+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!

สวัสดี กรกฎา :: เป็นเด็กปีสอง(มหา'ลัย).. มันเหนื่อย เหนื่อย และเหนื่อยยยยย!!!

สวัสดี กรกฎาคม ครับ...เพื่อนๆพี่ๆ ชาว "บล็อคแก๊งค์" ที่น่ารักทุกคน

แม้อากาศในช่วงหลายวันมานี้ อาจจะเฉอะแฉะไปด้วยเม็ดฝนที่เทลงมาอย่างบ้าระห่ำ (ถ้าไม่ถึงกับตกหนัก..มันก็เล่นค่อยๆทยอยมาไปแทบทั้งวันแหละ) แต่มันก็ช่างขัดกับบรรยากาศในเวลานี้ของบ้านเราเหลือเกิน ที่สุดจะร้อนระอุ เนื่องจากสถานการณ์ชวนเครียด พามาช่วยรุมสุมทำเอากลัดกลุ้ม
กันทั้งประเทศ

กรณีเขาพระวิหาร อย่างงี้.. กรณีม๊อบพันธมิตร อย่างงี้ ..กรณี PTV ฟื้นคืนชีพ อย่างงี้.. และกรณี ฯลฯ (ที่เกิดนึกไม่ออกในตอนนี้ซะงั้น!)

แต่เอาเหอะ ถึงข้างนอกจะเป็นอย่างไร วุ่นวายวืดวือกันเท่าไหร่ ..เพียงถ้าเราไม่หวั่นไหวสักอย่าง อะไรๆก็ทำเราไม่ได้สะดวกหรอกหนา

หลังจากมีความพยายามจะไซโคการเมืองมาตลอดศก ...บล็อกเดือนนี้ของผมก็ขอพักเว้นเรื่องเครียดๆ แสนจะอีเดียด มันสักบ้าง.. แล้วมาคุยเรื่องสบายๆ ที่ไม่สบายกันบ้างดีกว่า (เอ๊ะ ยังไง?)

ที่ผมว่าไม่สบาย ..ก็เพราะมันเป็นเรื่องของผม กับการใช้ชีวิตเป็นนักศึกษามหา'ลัย ปีสอง ...ที่หลายๆท่านก็คงรู้ดีว่ามันออกจะอ่วมๆไม่น้อยเลย

ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเรียน ที่ต้องหนักกว่าเมื่อปีหนึ่ง ...ซึ่งไม่ใช่แค่หนัก แต่ความรับผิดชอบก็ต้องมีมากขึ้น เนื่องด้วยเพิ่งจะแยกภาค และต้องมีการบ้าน ส่งการทดลองLab แทบจะทุกวัน ..ทำให้มีเวลาจะละเมอเพ้อภพกับชีวิตได้น้อยลง

ลืมบอกไป สำหรับใครที่อาจยังไม่รู้ ...ผมเรียน "วิศวะ พระจอมเกล้าฯลาดกระบัง" ครับผม

ถึงแม้ปีหนึ่งอาจจะเคยสอนอะไรเอาไว้ในเรื่องการปรับปรุงสันดานก็มากหลายอยู่ ...แต่พอขึ้นปีสอง ก็ยิ่งรู้จักและเข้าใจอย่างรู้ซึ้ง ว่าถ้าเรายังใช้ชีวิตอีเหระเขระขระแบบเดิมๆ เช่นวันวานเมื่อมัธยม ก็อาจไม่พ้นจะต้อง โปร หรือว่าเลวร้ายสุดก็ โดนไทร์ กันไปเลย

แล้วยิ่งดันเคยมีประสบการณ์ยืนรออยู่ที่ปากเหว (ติดโปร)มาก่อนด้วยอีก ...ก็ซึ้งใจกับมันเหลือหลาย ว่าเลวร้าย ชวนเอาใจสั่นขนาดไหน

เอาแค่เรื่องของงาน และความซื่อตรงต่อเวลา ก็อาจจะหนักหนาพอดูแล้ว ...ยิ่งถ้าเอาเรื่องเข้าเรียนมากล่าวอ้างด้วย ก็ยิ่งเหนื่อยเป็นทวี

ซึ่งตรงนี้ หลายๆคน ก็คงจะเข้าใจดีว่า ..การเข้าไปนั่งฟังอาจารย์บรรยาย (หรือควรจะใช้คำว่า กล่อมเข้านอน ดีหว่า?..อิอิ) 2-3 ชม. มันเป็นอะไรที่ทรมาน ...เอาแค่ต้องฟื้นไม่ให้เล่นเกมซ่อนตาดำ ก็ยากยิ่งกว่าการเข้าไปมั่ว Quiz หลังเรียนซะอีกนั่น

แล้วพอเข้าสู่บรรยากาศการสอบได้เสียทีไร ...หัวใจก็ระส่ำวูบวาบ คล้ายว่าเลือดไม่สูบฉีดเข้าสู่สมองราวๆสัก 1-2 อาทิตย์ ..ด้วยเหตุฉะนั้นแล้วส่วนที่เป็นเมมโมรี่ความจำ จึงแทบไม่มีการทำงานแต่อย่างใด เอิ้กๆ

นี่ถ้าขาดซึ่งความเข้าใจในเนื้อหา และดวงดี(ที่มั่วเนียนๆ) ..ก็ไม่แคล้วจะรอดจากปีหนึ่งได้เสียด้วยซ้ำกระมั้ง

หากแม้เรามองโลกในแง่ดีแล้ว การขึ้นมาสู่ปีสอง ก็ย่อมจะนับว่าเป็นความสำเร็จในก้าวถัดไปที่ยิ่งใหญ่ขึ้นก็อาจได้เป็นความจริง ..แต่ถ้ามองมันในแง่โหดร้าย ก็เท่ากับเราไม่สามารถจะถอยหลังกลับไปหาจุดเริ่มต้นได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว(ซึ่งมีความหมายเท่ากับ 'ซิ่ว') เพราะนั่นจะมีค่าใกล้เคียงกับ การเสียเวลา 2 ปี ไปโดยเปล่าประโยชน์

ถึงผมจะยอมรับว่า ในวันนี้ ผมอาจจะยังมีหลายห้วงที่ใช้ชีวิตแสวงซึ่งความสุข เน้นจะเฮฮากับสังคมไปเรื่อยเปื่อย ..แต่ด้วยความรับผิดชอบที่เข้มข้นขึ้นนี่เอง ที่ทำให้ผมจริงจังในสาระมากขึ้น จนบางครั้งก็ยังงงๆ ว่าความเป็นเราคนเก่า เมื่อยามครั้งมัธยม ได้หายไปไหนแล้ว

ประสบการณ์ของการเป็นเด็กมหา'ลัย ได้แปรเปลี่ยนตัวตนและความคิดของผมไปไม่น้อยเลยจริงๆ

ซึ่งมันก็เป็นความจริงกับที่ใครต่อใครหลายคนเคยฝากเอาไว้ ...ว่าชีวิตในมหา'ลัย เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุดของชาวเราเหล่าวัยรุ่นแล้ว เพราะนั่นมีความหมายเท่ากับ 4 ปีแห่งการฟูมฟักเพื่อเติบใหญ่ไปเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานที่พร้อมจะแบกรับกับสิ่งที่เรียกว่าภาระและหน้าที่ได้อย่างเต็มตัว

ฉะนั้นแล้ว ในเมื่อปีแรกยังผ่านพ้นไปได้ ...อีก 3 ปีที่เหลือ ก็ต้องเอาให้คุ้มที่สุดล่ะนะ

แต่ตอนนี้ ไม่ค่อยคุ้มเลยอ่า ..ที่ต้องแบกรับภาระเลี้ยงน้องปี 1 ซะอ่วมหมดแล้ว ทั้งตัว หัวใจ และกระเป๋าตังค์..

