บทสรุป ดู{หนัง}วิธ มายเซลฟ์ ปี 2006 ... การแสดงสุดประทับใจ ฉากชวนจดจำ และ 10 สุดยอดหนังเยี่ยมแห่งปี
หลังจากพากเพียรตรากตรำกำเงิน 120 ไปยืนซื้อบริการความเพลิดเพลินที่มีขายในโรงหนัง (และอาจมีดูฟรีไม่เสียค่าตั๋วบ้างในบางที) นับได้ถึง 80 ครั้งเลยทีเดียว และในเมื่อมันมาครบรอบอีกหนึ่งขวบปีที่หมาตัวร้ายจะผ่านพ้น คุณน้องหมูจะเดินตุ้ยนุ้ยเข้ามาแทนที่ ...ในเวลานี้ก็มาถึง ซึ่งวาระและภาระของผมแล้ว กับการสรุปผลลัพธ์ความยอดเยี่ยมที่ผ่านตาผมมาตลอดทั้งปีครับ ...
มาเริ่มกันที่ ส่วนแรก กับ "การแสดงสุดประทับใจ"...
ในปีที่ผ่านมา ได้มีหลายร้อยบทบาทการแสดงที่ได้ฝากฝังไว้ซึ่งลีลา วาทะ และศิลปะ ในการเล่นหนัง ...มีทั้งบางคนที่ทำอะไรให้หนังไม่ได้เลย หรือบางคนก็ยังเป็นได้แค่ไม้ประดับ มีบางคนที่ทำหน้าที่ได้ดีสมบทคาแรกเตอร์ แต่กับบางคนส่วนน้อยที่สุดนี้ เขาและเธอคือความยอดเยี่ยมทั้งในภาพลักษณ์ และฝีไม้ลายมือที่มีอะไรให้คนดูต้องรู้สึกประทับใจไปกับการสวมวิญญาณของนักแสดงเหล่านี้
และนี่ก็คือ รายชื่อของนักแสดงแห่งปี 2006 ที่ผมประทับใจในตัวเขาและเธออย่างมากมาย ...ขอแบ่งแยกย่อยออกเป็น 3 สาขาต่อไปนี้ครับ (สาขานี้ไม่ขอเรียงลำดับความเยี่ยม)
นักแสดงชายสุดประทับใจ
ฮิวโก้ วีฟวิ่ง ในบท "V" ...จาก "V for Vendetta" แม้เราจะไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาเลยแม้สักเศษเสี้ยว แต่ความสามารถผ่านน้ำเสียงและลีลาการแสดงออกที่แพรวพราวของเขาก็สำแดงพลังออกมาให้เห็นได้ถึงความทรงพลัง แกร่งกล้าของ นักสู้อุดมการณ์สูงส่งนามกรตัวอักษรผู้นี้
แดเนียล เครก ในบท "James Bond" ...จาก "Casino Royale" จากคำปรามาสสบประมาทอันช่างรุนแรงเหลือเกิน ความกดดันที่แบกรับไว้ซึ่งความคาดหวังจะอาฆาตเต็มกำลังของแฟนพันธุ์บอนด์ทุกคน ถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นการแสดงที่เปี่ยมล้นไปด้วย ความเป็นบอนด์ ซึ่งเราไม่เคยได้รู้จักในตอนที่ยังเป็น เพียรซ บรอสแนน และนี่คือตัวจริงเสียงจริงที่สามารถเอาไปเทียบรุ่นกับ ฌอน คอนเนอรี่ ได้อย่างไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย
จอห์นนี่ เดปป์ ในบท "Jack Sparrow" ... จาก "Pirates of the Caribbean : Dead Man's Chest" จะให้ใครอื่นมาเป็น แจ๊ค สแปร์โรว์ คงยากที่จะทำได้เท่า พี่เดปป์ แล้ว ...หรือต่อให้เอาดาราคุณภาพออสการ์รับประกันซักกี่ตัว ก็เล่นได้บ้าไม่เท่าเขาคนนี้แน่ การกลับมาของหนังภาคต่อหนนี้อาจจะดีเยี่ยมไม่เท่าคราวก่อน แต่ สิ่งที่ดีที่สุดของหนังชุดนี้ ก็ยังคงทำหน้าที่ขโมยซีนได้สุดยอดเหมือนเคย (ฉากจบที่เขาจากไป ทำผมใจหายว๊าบเลยทีเดียว ทั้งๆที่รู้อยู่ล่ะนะ ว่าเขาต้องกลับมา)
