OLOS IN INDIA : Kashmir and Wonder of India : 2



OLOS IN INDIA : Kashmir and Wonder of India : 1

Day 5

วันนี้ตื่นแต่เช้า  อยากถ่ายแสงตอนพระอาทิตย์ขึ้น เลยขึ้นบันไดไปถ่ายบนดาดฟ้าเรือ
แต่แสงไม่ค่อยสวย และมุมไม่ค่อยได้ กดแค่ไม่กี่รูป ก็ลงมาข้างล่าง






อาหารเช้าวันนี้เป็นอาหารง่ายๆ อย่างข้าวต้ม ไข่เจียว และ ไชโป้วผัดไข่
มื้อนี้แหละ อร่อยที่สุดของบ้านเรือแล้ว





บรรยากาศยามเช้าที่ทะเลสาบดาล




ประมาณ 7โมงครึ่ง เราก็ลงนั่งเรือไปที่ฝั่ง เพื่อเตรียมตัวไปโซนามาร์คกันครับ
ระหว่างนั่งเรือก็จะมีพ่อค้าพายเรือมาประกบขายผ้า ขายของให้เรา
บางลำก็ประกบซ้ายขวาเลยครับ ถ้าจะซื้อต้องต่อเยอะๆ ประมาณ 20-50% ของราคาที่บอกมา
ต้องลองต่อดูครับ ถ้าพอใจก็ซื้อเลย หรือจะรอดูไปก่อน ค่อยซื้อก็ได้ แต่อาจจะไม่มีสีหรือลายที่ชอบ








หลังจากถึงท่าเรือ ก็ยังมีพ่อค้ามาขายสินค้าต่างๆมากมาย ทั้งผ้า กระเป๋า หมวก เสื้อแจ็กเก็ต เปเปอร์มาเช่
พ่อค้าตื้อมาก ขนาดนั่งบนรถแล้วก็ยังตามมา ลองต่อเล่นๆ ก็ได้ราคาที่ต้องการ แต่จ่ายเงินไม่ทัน รถออกซะก่อน
วันนี้เราเดินทางไปโซนามาร์ค ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองศรีนาการ์ไปทางตอนเหนือ ระยะทางประมาณ 87 กิโลเมตร








ที่แคชเมียร์ เราจะเห็นร้านขายพรม อยู่บ่อยๆ เพราะพรมแคชเมียร์มีชื่อเสียงมาก




นั่งชมวิถีชีวิตข้างทางไปเรื่อยๆ สังเกตเห็นอะไรไหมครับ
ทหารยืนอยู่ข้างบน อยู่ทุกที่จริงๆ




วิวสองข้างทางสวยงาม ถนนที่เราวิ่งจะตัดขนานไปกับแม่น้ำแห่งหุบเขาซินด์
เราจะเจอหุบเขา สลับกับทุ่งหญ้า และเทือกเขาหิมาลัย ที่ยอดเขามีหิมะปกคลุมเกือบทั้งปี
มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่เป็นระยะ โซนามาร์ค แปลว่า ทุ่งหญ้าทองคำ
ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่มุ่งหน้าไปยังลาดักห์  จึงเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ "ประตูสู่ลาดักห์"





บ้านที่ปลูกอยู่บนเขา เป็นของชนเผ่าครับ



ประมาณ 09.30 น. แวะร้านขายของครับ มีทั้งกระเป๋าผ้า ผ้าพันคอ เสื้อหนัง เปเปอร์มาเช่
แต่ราคาอาจจะสูงกว่า ซื้อกับพ่อค้าแถบท่าเรือ  ต้องลองต่อดูครับ








ระหว่างรอคนอื่นซื้อของ ก็ออกมาถ่ายภาพเล่นหน้าร้าน




เด็กน้อยคนนี้ พอรู้ตัวว่าโดนแอบถ่ายก็มีท่าทางเขินอาย แต่ก็หันมามองกล้องบ่อยๆ



จากนั้นรถก็เริ่มเข้าสู่ภายในหุบเขา ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
วิวช่วงนี้จะเห็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่เบื้องล่างตามรายทาง





พอถึงตัวเมือง สังเกตจากมีรถจอด และม้าเดินกันเต็มไปหมด
ไกด์ให้รีบเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย และให้เลือกว่าจะขี่ม้า หรือขึ้นรถไป
พวกเราทั้งกรุ๊ปเปลี่ยนมาขึ้นรถจี๊ป เพราะเพิ่งเคยขี่ม้ามาแล้ว
และตอนนี้ก็แดดจัด แม้อากาศจะหนาว รวมทั้งถ้าขี่ม้า จะต้องเดินไปตามถนน ซึ่งก็ต้องระมัดระวังมากกว่า
ราคาค่าขึ้นรถไปกลับ จากจุดนี้ ไปยังจุดเริ่มต้นของโซนามาร์ค 2000 รูปี (นั่งได้ 6-7 คน)