หนังโรงน่าดูชม...กรกฎาคม



* "Hellboy 2 : The Golden Army" ...(ดูมาแล้ว) สนุกกว่าภาคแรก ฮาๆขำๆกับพี่ยักษ์ตัวแดง ที่แอบได้กลิ่น Pan's Labyrinth ลอยโชยมาจนแอบหลอนหลายฉากเลยแหะ เหอๆ
* "Red Cliff" ...ตำนานสามก๊ก ศึกผาแดง หรือ โจโฉ แตกทัพเรือ (ภาคแรก).. การกลับมาของ ป๋าจอห์น วู ที่ขอให้สมศักดิ์ศรีเสียทีเหอะ
* "The Dark Knight" ...ไม่ต้องหาอะไรมาบรรยายแล้ว สำหรับหนังที่ผมรอคอยเป็นที่สุดแห่งปีอีกเรื่องหนึ่ง
* "The X-Files : I Want to Believe" ...ถึงจะไม่อาจเรียกตัวเองว่าเป็น แฟนพันธุ์แท้ ..แต่ก็อยากดู อยากรู้ว่าหนัง(ภาคสอง)จะเล่นกับเรื่องอะไรกันแน่ ระหว่าง ต่างดาว หรือว่าต่างแนว(ได้ข่าวว่าน่าจะเข้าข่ายหลังมากกว่า)
* "Be Kind Rewind" ...เพราะผู้กำกับแห่ง Eternal Sunshine of Spotless Mind , ความช่างคิดของพลอต และ แจ๊ค แบล็ก ..ที่ทำให้หนังเล็ก(โค่ดๆ)เรื่องนี้ สะดุดตาผม จนอยากริลองของแปลก
* "The Mummy : Tomb of the Dragon Emperor" ...และแล้วก็มีภาคสาม ..และผมก็หวังจะดูเอามันส์กันอย่างเดียว เพียวๆเลย

ดู{หนัง}แล้วอยากเล่า...

นี่คือส่วนที่จะมีมาอัพเดทกันโดยตลอด หลังจากดูหนังจบปุ๊บ ผมก็จะมาเล่าปั้บ แบบสั้นๆ กะทัดรัด ได้ใจความ ...จะดี ไม่ดี ก็จะเล่าให้หมดทุกเรื่อง ไม่สปอยไม่สแปลซให้เสียรมณ์อย่างแน่นอน

และถ้าหนังบางเรื่องมีอะไรให้ประทับใจ หรือให้มีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเขียน ก็จะกลายสภาพไปเป็น "ดู{หนัง} วิธ มายเซลฟ์" -> หนังโรง หรือ "ดู{หนัง} @ My Home" -> หนังแผ่น รีวิวฉบับเต็มด้วยครับ


กรกฎาคม 2551

Hancock -> เกรด C- <- It's Baddd!!!



แม้ผมจะไม่ได้คาดว่าหนัง ป๋า"วิล สมิธ" เรื่องนี้ ต้องมันส์สุดขั้วหัวใจ ..ทั้งก็ยังแอบได้ข่าว รู้ว่าผู้กำกับ "ปีเตอร์ เบิร์ก" (เจ้าของผลงานหนังทริลเลอร์ที่ผมชอบพอสมควร อย่าง "The Kingdom" เมื่อปีก่อน) จะไปเน้นความเป็นดรามามากกว่า ...แต่ผมก็ยังรับไม่ได้ที่เจ้าฮีโร่ "Hancock" ออกมาต่อสู้สู่สายตาประชาชี แล้วกลายเป็นหนังที่ช่างเต็มไปด้วยความงี่เง่าเต็มประดา

ช่วงแรก อาจจะถือว่าหนังทำได้ค่อนข้างโอเค กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซูเปอร์ฮีโร่ไม่เอาอ่าว ให้กลายเป็นคนที่เอามหาสมุทร(มากกว่าอ่าว อีกนะนั่น) และเป็นที่รักของชาวบ้านได้เสียที ด้วยความกวนนิดๆ(ไปถึงมาก) ชวนฮาหาเสี้ยน ที่คาแรกเตอร์ดูเป็นธรรมชาติของป๋าวิล ก็ทำได้สบายนักแล ..แต่ถ้าวัดในเรื่องของความน่าติดตามแล้ว ก็ยังงั้นๆ ออกไปทางเรื่อยๆ

แต่พอเมื่อหนังได้เลือกจะเดินเข้าสู่จุดเปลี่ยนในตอนกลางแล้วนี่สิ ..หลังจากนั้นเป็นต้นมา พี่แฮนค็อก ก็แหกคอก ออกนอกอ่าว เลยมหาสมุทร ทะลุชั้นบรรยากาศโลก แล้วกู่ไม่กลับอีกเลย

การที่หนังพยายามจะเบี่ยงประเด็นมาเล่นดรามา(ปนโรแมนติก)เต็มตัว อาจถือเป็นเรื่องทดลองแหวกที่แอบกล้าไม่น้อย สำหรับคนคิดเรื่อง (อีกถ้ามองว่ามันเป็นหนังซัมเมอร์ แบบตล้าด ตลาด ที่หน้าหนังขายความใหญ่และโตเป็นหลัก) ..แต่ในเมื่อความแหวกในครั้งนี้ มันดันมามีชะตากรรมตกอยู่กับ ทีมคนเขียนบทที่ช่างคิดช่างเขียนได้ มั่วและซั่วสุดจะล้น ...ท้ายที่สุด เพียงครึ่งหลังของหนังหน้าใหญ่เรื่องนี้ ก็ได้เปลี่ยนเวลาราวๆ 90 นาทีของผม ให้กลายเป็น การดูหนังซัมเมอร์ที่เข้าขั้นรั่วอย่างสมบูรณ์แบบ ...และมันก็ไม่ได้รั่วอย่างตั้งใจแล้วขำแหลก แบบ "Wanted" หากมันคือการรั่วที่คนสร้างไม่อาจตั้งใจ ให้มันกลายมาเป็นหายนะหน้าใหม่แห่งวงการหนังซูเปอร์ฮีโร่ ..ที่แทบจะทำให้ "Ghost Rider" และ "Daredevil" กลายมาเป็นหนังดีในพริบตา (ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?)