จองจินยอง ในบท "กษัตริย์ " ...จาก "The King & The Clown" แม้ว่าบทบาทของพระเอกสองคน (เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นหนึ่งพระเอก หนึ่งนางเอกดีหน้อ) อาจจะโดดเด่นสูสีไม่น้อยไปกว่ากันซะเท่าไรนักก็ตามที แต่ถ้าจะว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว ความยอดเยี่ยมนี้จึงต้องตบรางวัลให้กับ บทกษัตริย์ แต่เพียงผู้เดียว(ในความคิดของผม) ด้วยการแสดงที่บ้าถึงขีดสุด ร้ายกาจถึงขั้นน่าเกลียดน่ากลัว แต่ผมก็เห็นใจในชะตากรรมที่ชวนให้ต้องสงสารของกษัตริย์ที่ไม่รู้จักคุณค่าของคำว่า "ความรัก" ผู้นี้ ...เล่นได้ใจผมไปเต็มๆ
น้อย-กฤษดา สุโกศล แคลมป์ ในบท "ภูชิต" ...จาก "13 เกมสยอง" ตัวหนังที่ว่าระทึกแล้วคงจะไปไม่ถึงที่สุด ถ้าขาดซึ่งผู้ท้าระทึกที่สามารถพอจะแบกหนังให้อยู่กับเขาไปได้ทั้งเรื่อง และพี่น้อย นักร้องจอมพริ้วคนนี้ ก็ทำได้และยังให้ความยอดเยี่ยมในบทบาทที่มีทักษะทางการแสดงให้ได้ใช้ได้เล่นในทุกๆด้านอย่างครบครัน
นักแสดงหญิงสุดประทับใจ
เมอรีล สตรีพ ในบท "Miranda" ...จาก "The Devil Wears Prada" เธออาจคือตัวร้ายผู้น่าหมั่นไส้อย่างเป็นที่สุดเท่าที่ผมเคยดูหนังมาเลยทีเดียว แต่ยังไงๆผมก็เกลียดเธอไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือบทบาทที่ผมขอเชียร์ให้ป้าเมอรีลได้ออสการ์ไปอีกหนึ่งตัว (รู้ทั้งรู้ว่าอาจไม่มีหวังก็ตามที เพราะตัวเต็งในตอนนี้ เป็นป้าเฮเลน มิเรน เสียแล้ว)
รีส วิเธอร์สปูน ในบท "June Carter" ...จาก "Walk the Line" ก่อนดูหนัง ผมไม่ได้คิดเลยว่า รีส จะทำได้ดีจริงสมคำชมของนักวิจารณ์เขาว่าเอาไว้เลย (ก็ภาพของสาวคอมเมดี้ของเธอได้ฝังในเข้าไปแล้วนี่) ซึ่งพอได้เห็นของจริงเท่านั้นแหละ ผมก็เป็นอันหมดซึ่งความไม่วางใจ กลายเป็นการยกยอปรารถนาจะให้เธอได้ออสการ์ตัวนั้นไปในท้ายที่สุด
อีวา กรีน ในบท "Vesper Lind" ...จาก "Casino Royale" เธอ คือ ผู้หญิงคนแรกในชีวิตเขา และ เป็นคนสุดท้ายที่สอนให้เขารู้ว่า ความรัก มีอะไรที่มากไปกว่า การร่วมรักบนเตียง ... จากที่เคยปรามาสว่าไม่มีความสวยเลย ในหนังเอพิค "Kingdom of Heaven" มาในคราวนี้ ไม่รู้ไปทำอะไรมาถึงได้ดูดีเซ็กซี่ถูกตาต้องใจ (ยิ่งในฉากที่เธอไม่แต่งหน้า ยิ่งทำให้ผมใจละลายแทบอยากจะตายอยู่ตรงที่นั่ง) กรีน เป็นสาวบอนด์ได้เยี่ยม เหมือนที่ เครก ก็เป็นบอนด์ที่สุดยอด เธอเป็นได้ทั้งชีวิตชีวาของหนัง และจุดหักมุมสำคัญที่ทำให้ บอนด์ตอนต่อไป น่าดูขึ้นมาทันที