ประมาณ 11.20 น. เราก็ขึ้นรถไปโซนามาร์ค
เพราะด้านบนเขาหิมะยังเยอะอยู่ และทางปิด เราสามารถเข้าได้ถึงแค่จุดนี้เท่านั้น








ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้วครับ เรามีเวลาอยู่ตรงนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง
ตรงทางเข้า มีขายพวกเนื้อเสียบไม้ปิ้งด้วยครับ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเนื้ออะไร
วิวตรงจุดนี้ สวยมาก มีสายน้ำไหลแรงอยู่เบื้องล่าง ด้านหลังเป็นแนวเทือกเขาพร้อมทิวสนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน






เราเดินถ่ายรูปเล่นกันสักครู่ ก็เริ่มรู้สึกหนาวมาก
ซึ่งนอกจากอากาศเย็นแล้ว ยังมีลมพัดอีกด้วย คิดว่าน่าจะติดลบแน่นอน
จริงๆ ที่นี่ก็มีกิจกรรมพวกลากเลื่อน ขี่รถ snowmobile ให้นักท่องเที่ยวได้เล่นด้วยนะครับ
โดนตื้อตลอดเวลาให้เล่น บอกไม่เล่นก็ยังเดินตาม 55 เลยต้องไปหาที่นั่งพักเงียบๆ รอเวลากลับ







ประมาณเที่ยงครึ่ง เราก็เดินทางกลับและเปลี่ยนรถคืน
จากนั้นก็แวะไปกินอาหารมื่อเที่ยง ซึ่งไกด์บอกว่าเป็นอาหารไทย จัดเต็ม
เราก็ฝันหวานว่า ส้มตำ ผัดไทย กะเพราไก่ ต้องมี
ลงจากรถก็มีเวลคัมดริ้งค์ กับขนมปังต้อนรับ
เข้ามาด้านในดูไลน์อาหาร มีส้มตำจริงๆด้วย  แต่ไม่ใช่เส้นมะละกอ แถมรสชาติก็เปรี้ยวมากกกก
แต่ก็โอเค มีของหวานเป็นกล้วยบวดชี ก็อร่อยดีครับ








จากนั้นเราก็ตรงมายังเมืองศรีนาการ์ แวะข้างทางให้ลงไปถ่ายทุ่งดอกมัสตาร์ด
ส่วนเราเริ่มเหนื่อย หมดแรง ขอนั่งอยู่บนรถละกัน



จากนั้นก็ตรงไปยัง Heritage Mughal Garden Shalimar หรือที่เราเรียกสั้นๆ ว่า สวนชาลิมาร์
สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โมกุล เนื่องจากเมืองศรีนาการ์ แคว้นแคชเมียร์แห่งนี้ มีภูมิอากาศเย็น เหมาะสมกับการเติบโตของต้นไม้ดอกไม้
กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลในอดีต จึงนิยมใช้สวนแห่งนี้เป็นที่ประทับพักผ่อน  สวนนี้สร้างขึ้นโดย จักรพรรดิ์ชาฮังคี ในช่วงน้ำหลาก น้ำพุที่สวนนี้เกิดขึ้นได้โดยแรงดันธรรมชาติซึ่งไหลมาจากภูเขา
ส่วนในช่วงฤดูร้อนจะมีดอกไม้นานาพันธุ์ ผลิดอก อย่างสวยงาม แต่ช่วงที่เรามาดอกไม้ยังไม่สวยเท่าไรนัก







นอกจากนั้น ยังมีต้นชีน่าร์ ในชื่อท้องถิ่น หรือ ต้นเมเปิ้ล ขนาดใหญ่มาก อายุกว่า 300-400 ปี
โดยรวมแล้วเราประทับใจสวนทิวลิปมากกว่า สวนนี้ต้นไม้ดอกไม้ดูธรรมดาไป มีความน่าสนใจที่ตัวอาคารกับน้ำพูมากกว่า