ผมอยากจะพูดถึงเรื่องของความรั่วในหนังที่ยังมีมากไปกว่านี้อีก ..แต่ก็เกรงใจคนอ่านบางท่านที่อาจจะยังตั้งหน้าตั้งตาไปดู ...แต่ช้าแต่ ถ้ามีคนมาถามผมว่า หนังเรื่องนี้น่าดูมั้ย? ...ผมก็จะตอบกลับไปอย่างชัดเจนว่า "ขอร้องเลย.. อย่าดีกว่านะ"

นี่คือหนังที่เรียกได้ว่า "แย่" อย่างเต็มปากเต็มคำ ..จงเตรียมตัวเตรียมให้ดี เพราะปีนี้ พี่แหกคอก ไม่ได้ออกไปนอกใจผมแน่ เหอๆ






Summer Palace -> เกรด B+

ถ้า "Lust, Caution" จะดีเยี่ยม เพราะ งานกำกับถึงอารมณ์และความรู้สึกของ อัง ลี แล้ว ..."Summer Palace" ก็เรียกว่าดีเยี่ยมเช่นกัน แต่มันจะนำหน้าความเด่นที่ ส่วนของการแสดง ซึ่งตัวละครแต่ละตัว ต่างอินนำ พาคนดูตามได้อย่างถึงที่รวดร้าว

โดยเฉพาะ ตัวละครนางเอกที่ใช้เซ็กซ์เป็นเครื่องระบายอารมณ์ได้เป็นและเต็มที่ มากไปกว่าคาแรกเตอร์ของ "ถัง เหว่ย" ใน Lust, Caution เสียอีก ..."เห่า เล่ย" แสดงออกถึงความเป็นคนที่ด้านชา เหมือนไม่รู้สึกเจ็บในภายนอก แต่ลึกๆที่หัวใจ มันได้แตกสลาย เกินจะเยียวยาไปเรียบร้อยแล้ว การเล่นมากและให้มากของเธอ ทำให้เราเข้าใจว่าเธอเป็นคนที่ควรจะน่าสงสาร มากกว่าจะหมั่นไส้ เพียงเพราะพฤติกรรมหลายๆอย่างที่เธอทำจนเกินงามของความเป็นหญิง

ใช่ว่า การแสดงจะเด่นอย่างเดียว ...งานกำกับของ "หลิว เย่" ก็ถือว่าสำคัญไม่น้อย เพราะเนื้อเรื่องของหนังหลักๆ ที่แทบจะแตะแต่เรื่องของความรัก และการมีเซ็กซ์เน้นๆ(ออกจะมากกว่า Lust ด้วยซ้ำ) ก็ยังมีห้วงเวลาอันต่อเนื่องที่แอบแวะไปพูดเรื่องการเมือง ..ซึ่งแม้สาระตรงนั้นจะไม่ได้มากมาย แต่เรื่องเล็กๆเหล่านี้ ก็กุมหัวใจของตัวหนัง และเกิดการกระทบกับเหล่าตัวละครไว้ไม่น้อยเหมือนกัน

จะเสียดายก็แต่ว่า ..หนังเรื่องนี้ ค่อนข้างจะหนืดเกินไป สำหรับความน่าติดตาม ...และช่วงท้ายๆที่พยายามยืดออกไป ก่อให้มีความรู้สึกคล้ายจะจบ คล้ายจะจบ อยู่หลายฉาก ก็กลายเป็นว่า ปล่อยยาวมากเกินไป ยังผลให้ผมหลุดจากห้วงอารมณ์ความรู้สึกที่ควรจะถึงจุดซึ้งอย่างถึงที่สุด เพราะมัวแต่พะวงว่าหนังจะยังลากคนดูให้อิน กินลึก ไปอีกไกลสักแค่ไหนเนี่ย

แม้จะต้องยอมรับว่าหนังนำพา พระ-นาง กลับมาเจอกันได้จี๊ดใจ แต่อะไรๆที่มันพยายามลากผ่านจนเนิ่นนาน ก็กลับกลายมาเป็นความเฉยๆ ที่แอบลดคุณค่าความโดนของหนังรักรันทดเรื่องนี้ไปไม่น้อยได้เช่นกัน

ฉะนั้นโดยรวมๆแล้ว ผมชอบหนังเรื่องนี้ พอๆกับ Lust, Caution ..แต่ก็ชอบน้อยกว่าที่แอบหวังนิดๆ(จะให้เรียกว่า 'ผิดหวัง' ก็ยังอาจไม่เต็มปาก)ก่อนจะดู







Hellboy II : The Golden Army -> เกรด B+



ถ้าไม่ใช่เพราะ "กิลเลอร์โม เดล โตโร่" ได้ฝากความยอดเยี่ยมเอาไว้กับหนังจินตนาการบรรเจิดแสนเศร้าอย่าง "Pan's Labyrinth" ..ความน่าดูของ Hellboy II ก็ย่อมต้องเป็นเพราะหนังตัวอย่างที่น่าจะสนุก ดูแล้วเหมือนอาจมีอะไรน่าลุ้นมากไปกว่าภาคแรก

แล้วหนังตัวอย่างก็ไม่ได้หลอกผมเลย ..มิหนำซ้ำ ความบรรเจิดที่ได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่ของ เดล โตโร่ ก็พาเราหลงทางพิศวงกับความพิศดารผิดโลก เมื่อสัตว์ในเทพนิยาย เดินร่วมพื้นดินเดียวกันกับคนเป็นๆเราๆได้

ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้ จะเป็นงานบันเทิงผ่อนคลาย ที่แทบไม่มีหวังใดๆจะไปเยือนออสการ์เช่นงานคราวก่อน แต่ เดล โตโร ก็ไม่ยอมผ่อนสมองให้กับความคิดช่างครีเอท ที่เขาบันเทิงไปกับมัน พร้อมๆกับการสร้างความสนุก เข้มข้นให้กับเหล่าคนดู ที่เคยบ่นๆว่า ภาคแรกกั้กนู้นกั้กนี่ ..หากมาภาคนี้ ก็พร้อมใจกันชมว่าสนุกกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่าจะเพราะด้วยฝีมือที่ครบครัน ครบเครื่องกว่า สมัยเมื่อทำภาคแรก หรือจะเพราะส่วนประกอบอื่นๆ อย่างทีมการแสดงที่ทุกคนมีเสน่ห์ กับงานโปรดักชั่นออร่าอล่าม ช่วยเสริมส่งความน่าติดตาม ..ซึ่งถึงจะให้เป็นอะไรก็สุดแล้วแต่ หากกระนั้นแล้ว Hellboy 2 ก็คงเป็นหนังซัมเมอร์อีกเรื่องที่ไม่น่าจะสร้างความผิดหวังให้กับใครได้เป็นแน่ ...แม้ถึงจะไม่ได้เฉียบคม กินใจอะไรนักหนา แต่ก็ขึ้นชื่อว่าหนังบันเทิงที่ดี ที่อาจไม่เอาใจตลาดสุดกู่ แต่ก็ไม่ตามใจคนทำจนล่มที่ปากอ่าว เฉกเช่น Hancock ที่พยายามแล้ว..แป้กสนั่น!!!

