบอกใครว่าสมัยก่อนเป็นคนไม่ช่างพูด เค้าต้องคิดว่าชิวเทียนเล่นมุกทุกทีไป =.= ไม่มีใครเชื่อเล้ยยยย
5. ชิวเทียนเคยไว้ผมยาวสองครั้งเท่านั้นในชีวิต เนื่องจากชิวเทียนเป็นเดะภูธร ^^ โรงเรียนแถวบ้าน จะเป็นอะไรที่ไม่เหมือนใคร สมัยอยู่อนุบาลหรือประถมโรงเรียนห้ามไว้ผมยาว แต่ตอนนั้นก็ไม่เป็นปัญหาแก่ชิวเทียนแต่ประการใด เค้าให้ไว้ทรงไหนก็ไว้ พอเข้าม.ต้นนี่ซิ ชิวเทียนเริ่มอยากสวย ฮ่า! เห็นญาติลูกพี่ลูกน้อง เค้าถักเปียมัดผมมัดแกละกันก็อยากทำไปแข่งสวยกะเค้าบ้าง แต่โรงเรียน อนุญาตให้เด็กม.ต้นไว้ผมได้แค่ยาวเท่าติ่งหูเท่านั้น ถ้าเป็นเด็กม.ปลายให้ไว้ ผมได้ยาวหน่อย คือยาวเท่ามุมปาก (ยาวขึ้นมากกว่าติ่งหูเย๊อะ)
พูดง่าย ๆ ก็คือโรงเรียนห้ามไว้ผมยาว ห้ามมัดผมใด ๆ ทั้งสิ้น ผมเผ้าต้องติดกิ๊บสีดำให้เรียบร้อย ห้ามสีสันฉูดฉาด ชิวเทียนก็เลย อดไว้ผมยาว ต้องทนตัดผมสั้นกุด ๆ หน้าเด๋อ ๆ โชว์คอยาว ๆ (เด็ก ๆ ง่ะ เพื่อนเคยล้อว่ายีราฟคอยาว แต่ชิวเทียนไม่ยอม บอกว่าแบบนี้เรียกคอยาวงามระหง กั่กๆ)
ก็เพราะเหตุผลข้างต้นชิวเทียนเลยโตมาแบบไม่เคยไว้ผมยาวเลย จนมาอยู่เยอรมันนี่หล่ะ ได้มีโอกาสทำแบบที่ฝัน ได้ไว้ผมยาว สลวยครั้งแรกในชีวิต โอ้ จ๊อร์ชมันยอดมากกก อ่ะ ไม่ช่ายยย ... ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มันมีเหตุผลเบื้องหลังที่ไว้ผมยาวหน่ะ เนื่องจากตอนนั้น งกรู้สึกว่าร้านตัดผมที่เยอรมันแพงมาก ยิ่งถ้าคูณเป็นเงินบาทแล้วสยอง ที่สำคัญไม่รู้จะไปอธิบายให้ร้านตัดผมเข้าใจได้ยังไง อิอิ กลัวเค้าตัดออกมาแล้วจะไม่กล้าออกจากบ้าน ชิวเทียนก็เลยปล่อยเลย ตามเลยไม่ตัดผมซะงั้นทิ้งไว้เกือบสองปีแหน่ะ เพราะเป็นคนผมยาวช้า ผมเลยยาวประมาณกลางหลังได้ พอกลับเมืองไทยเท่านั้นหล่ะ ชิวเทียนกับผมยาวครั้งแรกก็ต้องพัดพรากจากกัน คาดว่าเนื่องเพราะ สภาพและทรงผมคงน่าเกลียดเกินม่ามี๊ชิวเทียนจะทนดูได้ ม่ามี๊เลยไม่พูดพร่ำทำเพลงพาเข้าร้านตัดผมตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงเลย (ฮ่า!)