ฝั่งตรงข้ามกับสวน มีร้านขายของฝากอยู่หลายร้าน แวะซื้อต่อรองกันได้

|

ออกจากสวน เรามาแวะโรงงานพรมกันครับ มาแคชเมียร์แล้วไม่แวะไม่ได้
เมื่อเข้าไปเค้าจะให้เรานั่งรอ และจะมีเจ้าหน้าที่มาอธิบายพรมแต่ละแบบ มีทั้งทอมือ ทอเครื่อง
จากนั้นก็จะถามเรา ว่าอยากได้แบบไหน ขนาดไหน ราคาเท่าไร ซึ่งราคาที่บอกมา สูงมาก
เราสามารถต่อรองได้ อย่างขนาด 4x6 ฟุต เค้าบอกราคามา 24000 รูปี
ลดได้ 30 %  แต่สุดท้ายเราซื้อมาได้ในราคา 10000 รูปี
ซึ่งจริงๆ น่าจะได้ราคาที่ต่ำกว่านี้อีก  หลังจากซื้อแล้วทางร้านก็จะแพคอย่างดี
จนมีขนาดเล็ก สามารถโหลดลงเครื่องได้เลย





มาต่อกันที่สวนสุดท้าย ที่ สวนนิชาท (Nishat)
สวนนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบดาล มีภูเขาซาร์บาวาล เป็นฉากหลัง เป็นสวนทีใหญ่ที่สุด
มีต้นเมเปิ่ล อายุกว่า 400 ปี  มีดอกไม้นานาชนิดตามฤดูกาล
หนุ่มสาวแคชเมียร์ มักใช้สวนแห่งนี้ นัดหมายพูดคุย หรือบางครอบครัวก็มาปิคนิคทานอาหารกันที่นี่

สวนนี้เราไม่ได้เดินชมจนทั่ว เนื่องจากดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ
ประกอบกับเหนื่อย และหมดแรง เหมือนจะไม่สบาย






ข้ามมาฝั่งตรงข้ามสวน มีขายไอติม เกิดอยากลองกินสักหน่อย
รสชาติหวานมาก ไม่อร่อยเท่าเมืองไทย ราคาถ้วยละ 50 รูปี


จากนั้นเราก็กลับไปยังบ้านเรือ ครั้งนี้คนพายพาอ้อมไปอีกด้าน ซึ่งไกลมากกว่าจะถึง
เพราะพาไปแวะร้านขายของด้วย สรุปคือ พานั่งเรือชมตอนช่วงค่ำ  แทนพาชมตลาดเช้า
เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปสนามบิน อาจจะไม่มีเวลาเที่ยว
จริงๆแล้วอยากชมบรรยากาศตอนเช้ามากกว่า เพราะตอนค่ำก็ไม่มีอะไร





กลับมาก็มาทานมื้อเย็นกันครับ เมื่อวานเย็นพ่อบ้านเรียกพ่อครัวมา และถามว่าเราอยากกินอะไร
เราก็บอกไข่เจียว และอย่างอื่นไป ปรากฎว่าไม่มีสักอย่าง 5555 มื้อนี้ก็เหมือนเดิม กินไม่ค่อยลง เริ่มเบื่ออาหาร
ถ้าทัวร์มีกะเพราไข่ดาวสักจาน นี่เด็ดเลย




Day 6

ตื่นแต่เช้า มาซึมซับบรรยากาศหน้าบ้าน สักพักพ่อค้าขายดอกไม้ก็พายเรือมาทักทาย
ชวนให้ซื้อดอกไม้ เราบอกไม่เอา ก็ยังยื่นดอกไม้มาให้  นึกว่าจะใจดี ที่แท้ก็จะหลอกขายเมล็ดดอกไม้
แต่เราเคยอ่านว่าเมล็ดพวกนี้มันปลูกไม่ขึ้น อากาศบ้านเราก็ไม่เหมือนที่นี่
บอกไม่มีที่ปลูก ไม่เอา ก็ยังตื้อ จนท้ายสุดรู้ว่าเราไม่เอาจริงๆ ก็เหมือนจะแอบบ่นและด่าเรา555



อาหารเช้าวันนี้ เป็นไข่เจียว กับผัดผัก



บรรยากาศยามเช้าที่ทะเลสาบดาล




และนี่คือโฉมหน้าพ่อบ้านบนเรือ ดูแลดีมาก ยิ้มแย้มตลอดเวลา



ถึงเวลาอำลาที่นี่แล้วครับ ขนกระเป๋าลง และนั่งเรือไปที่ฝั่งกันเลย
ช่วงเช้าคนพายเรือลำนี้ ทำโทรศัพท์มือถือหล่นลงไปในน้ำที่หน้าบ้านเรือ
งมลงไปหาก็ไม่เจอ เพราะทนความเย็นของน้ำไม่ไหว น่าเศร้า