ปล. ภาคสองจะสนุกมากกว่านี้ได้อีก ถ้า "Golden Army" มีบทบาทคุ้ม ให้สมค่ากับเกียรติที่ถูกตั้งชื่อห้อยท้ายหนังซะหน่อย

ปล.2 ไม่รู้มีใครคิดเหมือนผมมั้ย? ..ว่ามีกลิ่นของ Pan's Labyrinth ตามมาหลอกหลอนใจตลอดทั้งเรื่องเลยแหะ เหอๆ






The Dark Knight -> เกรด A <- {Super Recommended}



การกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรี..อีกครั้ง ของ อัศวินรัตติกาล มนุษย์ค้างคาว ที่คนทั้งโลกรอคอย

ไม่ใช่แค่การเป็นหนังซัมเมอร์ดูเอาบันเทิงที่ดี อีกเรื่องหนึ่งเพียงเท่านั้น ..แต่ "The Dark Knight" เป็นมากกว่านั้น

เพราะ นี่คือ หนึ่งในหนังยอดเยี่ยมแห่งปี ที่คอหนัง ไม่ควรจะพลาดด้วยประการทั้งปวง

ใครที่อาจคิดว่า หนังซูเปอร์ฮีโร่ คงจะดูเอาสนุก มันส์ๆ และเน้นย้ำขายความเว่อร์ล้ำโลกได้เป็นอย่างเดียว ..ขอปฏิเสธคำขาด และนำเสนอ ความจริงจัง สุดฤทธิ์ ตามแบบฉบับ "คริสโตเฟอร์ โนแลน" ที่เป็นผู้พลิกโฉมให้ ตำนานแบทแมน กลับมามีชีวิตโลดแล่นได้ใจอีกครั้งใน "Batman Begins"

แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดยั้ง และสร้างพัฒนาการที่คืบหน้ากว่าภาคก่อน จนมาคู่ควรกับคำว่า Perfect ในที่สุด

หนังยอดเยี่ยมในทุกองค์ประกอบ ..และเต็มไปด้วยความทรงพลัง ที่แผ่รังสีมาจากเหตุการณ์ คำพูด หรือกระทั่งการแสดงออกของทุกตัวละครที่เปี่ยมล้นด้วยความจริงจัง

โดยเฉพาะกับ "ฮีท เลดเจอร์" ..นี่คือ ผลงานชิ้นสั่งลา(อย่างกะทันหัน) ที่สวยงาม และน่ากราบ ทั้งยังควรค่าแก่การได้ออสการ์(สมทบชาย)เป็นแน่แท้

เชื่อผมได้เลยว่า ถ้าคุณดูภาคนี้จนจบ ความคิดแรกเมื่อจอมืดลง ก็คือ "โคตะระอภิมหึมามหาอยากดูภาคสาม!!!" ..ส่วนตัวผม นี่เป็นอีกครั้งที่ต้องยืนปรบมือให้กับความคุ้มค่าที่เป็นอภิมหีมามหาสุดยอดหนังซูเปอร์ฮีโร่ สมกับที่ผมรอคอยเป็นที่สุดแห่งปีนี้เลยทีเดียว

ปล. หนังเรื่องนี้ ทำเอาผม หลอนกับเสียงหวูดดังหวีดดดดด! ไม่มากก็น้อย.. เฉกเช่นที่ Atonement เคยทำให้ไม่อยากจะได้ยินเสียงพิมพ์ดีดเล้ย

ปล.2 ..การดูในโรง IMAX อาจไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นอะไรนักหรอก (โฆษณาเว่อร์ไปงั้นง่ะ) เพราะฉะนั้น ก็อาจไม่จำเป็นต้องถ่อไปถึงพารากอนหรอกนะครับ (เว้นแต่ว่า อยากจะเอาให้มันสุดๆไปข้าง ..ก็ลองดูละกันเน้อ แต่ยังไงก็คุ้มที่ตัวหนังแหละ)






10000 B.C. [DVD] -> เกรด B-



จากที่เคยว่าจะไม่ดู เพราะทำใจให้เชื่อเรื่องที่มันไม่ใช่ความจริงไปได้ ..แต่สุดท้าย ด้วยอานิสงส์ของพ่อ (ที่อยากดูอยู่แล้ว) ก็เลยลองเสี่ยงดูสักตั้ง

และจากที่ลองมา ก็ยังคงคิดเหมือนเดิม ว่าหนังหามีความสมจริงไม่ ..แต่ถ้าเอาความสนุกเป็นที่ตั้งแล้ว ก็ถือว่าได้มากกว่าที่คาดนิดๆ ซึ่งก็คงต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับ "โนอาห์ เอมมีริช" ที่รู้ดีว่าคนดูเขาต้องการอะไรจากหนังเรื่องนี้ และเขาก็ให้มันได้ในระดับที่มีพอใช้ อีกยังกลบความไม่เข้าร่องเข้ารอยของเรื่องราว ให้พอมี sense ขึ้นมาบ้าง (แม้จะเล็กน้อยจนอาจไม่ต้องนับได้ก็ตามที)

แต่มันย่อมจะดีกว่านี้ได้อีกมาก ถ้าหนังเขียนบทโดยใส่ใจความจริงของช่วงเวลา(ก่อนประวัติศาสตร์ 10000 ปี) และความจริงใจที่หนังไม่บิดเบือนให้อะไรต่อมิอะไรในหนังดูเพ้อเจ้อกันเช่นนี้

ถ้าถามว่าติดใจอะไรเป็นพิเศษแล้ว ..ก็คงจะเป็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยคู่นั้นของ "คามิลลา เบล" ที่มองเพ้อจนลืมความเพ้อเจ้อไปได้บ้าง






The Strangers -> เกรด B



ถ้าใครอยากดูหนังทริลเลอร์ ที่เน้นว่า... "ระทึกกันลูกเดียว ไม่ต้องเอี่ยวเหตุผล" ..เรื่องนี้ ก็น่าจะเหมาะได้อยู่

แม้เรื่องราวของหนัง (พระ-นาง เสือ..ก อยู่ผิดที่ผิดเวลา กลายเป็นเหยื่อโจรบ้าๆ ที่อยากจะปั่นหัวพวกเขาเล่น) จะเข้าข่ายอีหรอบเดิมๆ ที่มีเป็นสิบเป็นร้อยเขาทำกัน ..แต่ "The Strangers" ก็ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ ที่ว่ามุขซ้ำๆ ก็ไม่ถึงกับตายซากซะเลยทีเดียว

ความกดดันที่พระนาง ไม่สามารถจะหาทางหนีทีไล่ได้ ..ดูแล้วก็ไม่หงุดหงิดในเหตุการณ์แต่ละอย่าง หากคิดแทนตัวเองก็คงจะไม่ต่างกันในการกระทำ

ยิ่งถ้าใครคิดจะถามหาเหตุผลที่นำพาให้เกิดเป็นหนังเดิมๆ เรื่องนี้แล้ว ..ก็อย่าได้ไปตำหนิมันเลย เพราะพระเอกก็บอกแทนหนังทั้งเรื่องอยู่แล้วว่า "เราคงไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าพวกโจรมันทำไปเพื่ออะไร"

แต่ถึงกระนั้น หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกับหนังแนวๆนี้อีกทั่วๆไป เมื่อถึงตอนจบ ..ผมออกจากโรงมา ก็ไม่ติดค้างคาใจในสิ่งใดเป็นพิเศษ