ต่าย-ชุติมา ทีปะนาถ ในบท "อ้อม" ...จาก "Seasons Change" แค่หนังเรื่องแรก เธอก็ได้เผลอขโมยใจผมไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฉากที่แสดงความน่ารักสดใส หรือว่าหม่นหมองเศร้าใจ เธอทำได้ถึงในทุกๆฉาก เธอเป็นอ้อมได้ทั้งตัวและหัวใจ
ทีมนักแสดงสุดประทับใจ
สองพระเอกคู่รัก แห่ง "Brokeback Mountain" ฉากร่วมรักของชายและชาย อาจจะกลายเป็นภาพที่ชวนไม่น่ามอง ถ้าขาดไปซึ่งการแสดงที่เข้าถึงจุดสุดยอดในความซาบซึ้งปนเจ็บปวดของ ฮีท เลดเจอร์ และ เจค จิลเลนฮาล ...ทุกฉากที่เขาและเขาอยู่ด้วยกัน แม้มันจะเอื่อยจนน่าเบื่อ แต่ผมก็ไม่สามารถละสายตาออกจากจอได้เลยแม้สักเสี้ยววินาที
ชาวบ้านทุกคนในชุมชนถนนสายสาม แห่ง "Always" ความสนุกสนานของผู้คน ความเป็นมิตรของเพื่อนบ้าน และความสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่รวมตัวกันเป็นครอบครัว กลายเป็นภาพแห่งความลึกซึ้งที่สวยงามน่าจดจำในจิตใจดวงนี้ของผม และถ้าจะให้ยกกลุ่มนักแสดงยอดเยี่ยมตลอดกาลขึ้นมาสักกลุ่ม พวกเขาเหล่านี้จะเป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับผมเลยทีเดียว
ผู้เคราะห์ร้ายบนเครื่องบิน แห่ง "United 93" ช่วงเวลาที่คนดูกำลังเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันน่าสลดบนเครื่องบินลำนั้น มันคือช่วงเวลานาทีทองที่การแสดงของนักแสดงโนเนมเหล่านี้ได้สวมวิญญาณของผู้เคราะห์ร้ายที่ให้ความรู้สึกสมจริงสมจังได้มากที่สุดเท่าที่โลกภาพยนตร์ได้เคยมีหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงเลยทีเดียว ...นี่คืออีกหนึ่งกลุ่มการแสดงที่ผมจะจดจำเอาไว้ว่าพวกเขาคืออีกหนึ่งตัวเลือกแรกๆที่ผมจะนึกถึงเช่นกัน
สองพระเอกคู่แค้น แห่ง "The Prestige" แค่ได้เห็นการประกบกันของ ฮิวจ์ แจ๊คแมน และ คริสเตียน เบล ในหนังเรื่องนี้ ก็คุ้มค่ามากพอสำหรับการได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ...พลังความร้ายกาจบนจอของพระเอกตัวร้ายได้แผ่รังสีให้คนดูรู้สึกได้ถึงความอำมหิต คิดอันตรายที่ต่างคนต่างมีให้ต่อกัน ความมันส์ระทึกทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นได้เพราะการขับเคี่ยวทางการแสดงที่เข้มข้นของสองดาราคุณภาพคู่นี้
สี่พระนาง แห่ง "The Holiday" ต้องยกผลประโยชน์ให้เสน่ห์ของตัวละครทั้งสี่ ที่ต่างคนต่างก็น่ารัก และเมื่อรวมกันก็กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากๆสำหรับความเป็นหนังโรแมนติก-คอมเมดี้แห่งปีเรื่องนี้
ส่วนที่สอง กับ "ฉากชวนจดจำ" ...