ก่อนกลับก็ยังมีพ่อค้าพายเรือมาขายผ้า Pashmina


ขนาดเข้าห้องน้ำมาแล้ว พอถึงฝั่งเตรียมขึ้นรถ ก็เริ่มปวดอยากจะเข้าห้องน้ำอีกรอบ
ให้เดินเข้าไปในซอยตรงข้ามท่าเรือเลยครับ ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือ ถัดจากร้านขายของทอดไปอีกนิด
แต่ต้องทำใจเรื่องความสะอาด



ประมาณ 9 โมงเช้า เราก็ออกเดินทางจากท่าเรือไปสนามบินศรีนาการ์ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ไกด์แจ้งล่วงหน้าแล้วว่า จากศรีนาการ์ บินกลับเดลลี ที่นี่จะตรวจเข้มมาก 3-4 ด่าน แล้วแต่ช่วง
เริ่มแรกก่อนเข้าสนามบิน ก็จะตรวจใต้ท้องรถก่อน จากนั้นก็รถจะผ่านเข้าไปจอดที่จุดตรวจ
ขนกระเป๋าเดินทาง ลงจากรถทั้งหมด และเดินเข้าเครื่องสแกน ทั้งคนและกระเป๋า
จากนั้นก็ไปขึ้นรถ เดินทางไปยังอาคารผู้โดยสารขาเข้า



ร้านขายของในสนามบินบริเวณเคาน์เตอร์เช็คอิน ราคาค่อนข้างแพง


หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ทางไกด์แจกข้าวกล่องยังชีพสำหรับมื้อเที่ยง



ทานเสร็จเรียบร้อยเดินเข้าเกท ผ่านเครื่องสแกนอีกรอบ
สำหรับผู้ที่มีไอแพด กระเป๋ากล้อง หลังจากโดนสแกนเสร็จแล้วจะโดนเรียกไปอีกเคาน์เตอร์นึง
เจ้าหน้าที่จะรื้อกระเป๋าออกมา เจอกล้อง ก็ให้กดถ่ายให้ดู เจอไอแพดก็ให้กดปุ่มเปิดให้ดู
สงสัยที่ไม่กล้ากดเอง เพราะกลัวเป็นระเบิด  เสร็จเรียบร้อยก็จะประทับตราแท็กที่ห้อยกระเป๋า ว่าผ่านการตรวจเรียบร้อยแล้ว




หน้าเกทก็ยังมีร้านค้าเล็กน้อย  ประมาณ 12.20 น. ก็ได้เวลาบินกลับเดลลีแล้วครับ
บนเครื่องก็ยังบริการอาหาร คล้ายๆข้าวแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย บ้านเรา






นั่งเพลินๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงเดลลีแล้ว
จากนั้นเราก็ขึ้นรถบัส เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองชัยปุระ Jaipur ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นราชาสถาน
ระยะทางประมาณ 260 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 6-7 ชั่วโมง  คนอินเดียส่วนใหญ่จะเรียก ไจปูร์ หรือ ไจเปอร์
เมืองนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1728 เป็นเมืองที่วางผังได้อย่างสวยงาม เปรียบเมืองนี้เป็นเมืองแห่งเทพเจ้า เมืองแห่งพระอาทิตย์
ตามแผนภูมิของจักรวาล โดยมีพระราชวังชัยปุระ เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลนั่นเอง


ระหว่างทางจะผ่านเขตชนบท ไร่นา สวนผัก และสัตว์ที่เราจะพบเห็นในแคว้นนี้ก็คือ อูฐ



หลังจากนั่งรถใช้เวลา 6 ชั่วโมง หลับๆตื่นๆ ประมาณสามทุ่มเศษ
เราก็มาถึงโรงแรม Ramada Jaipur ซึ่งเราจะพักที่นี่ 2 คืนด้วยกัน


ก่อนเข้าห้องพัก ก็ไปรับประทานอาหารกันก่อนครับ ไลน์อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารอินเดีย
เราเบื่ออาหารมาหลายวันแล้ว เลยเอามาม่าคัพในกระเป๋า มาขอน้ำร้อนที่โรงแรมแทนดีกว่า



