Group Blog
 
 
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

แอบดูบ้านของซานตา คลอส ในวันคริสต์มาส..ที่ฟินแลนด์





















กลายเป็นความเชื่อของเด็กทั่วโลกไปซะแล้ว ที่เมื่อวันคริสต์มาสมาถึง หากพวกเขาทำตัวเป็นเด็กดี จะได้รับของขวัญจากซานต้าคลอสผู้ใจดี

โดยพวกเด็กๆจะนำเอาถุงเท้าไปแขวนไว้ที่หัวเตียง(สมัยก่อนแขวนไว้หน้าเตาผิง) จากนั้นก็อธิษฐานขอสิ่งที่อยากได้ เมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาก็จะพบของขวัญอยู่ในถุงเท้า(แนะนำให้แขวนถุงเท้าข้างใหญ่ๆ555)

เอาเข้าจริงคนที่เอาของขวัญมาใส่ให้ก็คือซานต้าที่อยู่ในบ้านเด็กๆนั่นละครับ จะพ่อ แม่ พี่ ลุง หรือใครก็ตามในครอบครัว กับภารกิจย่องเบาแอบเข้ามาในห้องนอนอันมืดมิด เอาของขวัญสอดเข้าไปในถุง แล้วออกมาจากห้องโดยที่ไม่ให้เด็กๆซึ่งกำลังนอนฝันหวานอยู่ตื่นขึ้นมา



เมื่อตื่นเช้ามานอกจากเด็กๆจะดีใจที่ได้ของขวัญวันคริสต์มาสแล้ว พวกเขายังดีใจอีกที่เมื่อคืนนี้ซานต้าคลอสผู้ใจดีได้นั่งรถเลื่อนที่มีกวางเรนเดียร์บินได้ลากเหาะข้ามท้องฟ้าจากขั้วโลกเหนือมาแวะบนหลังคาบ้าน จากนั้นลุงซานต้าผู้ใจดีก็จะหย่อนตัวลงมาในปล่องไฟ(บ้านไหนไม่มีแนะนำว่าเข้าทางหน้าต่างก็ได้) เพื่อนำของขวัญมาใส่ในถุงเท้าบนหัวเตียงของพวกเขา และเด็กๆก็จะยังคงเชื่อในซานตาคลอสต่อไป

คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ซานตาคลอสตัวเป็นๆมีจริงหรือเปล่า อยู่ที่ขั้วโลกเหนือใช่ไหม เวลาแจกของขวัญไปยังไง กวางเรนเดียร์บินได้ไหม ฯ


ก่อนที่เราจะไปดูกัน เรามาศึกษาเรื่องราวต่างๆของวันคริสต์มาสกันพอคร่าวๆก่อนครับ...











ประวัติคริสต์มาส

คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ (Christmas) ซึ่งมาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ (เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1038) และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ





ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย







วิวัฒนาการแห่งการฉลองวันคริสต์มาส

การฉลองคริสต์มาสแพร่มาจากกรุงโรม ไปยังทุกประเทศพร้อมกับศาสนาคริสต์ที่ค่อย ๆ แผ่ขยายไปในที่ต่าง ๆ จนในปี ค.ศ. 1100 ประชาชนก็เป็นคริสตชนทั้งหมดทั่วยุโรป และก็ได้พบว่า มีการฉลองวันคริสต์มาสพร้อมกันในยุโรป เพราะถือว่า เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในศาสนา




เราสามารถแบ่งวิวัฒนาการ ของการฉลองวันคริสต์มาสเป็น 4 ช่วงคือ

ค.ศ. 330-1100 ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ทีละเล็กทีละน้อยก็มีการฉลองวันคริสต์มาส และก็มีการเริ่มเทศกาล เตรียมรับเสด็จพระเยซูเป็นเวลา 4 สัปดาห์ก่อนคริสต์มาสเป็นเวลาเตรียมตัวโดยการใช้โทษบาป อดอาหารและภาวนาเป็นพิเศษ




ค.ศ. 1100-ศตวรรษที่ 16 ช่วงนี้มีการพัฒนาประเพณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการฉลองคริสต์มาส เช่นการแต่งเพลงคริสต์มาส การทำถ้าพระกุมาร ทำต้นคริสต์มาส

ศตวรรษที่ 16-19 ระยะนี้มีการแตกแยกในคริสตศาสนา เกิดมีนิกายบางนิกายขึ้นมา ซึ่งบางนิกายไม่สนับสนุนให้มีการฉลองวันคริสต์มาส ด้วยเหตุผลที่ว่าคริสต์มาสเป็นวันที่มนุษย์เลือกเอาเองโดยได้รับอิทธิพลจากชาวโรมัน ที่ฉลองดวงอาทิตย์คล้ายเป็นพระเจ้าของเขา และชาวบ้านก็ให้ความสำคัญแก่วันนี้มากกว่าวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่พระเจ้ากำหนดให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตามชาวคาทอลิกพร้อมกับคริสตศาสนาหลาย ๆ นิกาย เช่น Lutheran เป็นต้น ยังรักษาการฉลองนี้ไว้ด้วยความอบอุ่น และศรัทธาจนถึงปัจจุบัน