องค์ประกอบของความเป็นหนังเรื่องหนึ่ง ได้ถูกแบ่งทอนให้ออกมาเป็นฉากย่อยๆนับหลายสิบฉาก และในหลายสิบฉากที่ว่านั้นมันจะมีอย่างน้อยก็สักฉากหนึ่งที่ความคาดหวังของผู้สร้างก็เพื่อเป็น ฉากขาย หรือที่เรียกได้ว่าเป็น ไฮไลท์ ของเรื่องราวทั้งหมด และท้ายของท้ายที่สุดแล้ว สำหรับฉากไฮไลท์ที่เกิดขึ้นมา เป็นเหตุการณ์ในหนังหลายต่อหลายเรื่อง ก็ได้ถูกทอนลงมาอีกที ให้เหลือ แค่ 5 ฉากชวนจดจำแห่งปีในความคิดของผม
และนี่ก็คือ 5 อันดับฉากชวนจดจำแห่งปี 2006 ที่ทำออกมาได้โดนใจผมอย่างเต็มๆ มีดังต่อไปนี้ครับ...
5. ฉาก พระนางทั้งสามคน พบเจอกันที่ประตูห้องของนางเอก ใน "Daisy" ฉากนี้มีศักยภาพมากพอจะเป็นฉากไคลแม็กซ์สุดๆของหนังเรื่องนี้แล้ว (แต่มันก็ยังไม่ถึงจุดนั้นสักหน่อย) ด้วยความที่มันเป็นจุดนัดพบของการลงเอยระหว่างสองหนุ่มหนึ่งสาว รักสามเส้าที่ซับซ้อนซ่อนการไล่ล่าตามล้างของฝ่ายชายที่ต่างคนก็อยู่คนละฝากกฎหมาย ...มันเป็นฉากที่สามารถบีบอารมณ์ความกดดันให้คนดู ได้ด้วยความนิ่งไม่ไหวติงของกล้องที่จ้องโฟกัสไปยังตัวละครแต่ละตัว อีกทั้งการแสดงของคนทั้งสามต่างก็ส่งทอดอารมณ์ความสับสนปนหวาดหวั่นได้เป็นอย่างเยี่ยม
4. ฉาก ปลอบโยนเวสเปอร์ในห้องน้ำของบอนด์ ใน "Casino Royale" ก่อนจะดูหนังก็พอรู้อยู่บ้างว่า ภาคนี้ เขาจะเล่นเรื่องความรักครั้งแรกของสายลับมือละอ่อนคนนี้ แต่ก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่า ตัวหนังมันจะมีอะไรให้โรแมนติกซะมากมายอย่างที่มันจะเป็นไปได้ ... ขณะที่บอนด์ภาคอื่นๆ จะหาเวลาโรแมนติกได้เฉพาะเวลาที่อยู่บนเตียง แต่บอนด์ภาคนี้อย่าให้มีเวลาว่างมองตาสาวบอนด์ เป็นต้องมีอะไรที่ โรแมนติกมา แทรกแซงแทบตลอดเรื่อง และก็ไม่เว้นกันกับฉากนี้ ที่ดูแค่เปลือกก็ไม่เห็นจะมีอะไรมากมายเลย (ก็แค่ผู้หญิงรู้สึกเศร้า ฝ่ายชายเจ้าก็เข้ามาช่วยปลอบ) เพียงแต่เนื้อในของมันกลับเป็นอะไรที่มีความลึกซึ้งกินใจซะเหลือเกิน ซึ่งท่ามกลางหยดน้ำจากฝักบัวที่ร่วงหล่นลงมา กับชายหนุ่มกำลังกอดหญิงสาวที่ร้องไห้สะเทือนใจ ประหนึ่งปานว่า เป็นมิวสิควิดีโอเพลง "เธออยากให้ฉันอยู่ด้วยไหม" อย่างไงอย่างงั้นเลยทีเดียว สำหรับผมแล้ว นี่คือ ฉากโรแมนติกที่ได้ใจเสี่ยวๆผมไปมากที่สุดแห่งปี