หลังจากตัดผมที่เมืองไทยคราวนั้น ชิวเทียนก็ไม่รู้เกิดอาการอะไร ประหนึ่งบรรลุหลักธรรม เพิ่งค้นพบมั้งว่าอยากสวยด้วยผมยาวต้องบำรุง ขืนปล่อยเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลยมันไม่มีทางสวยหรอก (เอ่อ ถ้าคนผมสวยจริง ๆ ก็อาจไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่ชิวเทียนผมไม่สวยง่ะ) เลยกลายเป็นว่าตั้งแต่คราวตัดผมที่ม่ามี๊พาไปตัด ชิวเทียนก็ไว้ แต่ผมสั้นซอยทำสีผมไปตามเรื่อง แล้วก็ไม่เคยยอมปล่อยให้ยาวเกินต้นคอ ต้องเข้าร้านตัดผมทุก 5-6 เดือน ตัดให้สั้นตลอด (เริ่มสื่อสารกับช่างผมรู้เรื่อง ฮ่า เลยร้อนวิชา ต้องไปฝึกภาษาบ่อย ๆ) ชิวเทียนไว้ผมสั้นอยู่หลายปี ไม่เคยเบื่อชอบมาก สบายสุด ๆ ไม่ต้องดูแล ยิ่งช่วงที่หนังเรื่องกุมภาพันธ์ฮิต ๆ คนหันมาตัดผมสั้นกัน ยิ่งรู้สึก วิ๊ววว เราก็อินเทรนด์นะนี่ ^^
จนเมื่อไม่นานมานี้ (เอ๊ะ หรือนานแฮะ) อยู่ ๆ ชิวเทียนก็ตัดสินใจ ไว้ผมยาวอีกครั้ง แถมคราวนี้ด้วยเหตุผลบางอย่างเลยแน่วแน่มากว่า จะไว้ผมยาวไม่ยอมตัด ไม่กลับไปไว้ผมสั้นอีกแล้วปัจจุบันเลย ผมยาวสลวยสวยเก๋ (อนุญาตให้อ๊วกกันได้ค่าาา) ก็ถือเป็นการไว้ผมยาว ครั้งที่สองในชีวิตและก็ยาวมาก/ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยไว้เลยหล่ะ
++++
เฮ้อ ยาวมั่ก ๆ กว่าจะจบ อ่านกันเหนื่อยไหมคะ จขบ.เขียนเองยัง เหนื่อยเลย เรื่องโม้ไร้สาระเนี่ย ถนัดจริงจิ๊ง อิอิ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ดูรายชื่อ 5 คนผู้โชคดีต่อไปที่ต้องเขียน blog tag เลยค่า 1.so-coke 2.K.Ruan 3.xzelder 4.takiendeutsch 5.aiyazawa9051
ใครว่างมากก็เขียนได้เลยทันที ใครไม่ว่างมากก็เขียนช้าหน่อย ไม่ว่ากัน เน้นฤกษ์สะดวกเลยนะคะ จะรออ่านค่า เรื่องชาวบ้านเนี่ยชอบนัก
Create Date : 18 มกราคม 2550 |
|
40 comments |
Last Update : 18 มกราคม 2550 9:21:23 น. |
Counter : 739 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: icebridy 18 มกราคม 2550 23:16:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: xzelder (xzelder ) 19 มกราคม 2550 21:39:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: so-coke 25 มกราคม 2550 19:19:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชิวเทียน 28 มกราคม 2550 20:47:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: K.Ruan 2 กุมภาพันธ์ 2550 17:39:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: K.Ruan 6 กุมภาพันธ์ 2550 15:59:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: CeYLoN 14 กุมภาพันธ์ 2550 0:27:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้านิด (ป้านิด ) 14 กุมภาพันธ์ 2550 23:08:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: K.Ruan 16 กุมภาพันธ์ 2550 17:41:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: so-coke 20 กุมภาพันธ์ 2550 3:47:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: Toon16 21 กุมภาพันธ์ 2550 16:59:16 น. |
|
|
|
|
|
|
|
160 ข้อของ ดาริ ไม่เป็นความลับหรอก
แต่ความลับข้อที่ 1 ที่จะบอกคุณชิวก็คือ
เรากลัวการเสียบปลั๊กมากๆ เพราะเราเคยเสียบ
แล้วสายมันเก่า มันก็ช้อต ไฟมันสปาร์ค แชะๆ
สองสามที แล้วก็ลุกพรึ่บ....
หลังจากนั้นมา
ทุกครังที่จะเสียบปลั๊ก ต้องใช้ผ้าหุ้มมือ ก่อน
หรือไม่ก็เสียบปลั๊กราง ทิ้งไว้ แล้วค่อยกดเปิด-ปิดเอาน่ะค่ะ ^^"
(ปล. นี่ความลับนะ แล้วอย่าบอกใครล่ะ อิอิ)