หากเอาแค่เวลา ชั่วโมงครึ่ง ได้ระทึกเท่าที่ต้องการจากหนัง ก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง






Dan in Real Life [DVD] -> เกรด B+



หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่แหวกขนบหนังรอมคอมทั่วๆไป แม้แต่น้อยนิด ..นั่นเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ว่า หนังเขาต้องการ Feel Good

แต่ในเมื่อหนังอยากให้คนดูได้ Feel Good ไปตามภาษาหนังของมันแล้ว ..ก็ย่อมไม่ใช่ความยากเย็นอะไรในเมื่อ "Dan in Real Life" มีวัตถุดิบที่ดี และใช้มันอย่างรู้คุณประโยชน์

ไม่ว่าจะเป็นงานกำกับที่ดูไม่บิวต์อะไร ชิลไปตามอารมณ์ของหนังที่ค่อยๆละเลียดให้คนดูซึมซับเอาเอง ..หรือจะเป็น บทหนัง ที่เล่าเรื่องง่ายๆ สเตปหนึ่งเป็นไง สเตปสอง สาม สี่ ก็นึกออกต่อๆทันที แต่ในความง่ายเหล่านี้ ก็มีคุณสมบัติที่น่ารัก น่าเลิฟ ทำเอาเราอมยิ้มกรุ้มกริ่มไปกับมันตลอดในทุกฉาก

แล้วเมื่อบวกกับความมีเสน่ห์ของ "สตีฟ คาเรลล์", "จูเลียด บินอช" และนักแสดงตัวใหญ่ตัวน้อยของครอบครัวนายแดน ..มันก็เลยเป็นหนังรอมคอมที่ธรรมดาไปสักหน่อย แต่ก็มีดีและน่าจะเป็นถูกใจของคอหนังที่อยากจะมองหาความสบายๆ เป็นความหรรษาที่นั่งดูกับทุกคนในครอบครัวได้อย่างพร้อมเพรียงครับผม






Red Cliff I (โจโฉ แตกทัพเรือ ภาค 1) -> เกรด B+



อย่างหนึ่ง ที่เลี่ยงจะไม่โดนว่า ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหนังที่มีที่มานำนิยายขึ้นจอ ก็คือ ..การดัดแปลงเรื่องราว ที่ยังไงๆ ก็ต้องมีใครตำหนิ

ยิ่งกับกรณีของ "สามก๊ก" ที่ได้ชื่อว่าเป็นพงศาวดารที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สุดแห่งแผ่นดินจีนด้วยแล้ว ..ย่อมมีแฟนๆ ไม่ไหวที่จะเคลียร์ในการเปลี่ยนแปลง ตำนานอันเป็นที่รักของพวกเขา ให้กลายเป็นเพียงหนังเอพิค-แอ๊คชั่น ที่แทบไม่หนักแน่นอะไรในเนื้อหาอันที่ควรจะเต็มไปด้วยปรัชญา และคมความคิดแอบแฝงอันมากมาย

แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำใจกันจริงๆ ..ถ้าคิดจะดูหนังแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะครบครัน พรั่งพร้อมไปซึ่งทุกสิ่ง ...หรือแม้กระทั่ง ธรรมชาติบางอย่าง ถ้าถูกบิดไปบ้าง แล้วสร้างรสชาติที่แปลกใหม่ แล้วไม่จืดชืดซะทีเดียว ก็ย่อมจะดีไปอีกแบบ

แล้วกับกรณีหลังที่ได้เห็นใน "โจโฉ แตกทัพเรือ" (หรือ อีกชื่อไทยที่ไม่สปอยล์อะไรเลยว่า "ศึกผาแดง") ..ก็คือ การเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เข้าถึงความเป็นธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้น

นี่เป็น การคืนจอในรอบหลายปีของ "จอห์น วู" (หลังจากทำหนังฮอลลีวู้ด ยิ่งมากเรื่องเท่าไหร่ ยิ่งออกทะเลไปไกลทุกที) ..และแล้ว เขาก็ได้กลับมาเข้าฝั่งสักที และ สมศักดิ์ศรีเลือดมังกรด้วยงานที่ดูจะแตกต่าง และผิดแผก ไปจากปกติที่เคยเน้นอลังการงานเก๊ก โอเว่อร์แอ๊คกันสุดกู่ ในหนังบู๊คลาสสิคๆทั้งหลายแหล่ของเขา

ผมชอบการบิด อย่างมีความรับผิดชอบ ของ สามก๊ก(หนังโรง)ฉบับนี้.. ที่ให้เห็นว่า คนเขียนบท และตัวผู้กำกับ ก็ยังยึดต้นฉบับที่สำคัญๆไว้อย่างไม่หลุด ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนเนื้อในบางประการให้ดูมีความต่อเนื่องทางเหตุการณ์ ทั้งก็ปรับคาแรกเตอร์ตัวละครได้อย่างไม่น่าผิดหวังนัก ..กอปรกับเมื่อมีนักแสดงคุณภาพทั้งทีม แสดงได้สมบทบาท ก็ดูน่าเชื่อ และสร้างเสน่ห์ให้บทบาทของพวกเขา โดยไม่มีใครที่เดินเข้ามาแล้วก็ผ่านไป

แค่ภาคแรก ยังไม่เข้าสู่สงครามริมผาแดง ก็เข้มข้น ดูเพลิน ลืมนิยาย ซะขนาดนี้ ..เมื่อภาคสอง ทัพเรือของโจโฉ ถึงคราวต้องแตกดับ ก็หวังว่า ป๋าวู จะใส่ความมันส์กันให้เต็มที่ ชนิดที่คนดูอาจจะลืมเลยว่า ชื่อหนังเรื่องนี้ได้สปอยล์ตอนจบเอาไว้แล้ว (อิอิ)

และสามก๊ก ฉบับเฮียหลิวจูล่ง (Resurrection of the Dragon) กลายเป็นหนังสำหรับเด็กอนุบาลไปเลยทีเดียวเชียวล่ะ






Definitely, Maybe [DVD] -> เกรด A- <- {Recommended}



มีหนังรอมคอมอยู่มากมาย ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ..และก็มีอยู่น้อยเรื่องนักที่จะเคยผ่านมา แล้วก็อาจแวะพัก จนเมื่อมันติดใจ(คนดู) มันก็ได้ตัดสินตัวเองที่จะอยู่ถาวร(ในใจของเรา)อย่างยาวนาน

และ "Definitely, Maybe" ก็คือ อีกหนึ่งในน้อยเรื่องนั้น ที่คงจะทำให้คอหนังรอมคอม ได้ดูแล้วอาจมีติดใจ และอาจยากจะลืมเลือนมัน

ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะเดินเรื่องไปด้วยความ Happy มีแต่ความสุขเท่านั้นมารออยู่เบื้องหน้า เหมือนหนังรอมคอมอีกหลายร้อยเรื่อง ..หากแต่ที่กลายเป็นความติดใจของใครต่อใครหลายคน ก็คงต้องนับถือใน การแหวกขนบของเรื่องราว ที่สามารถผูกเงื่อนไข สร้างสมการยุ่งเหยิงของรัก 4 เส้า (1 ชาย 3 หญิง) ให้กลายเป็นคำตอบที่ลงตัว สำหรับการหยั่งใจคนดู ให้ต้องนึกเดาคิดตามรูปความ เรื่องเล่าของพระเอก ที่ชวนสับสนและอลหม่านหัวสมองได้ดีนักแล

ทั้งนี้นอกเหนือไปจากความฉลาดของบท (และการกำกับเล่าเรื่อง..ที่วุ่นวายใจได้ยุ่งเหยิงแท้) ความมีเสน่ห์ของหนัง ก็ยังเกิดจาก ความเป็นธรรมชาติของเหตุการณ์ ที่ล้วนแต่สมจริงสมจัง และสัมผัสให้เชื่อได้ในสิ่งที่ตัวละครได้พบเจอ ..ในขณะที่หนังรอมคอมเรื่องอื่นๆ พยามยามแบ่งปันความทุกข์ให้มีอยู่น้อย หนังเรื่องนี้กลับเลือกที่จะถ่วงน้ำหนักให้มันเท่าเทียมกับความสุข หากเมื่อถึงเวลาทำเศร้า ก็เอาเราเคลิ้มจนแสยะยิ้มกลบเกลื่อนไม่เป็น

ก็ยังรู้สึกเสียดายที่หนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะไม่ดังในอเมริกาเอาซะเลย ..จึงทำให้ "ไรอัน เรย์โนลด์ส" ยังไม่อาจเกิดกับการเป็นฮีโร่โรแมนติกได้อย่างเต็มตัวนัก ...แต่ถึงอย่างน้อยๆแล้ว เขาก็ยังได้ฝากผลงานการแสดงที่น่าประทับใจ อันเกินจะคาดได้จาก คนที่เคยดูคุ้นหน้าคุ้นตากับบทฮีโร่แอ๊คชั่น ใน "Blade 3" ที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ...ส่วนสาวๆทั้ง 3 พ่วงลูกสาวอีก 1 (หนูมิสซันไชน์ "อบิเกล เบรสลิน") ก็น่ารักเหลือหลาย สมที่บทต้องการจริงๆ

สำหรับใครที่ถามหา อยากจะดูหนังรอมคอมครบรส ที่มีดีเกินตัว แล้วละก็.. ขอแนะนำว่า ไม่ควรจะพลาดจริงๆครับผม






The Mummy : Tomb of the Dragon Emperor -> เกรด B



นี่คือ "หนังเสียสติ" ที่ช่างเหมาะสำหรับคนดูที่ไม่ต้องการอะไรแล้วนอกจากความเพลินดูเรื่อยๆ เพียงตัวเดียว

แต่ส่วนตัวผมก็ยังรู้สึกว่าหนังมันไม่ใช่อะไรที่เลวร้ายนัก ..ถึงจะกะไว้แล้วว่า ดูจบแล้วก็มีอันเป็นจบกันในโรงแหงแก๋

และถึงโดยรวมของหนัง จะเต็มไปด้วยจุดให้น่าตำหนิ แอบขัดใจอยู่มากมาย ..แต่ในเมื่อภาคก่อนๆ ของ "The Mummy" เอง ก็โปร่งใส ไม่มีอะไรที่ดูดีกว่าหนังผจญภัยเรื่องไหนๆมาก่อนอยู่แล้ว จึงไม่คิดอะไรมาก กับภาคสาม ที่แม้จะเปลี่ยนสถานที่ เวลาเปลี่ยน (และ ราเชล ไวส์ ..เปี๋ยนไป๊ เป็น "มาเรีย เบลโล") แต่ความรู้สึกแบบเดิมๆกับหนังชุดนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไป

คือ ออกจากโรงมาแล้วเคยได้อะไร ..ในภาคนี้ ก็ได้เท่าเดิม คือ ก็แค่ดูให้เพลิดเพลินกันไปอย่างงั้น

และอีกอย่าง.. ผู้กำกับ "ร็อบ โคเฮน" ไม่มีความเหมาะจะทำหนังผจญภัยสำหรับผู้คนในครอบครัวอย่างงี้เลยจริงๆ ...ทางที่ถนัดของลุงแกต้อง เป็น ดิบ ห่าม เถื่อน ประมาณ "xXx" จะดูดีกว่ามากมาย






Be Kind Rewind -> เกรด A <- {Super Recommended}



[ฉายจำกัดโรง เฉพาะที่.. "Major รัชโยธิน" (แถมเป็นโรง VIP อีกต่างหากนะนั่น) และ "Paragon"]

จากแต่แรกที่หวังจะเอาแค่ ความฮา บ้าบอ ให้ล้ำด้วยสไตล์เฉพาะตัวในงานของ "มิเชล กงดรี้" เป็นสำคัญ

กลับต้องเจอความผิดคาดอยู่พอสมควร.. ที่ "Be Kind Rewind" ทำเอาผมน้ำตาไหลได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

หากถ้าเจาะโฟกัสไปยังรายละเอียดของหนังแต่ละส่วนแล้ว อาจจะยังพบความไม่สมบูรณ์ มองดูว่ามันไม่ได้เลิศเลออะไรมากมาย ..แต่ก็เพราะด้วยความเป็นธรรมชาติ ที่ผู้กำกับ(เหมือนว่าจะ)ทำหนังส่วนตัวเล่นๆขึ้นมา หากมันก็ไม่ใช่ความเฉพาะตัวเกินไป จนคนดูอาจตามไม่ทัน เฉกเช่น งานสร้างชื่ออย่าง "Eternal Sunshine of the Spotless Mind"

อีกทั้งนี้ เราก็จะยังได้เห็นความเป็นนักแสดงตลกโดยธรรมชาติของ "แจ๊ค แบล็ก" (ที่หลายต่อหลายเรื่องก่อนหน้า..เคยเฟคอย่างเห็นได้ชัด) ..การเล่าเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ ที่ไม่ประดิษฐ์ประดอยลีลาฮาฮาร์ดร็อค อย่างเช่น หนังตลกอินดี้อีกมากมาย ..อีกรวมไปถึงการสอดแทรกสาระ ทั้งที่เสียดสี แดกดัน สังคมเทคโนโลยีนิยม หรือกระทั่งการแสดงออกซึ่งความรู้สึกเรียบง่าย แต่กินใจได้อย่างลงคอ ในฉากไคลแม็กซ์ที่น่ารัก (แม้มันจะดู Feel Good ..ขัดกับโลกความจริงซะนิดนึงก็เหอะ)

ด้วยเพราะทุกอย่างมันถูกบิวต์ให้เป็นตามธรรมชาติล้วนๆ ..พอถึงฉากจบของหนังที่เปี่ยมล้นความสุข ก็ทำให้จู่ๆน้ำตามันไหลลงมาได้เองอัตโนมัติ แบบที่ไม่คิดว่าผมจะได้เสียให้ ในหนังที่มีเปลือกหน้าเน้นให้คนดูเข้ามาเอาความฮา แบบก้าวร้าว(หนังฮอลลีวู้ด) กันอย่างนี้