3. ฉาก สวมแหวนที่มองไม่เห็น ใน "Always" ความสุขปนเศร้าซึ้ง และรอยยิ้มที่เกิดขึ้นมาพร้อมน้ำตา เป็นคำอธิบายที่เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับการพูดถึงฉากไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้
2. ฉาก อ้อม สีไวโอลิน ใน "Seasons Change" มันดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย ในฉากเล็กๆฉากนี้ (ถ้าหนังตัดออกไปแล้วเล่นในแง่มุมอื่นๆของอ้อม ก็ยังพอทำได้เสียด้วยซ้ำ) แต่ทว่าความกินใจมันบาดลึกลงไปพร้อมกับเสียงไวโอลินเพี้ยนๆผิดๆที่บาดโสตประสาทหูเข้าจังเบอร์ ซึ่งต้องยกผลประโยชน์ให้การแสดงของต่าย ที่ทำให้ฉากนี้กลายเป็นฉากเศร้าน้ำตาเล็ดได้เด็ดขาดที่สุดของหนังไทยแห่งปีเรื่องนี้
1. ฉาก เครื่องบินกำลังจะตก ใน "United 93" ไม่ขออธิบายกับฉากๆนี้ เพราะดูของจริงให้เห็นกันกับตาเลยจะดีกว่าที่ผมสาธยายเอาไว้
และส่วนสุดท้าย กับ "10 สุดยอดหนังเยี่ยมแห่งปี" ...
จากหนังทั้งหมด 80 เรื่องที่ผมผ่านตามาตลอดทั้งปี จะมีหนังเกรด A ล้วนๆ (ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ผมให้กับหนังที่ยอดเยี่ยมแล้ว) จำนวนทั้งหมด 12 เรื่อง ...ซึ่งที่เกินมา 2 เรื่องนี้ ผมตัดสินใจได้อย่างยากจริงๆว่าจะคัดเอาเรื่องไหนออกไป เพื่อความพอดีพอดิบในพื้นที่ความประทับใจ 10 ตารางหน่วยที่มีอยู่ และด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อยที่จำใจต้องทำเพื่อความลงตัวนี้ สองเรื่องที่จำเป็นต้องกระเด็นออกไปก็ได้แก่...
Walk the Line ... ผมรักหนังเรื่องนี้ ก็เพราะการแสดงของ รีส วิเธอร์สปูน เป็นหลัก ส่วนที่รองลงมาก็คือ วาคิน ฟีนิกซ์ และความเป็นหนังเพลงที่มีความเป็นดรามาผสมรวมอารมณ์โรแมนติกได้กำลังดี ...ทุกๆส่วนที่รวมเป็นหนังเรื่องนี้ดูลงตัวไปหมด จนผมเองก็ยังแอบรู้สึกเสียดายเล็กๆที่หนังเรื่องนี้อดได้เข้าชิงหนังยอดเยี่ยมออสการ์ของปีก่อนไป (สำหรับผมนี่เป็นหนังที่มีศักยภาพจะเป็นคู่แข่งของ Brokeback Mountain ได้เหมาะสมกว่า Crash อีก)
สำหรับบทรีวิวเต็มๆ ผมขอแปะโป้งเอาไว้ก่อน หลังสอบแอดมิชชั่นเสร็จ จะลงมือทำแน่นอนครับ...