ห้องพักของเราในคืนนี้







Day 7

ตื่นเช้า ลงมาทานอาหารเช้าเช่นเคย


ประมาณ 9 โมงเช้า เราก็เริ่มออกเดินทางไปยังป้อมแอมเบอร์ หรือ Amber Fort
ระหว่างทางก็ชมวิวเมืองชัยปุระไปพลางๆ สถาปัตยกรรมที่นี่สวยงามมาก
ทั้งลวดลาย ผนัง บานหน้าต่าง ซุ้มประตู มองเพลินเลยครับ




ที่นี่เค้าเลี้ยงไก่ในกรง กันบนทางเท้าเลยครับ






จากนั้นไม่นาน ก็ผ่าน พระราชวังแห่งสายลม Palace of the winds หรือ ฮาวามาฮาล Hawa Mahal
ตั้งอยู่ริมถนนเลยครับ ไกด์ไม่บอกล่วงหน้า คว้ากล้องแทบไม่ทัน
พระราชวังแห่งนี้ สร้างขึ้นใน ปี ค.ศ.1799 เป็นวังขนาดเล็ก สูง 5 ชั้น
สร้างขึ้นจากหินทรายสีมพู มีหน้าต่างทั้งหมด 953 ช่อง ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยปุระ
จนได้รับฉายาว่า เมืองสีชมพู ภายในมีซอกซอย และทางขึ้นเป็นเขาวงกต มีช่องหน้าต่างเล็กๆ และช่องลมหลายจุด
สำหรับให้หญิงผู้สูงศักดิ์ในราชสำนัก แอบมองดูชีวิตความเป็นอยู่ในตัวเมือง รวมทั้งขบวนแห่ต่างๆ
แต่บุคคลภายนอกจะไม่สามารถมองเห็นสตรีเหล่านั้นได้ พระราชวังนี้เราสามารถชมได้เฉพาะภายนอกเท่านั้นครับ





จากนั้นรถบัสก็พาเราขับลัดเลาะเข้าไปในเมือง ผ่านซุ้มประตู อาคารบ้านเรือน
ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน ตามสองข้างทาง
อันที่จริงแล้วหินทรายก็ไม่ได้มีสีชมพูซะทีเดียว จะออกโทนสีส้มมากกว่า









อูฐ ประดับประดาด้วยผ้าสีสด สำหรับบริการนักท่องเที่ยว



ตอนนี้รถจอดให้เราถ่ายรูป ป้อมแอมเบอร์ จากริมทะเลสาบด้านล่าง
จากมุมนี้เราจะมองเห็นนักท่องเที่ยวกำลังขี่ช้างไปยังป้อมด้านบน





เจอแขกกำลังโชว์เป่าเรียกงูด้วย



จากนั้นเราก็มาจอดอีกจุดนึง เพื่อเปลี่ยนมาขึ้นรถจี๊ป และนั่งขึ้นมายังด้านบน




ด้านบนนี้ลิงด้วยนะครับ


วิวจากด้านบน สามารถมองเห็นเมืองที่อยู่เบื้องล่าง ซึ่งรายล้อมด้วยภูเขา




หลังจากนั้นเราก็เดินเข้ามาด้านในป้อม อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวมากๆ







จากนั้นเดินขึ้นบันไดไปตรงกลาง เพื่อเข้าไปยังด้านในพระราชวัง
ส่วนขากลับเราจะเดินออกมาทางด้านขวามือสุดของรูปครับ




พระราชวังแอมเบอร์ หรือ Amber Palace สร้างขึ้นโดยมหาราชาแมนสิงห์ ที่ 1 ในปี ค.ศ.1592
และสร้างเสร็จในสมัยของมหาราชาใจสิงห์ เป็นการสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบราชบุตร
โดยสร้างจากหินทรายแดง ผสมผสานทั้งของโมกุล(อิสลาม) และ แบบฮินดู ซึ่งเข้ากันอย่างลงตัวและสวยงาม





บริเวณเพดานตรงทางเข้า หากมองย้อนออกมาด้านนอกเราจะเห็นเป็นสีทอง



เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรื่อยๆ จะพบกับสวนน้ำพุ ซึ่งอยู่ด้านใน









บริเวณใกล้ทางออกจะเจอกับรองเท้าขนาดใหญ่สีดำ
เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นเป็นรูปหัวคนเล็กๆ เต็มไปหมด



เราอยู่บนป้อมแอมเบอร์ ประมาณ 2 ชั่วโมง
ประมาณ 12.30 น. เราก็เดินกลับไปที่รถแล้วครับ