ถึงแม้ความประทับฝังใจ จะยังเทียบไม่ได้กับงานมาสเตอร์พีซอย่าง Eternal Sunshine ...แต่สุดท้าย ผมก็ต้องเสร็จ มิเชล กงดรี้ อีกแล้วสิเนี่ย

นี่คือ อีกหนึ่งหนังอินดี้ ที่ผมขอรับประกันว่าดูไม่ยาก ทั้งมันก็ยังเน้นขายความสนุกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเสียด้วย ..ขอแนะนำยิ่งๆ กับคนที่ต้องการความสุขใจ เพราะ มันมีความดี มากกว่าการเป็นหนังตลกล้อหนัง โดยแน่แท้






ว้อ หมาบ้ามหาสนุก -> เกรด B+

แม้ว่า "ว้อ หมาบ้ามหาสนุก" จะยังมีเชื้อชาติความเป็นหนังตลกคาเฟ่อยู่เต็มคราบ และย่อมจะไม่ใช่คำตอบของการถามหาความสนุกที่เต็มที่เต็มอิ่มอะไรนักอย่างเคยๆ ..แต่ถึงกระนั้นแล้ว มันก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ทำออกมาได้เข้าที่เข้าทาง แล้วเหนือกว่าการเป็นหนังตลกที่ดูจบแล้วก็เป็นจบกันอีกเรื่องหนึ่ง

ยิ่งหนังมาในช่วงเวลาที่เข้าเค้าเข้าที กับเหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบันที่เต็มไปด้วยคนบ้าออกมาก่อกวนด้วยแล้วอย่างนี้ ..มันก็อดไม่ได้ที่เราจะเอาภาพสังคมจริง ไปเปรียบเทียบกับสังคมชนบทในหนัง ที่ช่างคลับคล้ายคลับคลา
กันเหลือเกิน

ก็ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้สร้างอย่าง เฮียหม่ำ (จ๊กม๊ก) รวมไปถึงผู้กำกับของหนังหรือเปล่า ..ที่ช่างคิดเรื่องได้แยบยล จนคาดไม่ถึงว่าหนังจะทำตัวเป็นหมาแว้งกัดชาวบ้าน แอบเก็บรายละเอียดไว้ได้หลายอย่าง

แต่ก็เสียดายอยู่นิด ที่เหมือนหนังจะยังไม่อาจหลุดจากสูตรหนังตลกคาเฟ่ทั่วไปได้เช่นเคย ..เพราะถึงส่วนตัวจะรู้สึกเพลินๆ ขำๆ มากกว่าจะแป้ก (อย่างที่หนังตลกคาเฟ่ทั่วไปควรจะเป็นกันนักแล) แต่ก็ยังไม่ค่อยชอบใจที่หนังเล่าแบบฉากต่อฉาก มากกว่าเรื่องต่อเรื่อง จนไม่ค่อยต่อเนื่อง ไม่อาจปะติดปะต่ออารมณ์ได้แนบเนียนนัก

นี่ก็เพราะได้ ความกล้า มาเป็นจุด(แอบ)ขายนี่แหละหนา ..จึงทำให้ ว้อ เป็นหนังที่สนุกคิด ได้มากกว่าจะสนุกฮาซะอย่างงั้น





นอกเหนือไปจากจะเอา รีวิวสั้นๆของหนังที่ผมได้ดูมา แปะไว้ที่ตรงนี้แล้ว ...ก็ยังมีอีกที่หนึ่ง ที่ผมขอแนะนำให้ทุกคนได้ลองเข้าไปชม ไปเม้นต์กันที่ //vreview.yarisme.com ...นอกจากจะมีผมก็ยังมีพี่ๆคนรักหนังอีก 5 คน ที่จะมาร่วมแจมความเห็น ..คือ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" , "บลูยอชต์" , "Nanoguy" , "renton_renton" และ "เทพบุตรตบะแตก!!" ...พร้อมกันนี้ ก็ยังมีให้ลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน อีกด้วยนะครับ






"ชอบตอนนี้" - Friday


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ...ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2551
11 comments
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 11:01:58 น.
Counter : 1035 Pageviews.

 

+ ชีวิตช่วงมหา'ลัย มันก็มีทั้งสุข ทั้งเศร้า เยี่ยงนี้แหละครับบ นัทเอ๊ย! เก็บเกี่ยวไว้ให้เต็มที่ เพราะเราจะมีโอกาสครั้งนี้ครั้งเดียวในชีวิตที่ได้สัมผัส ... พอจบออกมาทำงาน มันก็จะเป็นอีกอารมณ์นึงแล้วอ่า

+ Hell boy II + Red Cliff I สำหรับพี่ น่าจะได้เบิ้ลวันเสาร์นี้ครับ (เรื่องแรกเห็นว่าเจ๋งทีเดียว เรื่องหลังได้ยินว่าไม่ค่อยเวิร์ค)
+ Dark knight พี่ขนลุกเลยครับ ... เพราะจากเว็บวิจารณ์หนังที่พี่เข้าประจำ คะแนนเฉลี่ย ณ ตอนนี้ของ Wall.E ว่าสูงแล้ว (90 ต้นๆ ทั้งนักวิจารณ์และคนดู) ... แต่พี่ค้างคาวดันได้สูงกว่า! (เฉลี่ย 97 จาก 100!) ทั้งฝั่งนักวิจารณ์และคนดู ... เด๋วพอมีคนดูเยอะขึ้น คะแนนคงลดลงบ้าง แต่คนที่มาเขียนก็บรรยายกันไว้ซะ ซี้ดส์สส

+ X Files ยังไม่แน่ใจแฮะ ขอดูคะแนนอีกที / Mummy III คงดูเอามันส์เจงๆ แหละ (แต่สังหรณ์ว่าภาคนี้ จะแป้กกว่า 2 ภาคก่อน ยังไงไม่รู้แฮะ ดูจากหนังตัวอย่าง)

+ Be kind rewind อยากดู ขอให้เข้าจริงเหอะครับ เห็นเลื่อนหลายรอบแล้ว กลัวจะเลื่อนไปเลื่อนมา แล้วหายจ้อยไปเลย เหมือน Funny games remake ง่า เซ็งจิต

 

โดย: บลูยอชท์ 11 กรกฎาคม 2551 17:43:33 น.  

 

...อ้าว หลงเข้ามาหน้านี้ครับ แหะๆ...

...ผูกพันกับลาดกระบังเหมือนกันน่ะ เมื่อก่อนผ่านทุกวันเลย บางทีก็แวะกินข้าวในโรงอาหารเหมือนกัน แถมเจ้าน้องชายก็จบไบโอจากที่นี้ซะอีก...

...เฮลล์บอย II ถือว่าเป็นหนังที่ชอบที่สุดในซัมเมอร์นี้แล้วล่ะ โดยเฉพาะฉากในตลาดโทรล ที่น่าจะทำให้เหล่าบุคคลกรใน ILM ต้องเหลียวหลังมองไปตามๆกัน...

...Be King Rewind ไม่รงไม่รอฉายโรงแล้ว ดูก่อนดีกว่า...

 

โดย: BloodyMonday 11 กรกฎาคม 2551 21:03:56 น.  