Cars ... พิกซาร์ทำหนังอนิเมชั่นเรื่องไหน เป็นต้องได้ใจผมไปซะทุกเรื่อง ไม่เว้นกับงานชิ้นล่าของผู้กำกับหนังพิกซาร์ที่ดีที่สุด(ในความคิดผม) อย่าง Toy Story ...วิญญาณความเป็นเด็ก ได้ถูกปลุกพร้อมกับสัญชาตญาณนักแข่งที่อยากจะโลดแล่นไปพร้อมกับความสนุกสนานชวนซาบซึ้งประทับใจ ...พิกซาร์เรื่องนี้มีความโดดเด่นในนวัตกรรมภาพที่ล้ำสมัยเหมือนจริงยิ่งกว่าเก่า และที่ขาดหายไปไม่ได้ก็คือ ข้อคิดที่พิกซาร์ยังฝากฝังเอาไว้กับคนดูทุกคน ให้หวนกลับมารำลึกถึงอีกครั้งเมื่อดูหนังจบลง ...แม้ Cars จะอดเข้าถึง 10 อันดับหนังแห่งปี แต่ในออสการ์คราวนี้ผมขอเชียร์เจ้ารถคะช่าว!!! สุดใจขาดดิ้น
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&group=2&month=10-2006&date=13&blog=4
ตอนนี้ก็เหลือเพียง 10 เรื่องสุดท้ายแล้ว ซึ่งนี่คือที่สุดในรอบปี 2006 นี้แล้ว ...หนัง 10 เรื่องต่อไปนี้คือเรื่องไหน บรรทัดต่อไปจะเริ่มเรียงจากเลขตัวมากไปหาน้อย ดังนี้
10. An Inconvenient Truth เป็นหนังสารคดีที่กระแทกกระทั้นหัวจิตหัวใจคนดูอย่างรุนแรง ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งได้รู้ความเป็นจริง ก็ยิ่งอยากจะช่วยปกป้องโลกมากขึ้นไปด้วย ผมอินกับหนัง จนในทุกวันนี้ผมไม่กล้าจะทำผิดต่อโลกอีกแล้ว ...นี่คือหนังที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวผมไปได้ ซึ่งต้องยอมรับในความสร้างสรรค์ของคนทำ และการโน้มน้าวด้วยวาจาที่คมดังมีดสปาร์ตา ของ "อัล กอร์"
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=09-2006&date=13&group=2&blog=1
9. The King & The Clown เพราะได้เสียงเชียร์เฉลิมไทยมาช่วยเสริมส่งความน่าดู ก็เลยตัดสินใจไปรับรู้ความเยี่ยมก่อนที่หนังจะหมดโอกาสฉาย ... นี่เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมในทุกๆองค์ประกอบ และก็หาข้อติไม่ได้เอาซะเลย ความเข้มข้นมันส์หยดของเรื่องราวกษัตริย์และนักแสดงละครเร่ เปี่ยมล้นไปด้วยพลอตเรื่องยิบย่อยที่รวมกันเป็นหนังหลายแนว (บู๊ ดรามา การเมือง โรแมนติก อีโรติก ฯลฯ) แต่เดินมาในเส้นทางเดียวกัน สู่จุดจบของเรื่องราวที่มันอาจจะค้างคาในความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ก็สมบูรณ์แบบในความเป็นตัวหนังของมันดีที่สุดแล้ว
สำหรับบทรีวิวเต็มๆ ผมขอแปะโป้งเอาไว้ก่อน หลังสอบแอดมิชชั่นเสร็จ จะลงมือทำแน่นอนครับ...