มีของที่ระลึกขายหลายอย่าง แต่ไม่มีเวลาต่อราคาเลย


อากาศร้อนอบอ้าวมากกกก ลองวัดอุณหภูมิได้ 50 องศา
ถ้าเทอร์โมมิเตอร์วัดได้มากกว่า 50 อุณหภูมิอาจจะสูงกว่านี้ เพี้ยนไฟลุก



จากนั้นแวะไปโรงงานพรมที่อยู่ใกล้ๆ ชั่วโมงนึง มีสาธิตการทอพรมด้วย
แต่ตอนนี้คือร่างกายไม่ไหวแล้ว อากาศร้อนจัด






ผ่านพระราชวังแห่งสายน้ำ (Water Palace)
ตอนนี้ก็บ่ายสองแล้ว เรากลับไปทานมื้อกลางวันที่โรงแรม
วันนี้เริ่มมีอาการท้องเสีย ไม่มีแรง จนอยากจะนอนพักอยู่ที่โรงแรม
แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว กลัวจะเสียเที่ยว เลยต้องไปต่อ




ประมาณ 4โมงเย็น เราก็ออกมาชมซิตี้พาเลซ City Palace
ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง สร้างตั้งแต่สมัยมหาราชาใจสิงห์
และต่อเติมกันเรื่อยมา เป็นสถาปัตยกรรมแบบราชาสถาน ที่แสดงถึงศิลปะชั้นยอดแบบโมกุล
ในอดีต ที่นี่เป็นที่พำนักของเจ้าผู้ครองเมือง ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ Sawai Man Singh Museum
แสดงของใช้ส่วนพระองค์ของมหาราชาแห่งเมืองชัยปุระ








ช่วงที่มา มีกองมาถ่ายทำหนังด้วย






ที่สวยงามมากๆ ก็ต้องซุ้มประตูนี้ เป็นรูปนกยูง



ออกจากซิติ้พาเลซ ก็ตรงไปที่ร้าน Himalaya ครับ
อยู่บนถนนเส้นเดียวกับ พระราชวังแห่งสายลม
ที่เด่นๆจะเป็นครีมทาส้นเท้า เห็นคนที่เคยใช้บอกว่าดีมาก
แต่ละคนก็หอบกันคนละหลายสิบอันไปฝากคนที่บ้าน





ซื้อของเสร็จเรียบร้อย รีบเดินไปถ่ายรูปกับพระราชวังสายลม
แถวนี้มีร้านขายของเยอะทีเดียวครับ พวกสินค้าทำมือทั้งหลาย




จากนั้นก็รีบเดินกลับไปที่รถ ตอนนี้ก็ประมาณเกือบทุ่มนึงแล้ว
กลับไปที่โรงแรม กินอาหารมื้อเย็น แต่กินไม่ค่อยลง
เลยควักมาม่ามาช่วยอีกรอบ



Day 8

เช้าวันนี้ ยังคงพึ่งมาม่าเหมือนเดิม แต่ก็กินไม่ค่อยลง
เราเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้า เพื่อไปยังเมืองอัครา Agra ซึ่งอยู่ห่างออกไป 200 กิโลเมตร
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง เนื่องจากวัตถุดิบอย่างหินทรายมีมาก ในแถบนี้
เราจึงเห็นชาวบ้านทำหินทรายขาย ตามรายทาง ทั้งเป็นแผ่นหิน และทำเป็นซุ้มโดม สำหรับประดับตกแต่ง


นอกจากนั่นแถบนี้ยังนิยมทำอิฐขาย จะเห็นได้จากปล่องยาวๆ ที่เขากำลังเผาอิฐกัน


ห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง


เรามาถึงเมืองอัครา ประมาณบ่ายโมงครึ่ง
แวะกินมื้อเที่ยงกันที่โรงแรมก่อน



หลังจากนั้นประมาณบ่ายสามก็ออกเดินทางไปยังทัชมาฮาล Taj Mahal 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่
ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึง จะต้องนั่งรถต่อเข้าไปอีก ซึ่งมีให้เลือกทั้งรถตู้ รถกอล์ฟ รถม้า
เมื่อถึงทางเข้า ก็จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจ สแกนตัวอีกครั้งหนึ่ง




พอเดินเข้าสู่ด้านในก็จะพบประตูทางเข้าก่อนที่จะพบกับทัชมาฮาล




ทัชมาฮาล เป็นอนุสรณ์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของโลก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมนา
สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาว และหินทรายสีแดง ประดับประดาด้วยรัตนชาติ หลากชนิด
ใช้เวลาสร้างถึง 22 ปี โดยบอกเล่าเรื่องราวความรัก ผ่านการแกะสลักหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์
และยังเป็นการประกาศความรักอันมั่นคงตราบฟ้าดินสลาย ของกษัตริย์ซาจาร์ฮาล
ต่อพระมเหสีมุมตัส มาฮาล ที่สวรรคตเนื่องจากการให้กำเนิดบุตรคนที่ 14  
ภายในทัชมาฮาลนั้นเป็นที่บรรจุร่างของพระนางมุมตัส และกษัตริย์ซาจาร์ฮาลอีกด้วย