ศตวรรษที่ 19- ปัจจุบัน เริ่มมีประเพณีอื่นทางโลกแทรกเข้ามาซึ่งมีอิทธิพลต่อการฉลองนี้มาก เช่นเรื่องซานตาคลอสให้ของขวัญ การส่งบัตรอวยพรคริสต์มาสซึ่งร้านต่าง ๆ ยินดีสนับสนุน เพราะเป็นโอกาสดีที่จะขายสินค้า ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นไปในตัว ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านทั่วไปก็อาจจะลืมความสำคัญ หรือความหมายที่แท้จริงของคริสต์มาส โดยหันมาเพิ่มความสนใจในสิ่งภายนอกมากว่า








การทำ ถ้าพระกุมาร

ตามความในพระคัมภีร์พระเยซูเกิดในรางหญ้า (ลก 2, 7) ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากในแถบเบธเลเฮม มีถ้าอยู่มากมาย ที่พวกดูแลฝูงแกะใช้เป็นที่พักของสัตว์ (รางหญ้า) และตัวเอง เป็นความคิดของชาวคริสต์ธรรมดาว่า รางหญ้าที่พระวรสารอ้างถึงนั้น คงอยู่ในถ้าแห่งหนึ่งในเบธเลเฮม ประเพณีการทำถ้านั้น มาจากอิตาลีโดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี เป็นผู้เริ่ม โดยในวันคริสต์มาสปี ค.ศ. 1223 นักบุญฟรังซิสชวนให้ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านที่ Greccio ที่ท่านอยู่ ร่วมแสดงละคร มีการเตรียมถ้าพระกุมารและใช้สัตว์จริง ๆ เช่น วัวและลา อยู่ในถ้าด้วย (การที่ใช้วัวและลา เพราะเป็นสัตว์ที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำ) จากนั้น ก็จุดเทียนมายืนรอบ ๆ ถ้าที่ทำขึ้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจนถึงสว่างและฟังมิสซาด้วยกันตั้งแต่นั้นมา ประเพณีทำถ้าพระกุมารทั้งในวัดและในบ้านก็แพร่หลายไปทั่วทุกหนแห่ง




วันคริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas, Christmas Day หรือย่อ ๆ ว่า XMas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งคริสต์ศาสนา ซึ่งเชื่อกันว่าตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี พระองค์ประสูติที่เมืองเบธเลเฮมและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน




Christmas 1904


คริสต์มาสเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองโดยชาวคริสต์ สำหรับการร่วมฉลองเทศกาลคริสต์มาสของผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสต์อาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา แต่เป็นการฉลองเทศกาลที่ได้พัฒนากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประจำปี การที่วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งการให้ของขวัญและการตกแต่งบรรยากาศ จึงทำให้ช่วงเวลานี้มีปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูงทั้งกับชาวคริสต์และผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสต์ เทศกาลคริสต์มาสจึงกลายเป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของผู้ค้าปลีก


Christmas 1914




องค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาส


คำอวยพร
คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย






ต้นคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก



Christmas 1949



เพลงคริสต์มาส
เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน




เพลงคริสต์มาส ที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก





การทำมิสซาเที่ยงคืน
เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส



Christmas 1912


เทียนและพวงมาลัย
ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า






ซานตาคลอส
นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ซานตาครอสจริงๆแล้ว แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย





นักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญ ที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะ มาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดย มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยน เป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็น สังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็น ชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอาศัย อยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อน เป็นยานพาหนะมีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมา ทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้ เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติ ของเขา







หากศึกษาตามตำนานจริงๆแล้ว ซานตาคลอส สัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส แท้ที่จริงในอดีตไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวันกำเนิดของพระเยซูเเลย

ความจริงแล้ว ซานตาคลอส มาจาก นักบุญนิโคลาส นักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือในความเป็นผู้มีนํ้าใจ ชอบแอบช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน




จากความดีงามในครั้งนั้น หลังจากสิ้นนักบุญนิโคลาส ชาวยุโรปจึงยึดแนวทางของนักบุญนิโคลาส ในการมอบของขวัญเพื่อส่งความสุขให้แก่กัน โดยยึดเอาวันมรณภาพนักบุญนิโคลาส คือที่ 6 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรำลึกถึงนักบุญโดยการให้คนแต่งตัวคล้ายกับท่าน ทั้งการไว้หนวดยาวสีขาว สวมชุดสีแดง ท่าทางใจดี หอบถุงที่บรรจุของขวัญมาแจกเด็กๆ

ว่ากันว่า ลักษณะภายนอกของซานตาคลอสที่ถูกสมมุติขึ้นมาเหมือนกับจะลอกเลียนแบบมาจาก Thor ซึ่งเป็นเทพเจ้าในนิยายโบราณของเยอรมัน ซึ่งในประเทศเยรมันยังมีเทศกาลอุสเตอร์(คนแก่ใจดีมาแจกขนม)แยกออกจากเทศกาลคริสต์มาส