8. The Holiday เป็นหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ แห่งปี ที่เต็มเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขชวนอมยิ้มกันทั้งเรื่อง ...ความน่ารักของเหล่าตัวละคร ความสนุกของเรื่องราวอลวน ความบันเทิงของหนังที่มาพร้อมบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น The Holiday กลายสภาพเป็นหนังที่อบอวลไออุ่นรักอันละมุนกลมกล่อมในจิตใจของทุกผู้ที่เคยหรือไม่เคยมีรักก็รู้สึกได้เหมือนๆกัน
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&group=2&month=12-2006&date=29&blog=1
7. V for Vendetta ด้วยความที่หนังเข้าโรงฉายในช่วงที่บรรยากาศกำลังมาคุพอดีพอดิบ จึงเป็นส่วนผลักดันสำคัญที่ทำให้ผมอินกับหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ ... แต่ถ้าไม่เอาบรรยากาศเข้ามาเอี่ยวแล้ว หนังเรื่องนี้มันก็ยังยอดเยี่ยมของมันอยู่ดี เพราะเวลาสองชั่วโมงกว่าๆที่มีอยู่นั้น สามารถดึงคนดูให้เข้าไปมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องราวของหนัง และทำให้เชื่อในความชั่วของรัฐบาล(ในหนัง) จนท้ายที่สุดก็ดึงคนดูให้เข้าไปเป็นหนึ่งในพรรคพวกที่อยากจะสวมหน้ากากวีเพื่อสันติภาพในตอนจบ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&group=2&month=03-2006&date=29&blog=1
6. Brokeback Mountain ความเอื่อย เฉื่อย เรื่อยๆ อาจจะทำผมรู้สึกเบื่อๆกับหนังสองชั่วโมงกว่าๆเรื่องนี้ แต่ทว่าเมื่อหนังจบลงแล้ว ความเบื่อที่ผ่านพ้นไปก็หมดความหมาย ...ภาพความทรงจำที่งดงามของความรักต้องห้ามระหว่างสองชาย สร้างความซาบซึ้งอย่างประหลาดให้กับชายแท้รักหญิงอย่างผมซะอย่างงั้น "อัง ลี" ได้สร้างหนังอินดี้ที่ดูตลาดและถึงคุณภาพไปด้วยทุกรายละเอียดที่หนังมี ยังคงแอบเสียดายในความยอดเยี่ยมที่เพียงแค่ปลายนิ้วก็จะได้ออสการ์มาเก็บไว้สมใจนึกแล้วเชียว
สำหรับบทรีวิวเต็มๆ ผมขอแปะโป้งเอาไว้ก่อน หลังสอบแอดมิชชั่นเสร็จ จะลงมือทำแน่นอนครับ...
5. Casino Royale นี่คือหนัง เจมส์ บอนด์ ที่อาจจะยังไม่ดีถึงที่สุด ...แต่สำหรับภาพรวมของความเป็นบอนด์ ในความคิดของผมนี่คือภาคที่ชอบมากที่สุด
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=11-2006&date=20&group=2&blog=1
4. The Prestige ตื่นตาตื่นใจในมายากล และตื่นเต้นในความพิศวงของความเป็นหนังซึ่งมีลูกเล่นเทคนิคสร้างความระทึกขวัญได้อย่างแพรวพราว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของบทหนังที่ล่อหลอกกันไปทั้งเรื่อง การแสดงที่เข้มข้นมันส์คลั่ก ยันไปถึงงานโปรดักชั่นที่ถึงพร้อมความเยี่ยมในทุกๆด้าน
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=14-11-2006&group=2&blog=1
3. Seasons Change : เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เป็นหนังไทยหนึ่งเดียวที่ติดเข้ามาใน 10 อันดับสุดท้าย ...ตอนผมดูรอบแรก ยังไม่รู้สึกรักอะไรเลยด้วยซ้ำ(นอกจากสองนางเอกที่หลงรักเข้าเต็มเปา) แต่ทว่ากับรอบที่สองแล้ว ความรู้สึกนั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไป และมันก็กลายเป็นความรักที่ผมหลงกับมันเข้าไปเต็มๆ (แต่ยังไงๆแล้วความดีสุดยอดของมันก็ยังแพ้ เพื่อนสนิท และ แฟนฉัน อยู่ดีแหละครับ)