อากาศวันนี้ยังคงร้อนอบอ้าวเหมือนเดิม ไกด์บอกให้เดินไปทางซ้าย เป็นทาง vip เพื่อขึ้นไปยังด้านบน
ซึ่งจากที่สังเกต ทางซ้ายเป็นทางสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนคนอินเดีย จะเดินขึ้นทางด้านขวา ซึ่งคิวยาวมาก
โดยก่อนเดินขึ้นไปด้านบน จะต้องสวมถุงพลาสติคที่รองเท้าก่อน เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นหินอ่อน




พอเข้าไปด้านใน ห้ามถ่ายภาพนะครับ แต่ก็ยังเห็นคนอินเดีย ถ่ายรูปด้วยมือถือกันทั้งนั้น
ด้านในอากาศอบอ้าว และเหม็นมาก หายใจแทบไม่ออก กลิ่นที่ว่าก็คือ กลิ่นตัวนั่นเอง
ด้านในก็ไม่ค่อยมีอะไร มืดมาก จริงๆ ไม่ต้องเข้าก็ได้นะครับ




เดินวนจนครบก็เตรียมเดินกลับไปยังด้านหน้า


ด้านหน้ามีร้านขายของที่ระลึกหลายร้านเลยครับ
ตั้งใจว่าจะมาซื้อทัชมาฮาลจำลอง ซึ่งทำจากผงหินอ่อน
ราคาต้องต่อเยอะๆเลยครับ ที่ซื้อมาขนาดประมาณ 5 นิ้ว 200 รูปี



จากทัชมาฮาล เดินทางต่ออีกประมาณ 30 นาที เพื่อไปยังพระราชวังอัคราฟอร์ท Agra Fort
ป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นที่พำนักของมหาราชา สร้างขึ้นโดยใช้เวลานานถึง 3 ยุคของกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุล
แล้วเสร็จในสมัยกษัตริย์ซาจาร์ฮาล กษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์โมกุล
ที่นี่มีบริเวณกว้างขวาง เป็นกำแพงสองชั้น มีป้อมอาคารทางเข้า 4 ทิศ
ประกอบด้วยพระราชวัง มัสยิด ห้องต่างๆ ที่สวยงาม โดยสร้างจากหินอ่อนแกะสลัก ฝังอัญมณีโดยรอบ
มีสวนดอกไม้ และอาคารทางเดินโดยรอบ ทั้งอาคารหินทรายสีแดง ซึ่งสร้างโดยกษัตริย์อัคบาร์
ซึ่งภายในห้องนี้ยังเป็นที่คุมขังกษัตริย์ซาจาร์ฮาล โดยบุตรชายของพระองค์เอง คือ กษัตริย์ออรังเซฟ
พระองค์ใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตโดยการมองผ่านแม่น้ำยุมนา ไปยังทัชมาฮาล ซึ่งมเหสีสุดที่รักของพระองค์ประทับอยู่อย่างนิรันดร์










ขากลับยังแวะร้านขายของฝาก ก่อนที่จะเข้าโรงแรม เพื่อทานอาหารเย็น ตอนสองทุ่ม
บรรยากาศของห้องอาหาร The Grand Buffet ที่โรงแรม Jaypee Palace
//www.jaypeehotels.com/
ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่หรูหรามาก ไลน์อาหารมีเยอะพอประมาณ
ที่อร่อยคือ ซุป ซดร้อนๆคล่องคอดีครับ









ในส่วนของห้องพักน่าจะเป็นห้องเริ่มต้นของที่นี่ ขนาดใหญ่กำลังดี
ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วย เป็นห้องพักที่ชอบที่สุดในทริปนี้เลยครับ







Day 9

วันสุดท้ายของทริปแล้ว เช้านี้รีบเก็บกระเป๋าเตรียมขึ้นรถเพื่อเดินทางไปสนามบิน ที่เดลลีครับ
ตอนเช้า ทางทัวร์แจกข้าวกล่องให้กินบนรถ เพื่อความรวดเร็ว
ประมาณ 06.30 เราก็ออกเดินทางกัน