 

นัทนี่อายุน้อยกว่าพี่หลายปีเลยหล่ะ

จบวิศวะเหมือนกันค่ะ จบมาห้าปีละ เฮือก

ปีสองว่ายากแล้ว ปีสามยิ่งหนักหนากว่าอีก

แต่ใจสู้เข้าไว้ มันก้อจะทำได้ดีเองหล่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

Hell Boy 2 อยากดูเหมือนกัน อาจจะไปดูวันอาทิตย์นี้

The dark knight นี่ไม่ต้องพูดถึง คงไปดูวันแรกที่เข้าเลยหล่ะ

 

โดย: vanilla IP: 12.151.36.19 12 กรกฎาคม 2551 6:31:07 น.  

 

คือถ้าการเรียนของน้องมันยากนะครับ
พี่แนะนำว่า ให้น้องเอาสมองของน้องที่เขียนคำวิจารณ์ หนัง เอาไปเรียนจะดีกว่า มาวิจารณ์หนังแบบ แย่ๆ แบบนี้
นี่ก็เป็นบทวิจารณ์หนังที่ แย่ที่สุด แห่งปีที่พี่เคยอ่านเช่นกันนะครับ
ถ้ารักที่จะวิจารณ์อะไรควรทำใจให้สงบ เรียบเรียงคำพูดให้ดูดี
อย่างที่น้องว่า hancock แต่น้องก็เป็นซะเอง ........

 

โดย: .............ไร้นาม................... IP: 124.121.34.247 13 กรกฎาคม 2551 3:06:10 น.  

 

ไปอ่านบทวิจารณ์ Hancock มาค่ะ

เห็นด้วยกับคอมเมนท์ข้างบนเลยค่ะ

บางทีเราก็น่าจะระวังคำวิจารณ์ของเราบ้าง

 

โดย: ...... IP: 125.25.44.102 13 กรกฎาคม 2551 3:27:44 น.  

 

ความเห็นข้างบนสองอันไม่รู้เดือดร้อนหรือเคียดแค้นอะไรกันกับ จขบ. หรือเปล่าหนอ
ที่สำคัญอีกประการ ถ้าจะ "วิจารณ์" ใคร ก็น่าจะกล้า "เผยตน" ในระดับนึงนะครับ (ระดับที่มันมากกว่าเลข IP น่ะ)

หรือคุณรัก Hancock มากจนรับบทวิจารณ์อันนั้นไม่ได้หว่า..

สรุปแล้ว คำพูดที่พูดมามันก็ย้อนไปทิ่มแทงตัวคุณเองนั่นแหละครับ
คือไม่รู้จะด่าบทวิจารณ์นั้นว่าอะไร ก็เลยหันมาด่าตัวคนเขียนมันซะเลย (เหมือนที่พวกนักการเมืองเลวๆชอบทำอยู่ตอนนี้นั่นแหละ)

ผมก็คงบอกได้แค่ว่า คุณควรเอาสมองไปทำอย่างอื่นน่าจะดีกว่า

"บางทีเราก็น่าจะระวังคำวิจารณ์ของเราบ้าง" ใช่มะ (อิอิ)
*********************************


ส่วนหนัง ดู Red Cliff กับ Hellboy II ละ ไม่ค่อยโอเคทั้งสองเรื่องเลย - -*

 

โดย: nanoguy IP: 161.200.255.162 14 กรกฎาคม 2551 12:34:19 น.  

 

ก็เป็นซะแบบนี้แหละค่ะ ดีแต่วิจารณ์คนอื่น

พอถูกวิจารณ์เข้าให้บ้างก็เป็นเดือดเป็นแค้นกัน

"บางทีเราก็น่าจะระวังคำวิจารณ์ของเราบ้าง"

นี่คือสิ่งที่ดิฉันบอกไว้ ให้ระวังบ้าง

ไม่ทราบว่าสามัญสำนึกพอจะทำให้เข้าใจความหมายไหมคะ

คุณnanoguy

 

โดย: ซิน IP: 125.25.49.217 17 กรกฎาคม 2551 3:20:30 น.  

 

ผมว่าคุณว่าผิดคนแล้วมั้งครับ
ที่บอกว่า "ไม่มีสามัญสำนึกพอที่จะเข้าใจความหมาย" น่ะ

ใครไปเป็นเดือดเป็นแค้นกัน
ถ้าหากว่าการวิจารณ์นั้นอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล
และไม่ก้าวล่วงไปถึง ตัวผู้วิจารณ์ มากกว่า สิ่งที่เขาวิจารณ์ออกมา

 

โดย: nanoguy IP: 125.24.128.115 18 กรกฎาคม 2551 1:04:43 น.  

 

Critic - A person who appraises on the works of others; A specialist in judging works of art; One who criticizes; a person who finds fault; An opponent

Bigot - prejudiced person who is intolerant of opinions, lifestyles, or identities differing from his or her own

แวะผ่านมา ใครอยู่ในหมวดไหนคงรู้ตัวกันดีอยู่แล้ว...

 

โดย: BloodyMonday 19 กรกฎาคม 2551 14:26:58 น.  

 

พวกควายทะเลาะกัน

 

โดย: เทพ IP: 58.8.103.51 20 กรกฎาคม 2551 10:01:55 น.  

 

+ เอ่อ ... ไม่ได้เข้าบล็อกนัทมานาน เข้ามาอีกที เง็งเลยวุ้ย มีการวิวาทะกันด้วยเหรอเนี่ย

+ จริงๆ แล้ว ก็ 'วิจารณ์' มันก็ต้องมีการพูดถึงทั้งข้อดี และข้อเสียของตัวหนัง ถ้าข้อเสียเยอะก็ต้องพูดถึงมากหน่อย ... นักวิจารณ์ก็คือมนุษย์ปุถุชนคนนึง ย่อมมีความรู้สึกและความเห็นเป็นของตัวเอง ซึ่งอาจไม่ตรงกับของคนอื่นก็ย่อมได้ ... แต่ที่สำคัญก็คือ คนๆ นั้นควรจะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่หรือครับ? ไม่ใช่ว่าดูแล้วไม่ชอบ แต่ดันกลัวโดนคนอื่นด่า ก็เลยบอกว่าชอบซะงั้น ... และที่ผมได้อ่านบทวิจารณ์ Hancock ของน้อง จขบ. ไป เค้าก็พูดถึงด้วยเหตุด้วยผล ว่าทำไมถึงไม่ชอบ ไม่ใช่เอาแต่ด่าๆๆ โดยไร้เหตุผลนี่ครับ

+ และถ้าเราไม่ชอบใจบทวิจารณ์ของใคร ก็ไม่ต้องอ่านของคนนั้นสิครับ ไม่เห็นต้องระรานกัน (ทางคำพูด) เลยนี่นา ... แค่นี้บ้านเมืองกับโลกใบนี้ก็ร้อนรุ่มพอแล้วอ่า

+ แต๊งค์นัท สำหรับคำอวย HBD ให้พี่ด้วยนะครับผม ^_^ (อีโมฯ หาย)

 

โดย: บลูยอชท์ 23 กรกฎาคม 2551 12:55:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.