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&group=2&month=09-2006&date=08&blog=1
2. Always : Sunset on the Third Street ความงดงามที่สัมผัสได้ตั้งแต่เห็นแค่ภาพโปสเตอร์ คือ จุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆที่มีต่อหนังดรามาชั้นเยี่ยมเรื่องนี้ ... ความงดงามที่ยังคงค้างคาตลอดมาตั้งแต่ออกจากโรง คือ จุดเริ่มต้นของความประทับใจที่ทำให้ผมยอมขันอาสาเป็นหน้าม้าตลอดโปรแกรมฉาย 3 เดือนที่คงอยู่ในเครือเอเพ็กซ์ และโรงหนัง House
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&group=2&month=06-2006&date=23&blog=1
และ
1. United 93 นี่เป็นหนังที่ไม่ได้มีเอาไว้ดูเพื่อผ่อนคลาย และอย่าเผลอคิดว่า มันจะดูบันเทิงเหมือนหนังเล่าเรื่องจริงเรื่องอื่นๆ เพราะนี่คือเหตุการณ์จำลองที่จะทำให้คุณลืมไปเลยว่าที่คุณเห็นอยู่มันเป็นแค่หนังเท่านั้น ...แม้ว่ามันจะเป็นหนังที่ไม่สร้างความสำเริญสำราญใจอะไรให้คนดูเลยแม้แต่น้อย ทว่ากับความสมจริงของทุกสิ่งที่เห็นก็ได้กดอารมณ์ความอินให้รู้สึกได้ไปถึงก้นบึ้งหัวใจ ความตึงเครียดปวดใจของมันสามารถเอาชนะหนังขายบันเทิงหย่อนใจอีก 79 เรื่องได้อย่างราบคาบ และทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ยกตำแหน่งที่ 1 ในใจผม แห่งปี 2006 ให้กับหนังเรื่องนี้ไป
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=onceupon&month=08-2006&date=14&group=2&blog=2
อันนี้ ขอแถม...
"5 สุดยอดหนังแย่แห่งปี" - กระสือวาเลนไทน์ - Azumi 2 : Death or Love - Typhoon - Miami Vice - The Wicker Man ไม่ขอพูดถึงเหตุผลความแย่ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ขอแนะนำให้ใครได้สบโอกาสดูหนังเหล่านี้เป็นอันขาด
รายนามหนังอื่นๆ ที่ผมประทับใจในรอบปี 2006 (เกรด A-) - The Constant Gardener - Daisy - Perhaps Love - Match Point - Mission Impossible 3 - Over the Hedge - Pirates of the Caribbean : Dead Man's Chest - Sad Movie - Running Boy - Snakes on a Plane - The Devil Wears Prada - Rob-B-Hood - 13 เกมสยอง - Monster House - เปนชู้กับผี - The Village Album - Saw III - Death Note 2 : The Last Name - Night at the Museum
นี่คือบทสรุปทั้งหมดทั้งมวลที่ผมมีต่อ การดูหนัง ในหนึ่งรอบปีที่ผ่านพ้นไป ซึ่งสำหรับผมแล้วก็มีทั้งเรื่องที่เป็นความประทับใจ/ชอบ/พอใช้/ผิดหวัง/แย่ คละเคล้ากันไป ตามแต่ความพอใจในความคุ้มค่าตั๋วและตัวหนังที่ออกมา ... แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกอย่างไรกับการดูหนังของคุณในรอบปีที่ผ่านมาบ้าง ?
ท้ายสุดนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ ตลอดปีกุนอ้วนพี ปีนี้ ...ใครหวังอะไร ขอให้ได้สิ่งนั้น ใครคิดถึงเรื่องดีๆอะไร ก็ขอให้ได้ทำสมใจอยาก ประสบความสำเร็จในทุกเรื่อง การงาน การเรียน รวมไปถึงการรักด้วยครับ
สวัสดีปีใหม่ ทุกๆท่านครับ
Create Date : 02 มกราคม 2550 |
|
8 comments |
Last Update : 13 มกราคม 2550 20:36:55 น. |
Counter : 2796 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาเยี่ยมค่ะ มีความสุขมากๆน่ะค่ะ