บรรยากาศระหว่างทาง จะเห็นวิถีชีวิตชาวบ้านตามชนบท



ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเศษ เราก็มาถึง ประตูชัยอินเดีย หรือ India Gate
ซึ่งคล้ายกับประตูชัยในปารีส  สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่ทหารที่พลีชีพในสงครามครั้งสำคัญๆของอินเดีย
โดยได้จารึกรายชื่อของทหารที่เสียชีวิตในสนามรบลงไปด้วย ประตูชัยนี้สร้างจากหินทรายแดง เป็นแท่งทึบ
มีความสูงจากพื้นถนน 42.3 เมตร ส่วนโค้งของซุ้มประตู กว้าง 9.1 เมตร สูง 22.8 เมตร
ตรงกลางระหว่างประตูมีกระถางหินทรายแดงขนาดใหญ่ มีการจุดไฟลุกโชนไม่เคยดับ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475
และมีอักษรจารึกเป็นภาษาฮินดี ว่า  "อมร ชะวาน ชโยติ "





จากนั้นผ่านไปชม ที่ทำการคณะรัฐบาล ราษฎร์ปติภวัน Rashtrapati Bhawan
ทำเนียบประธานาธิบดี ณ ถนน Rajpath ซึ่งก่อสร้างด้วยหินทราย ตามแบบผสมระหว่างอังกฤษกับโมกุล
เดิมเคยใช้เป็นวังของอุปราชอังกฤษในสมัยอาณานิคม มีห้องถึง 340 ห้อง ออกแบบโดย Sir Lutyens
สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1929  โดยนักท่องเที่ยวสามารถชมได้จากภายนอกเท่านั้น



ประมาณ 11 โมงเช้า เราก็เดินทางถึงสนามบินอินทิรา คานธีร์
หลังจากเช็คอินเรียบร้อย เดินผ่านเข้า ตม.มาด้านใน
เราก็หยิบข้าวกล่องที่ทัวร์แจกมากินก่อนไปที่เกท


เราได้เกท 14 เดินไกลมากครับ ต้องเผื่อเวลา
เพราะตอนแรกเห็นเกท 15 อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่เกท 14 ไม่ได้อยู่ติดกัน
ต้องเดินผ่านเกท 1 ไล่ไปเรื่อยจนถึง เกท14 กว่าจะถึงขาลากเลยครับ
บนเครื่องก็เสิร์ฟขนม และอาหารเหมือนขามา
กินเสร็จก็หลับตลอดทาง จนถึงสุวรรณภูมิเลยครับ
เป็นอันจบทริป อินเดีย อย่างสมบูรณ์ อมยิ้ม01





โดยสรุปแล้วทริปนี้ก็ประทับใจมากครับ โดยเฉพาะแคชเมียร์ อากาศดี วิวสวย
ได้เจอหิมะ ได้ขี่ม้าที่พาฮาลแกม ซึ่งประทับใจสุดๆ
และยังลุ้นระทึก ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ปาหินใส่รถตู้ อย่างกับอยู่ในหนัง
ทัชมาฮาล ก็ควรมาสักครั้งในชีวิต รวมถึงที่ชัยปุระ สถาปัตยกรรมต่างๆสวยงามมาก
เพียงแต่อากาศร้อนไปหน่อย ถ้าใครจะมาเที่ยวแถบนี้ก็ควรมาตอนอากาศเย็นๆ จะดีมากครับ
ส่วนเรื่องอาหาร ต้องทำใจนิดนึงว่าต้องเบื่ออาหารอินเดียแน่นอน
ถ้าเป็นไปได้ ควรเตรียมอาหารกระป๋อง อาหารแห้ง น้ำพริกให้หลากหลาย รวมทั้งน้ำจิ้มไก่
ได้ใช้แน่ๆครับ

ยังไงก็แล้วแต่ อินเดียก็เป็นประเทศหนึ่งที่ควรจะมาเยือนสักครั้งในชีวิต
แล้วไว้พบกันใหม่โอกาสหน้านะครับ อมยิ้ม36






 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2560
1 comments
Last Update : 8 พฤษภาคม 2560 8:06:19 น.
Counter : 2167 Pageviews.

 

ขอบคุณค่ะ ภาพสวยมาก

 

โดย: tuk-tuk@korat 29 กรกฎาคม 2560 16:18:15 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


One Light One Shadow
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




กด like / ถูกใจ OLOS

qrcode free counters
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2560
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
5 พฤษภาคม 2560
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add One Light One Shadow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.