ทว่า ไปๆมาๆวันรำลึกถึงเซนต์นิโคลาส ก็ค่อยๆขยับเข้ามาและควบรวมกับวันคริสต์มาสซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซู แต่นั้นก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะทำให้วันคริสต์มาสมีสีสันมากขึ้น

หากดูตามนี้แล้ว ซานตาคลอส ที่คอยแจกของขวัญให้กับเด็กทั่วโลกก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่แต่งเติมเสริมต่อกันขึ้นมาเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไมยังคนจำนวนมากในโลกนี้ยังคงเชื่อในเรื่องของชายแก่ที่หัวเราะเสียงดัง โฮะ โฮะ โฮ่ คนนี้







ในประเทศฟินแลนด์มีบ้านซานตาคลอสอยู่จริง ทุกๆปีจะมีเด็กๆจากทั่วโลกส่งจดหมายมาที่นี่หลายล้านฉบับ ที่ยุโรปมีสภาฯของซานตาคลอสจากประเทศต่างๆทั่วโลก โดยจะมีการประชุมกันทุกสิ้นปี ก่อนวันคริสต์มาสมาถึง


นั้นคือวิธียืนยันการมีตัวตนและการดำรงอยู่ของ ลุงซานต้า ที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราพอจะทำได้




กระนั้น ก็ยังมีผู้ใหญ่ที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตบางคนที่ถึงกับเอาหลักวิทยาศาสตร์มาหักล้างการมีตัวตนของ ซานตาคลอส กันเลยทีเดียว โดยมีข้อโต้แย้งดังนี้

1 เท่าที่ประจักษ์ ไม่มีกวางเรนเดียร์ชนิดใดพันธุ์ใดบินได้หรือเหาะได้

2 โลกนี้มีเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ประมาณ 2,000 ล้านคน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กนับถือมุสลิม ฮินดู พุทธ คริสต์ ฯลฯ ดังนั้น ถ้าพิจารณาเฉพาะ

เด็กที่นับถือคริสต์ศาสนา ซึ่ง Santa Claus จะต้องไปเยี่ยมจำนวนก็จะลดลงเหลือประมาณ 380 ล้านคน ซึ่งจะกระจายอยู่ตามบ้านต่าง ๆ ประมาณ 92 ล้านบ้าน และถ้าบ้านเหล่านี้แต่ละบ้านมีเด็กนิสัยดี 1 คน นั่นก็ยังเป็นงานหนักที่คนๆเดียวไม่สามารถทำได้อยู่ดี






3 Santa Claus มีเวลา 31 ชั่วโมง ในการเดินทางไป เยี่ยมเด็กใน 92 ล้านบ้านทุกคน นั่นคือ Santa Claus ต้องเยี่ยมบ้านให้ได้ 824 หลัง ใน 1 วินาที และถ้าเราประมาณว่า Santa Claus ใช้เวลา 1/1,000 วินาที ในการจอดเลื่อน กระโดดจากเลื่อนลงทางปล่องไฟ เอาของขวัญใส่ถุงเท้าเด็กแล้ว
เอาของขวัญที่เหลือวางใต้ต้นคริสต์มาส กระโจนขึ้นปล่องไฟแล้วขับเลื่อนไปบ้านถัดไปหากบ้านแต่ละบ้านอยู่ห่างกัน 1.25 กิโลเมตร Santa Claus ต้องเดินทาง 1.25x92 ล้านกิโลเมตร = 115 ล้านกิโลเมตร ในคืนวัน Christmas ด้วยความเร็ว 1,๐4๐ กิโลเมตร/วินาที ซึ่งนับว่าเร็วประมาณ 3,000เท่าของความเร็วเสียง





4 สำหรับประเด็นน้ำหนักของขวัญบนเลื่อน ถ้าเรากำหนดให้เด็กแต่ละคนได้ของขวัญคนละ 1 กิโลกรัม เลื่อนจะต้องบรรทุกน้ำหนักถึง 92 ล้านตัน และต้องลากด้วยกวาง 62 ล้านตัว

5 แล้วกวาง 62 ล้านตัวที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงถึง 1,040 กิโลเมตร/วินาที จะถูกอากาศเสียดสีจนร้อนลุกไหม้ และสิ้นใจตายในทันทีทันใด และพร้อมกันนั้นก็จะมีเสียงโซนิกบูมเกิดขึ้นด้วย ภายในพริบตาตัว Santa เองก็จะถูกเผาไหม้จนตายไปด้วย






จากเหตุผลข้างบนพวกเขาใช้ฟิสิกส์หักล้างจินตนาการของเด็ก(แมนมากๆ) โดยยืนยันว่า โลกนี้ไม่มีซาตาคลอส เรื่องทั้งหมดเป็นนิยายหลอกเด็กที่เหลวไหลสิ้นดี(ไม่เคยเป็นเด็กกันบ้างหรือไงน้า)

โลกเรามีสองด้านเสมอ กาลครั้งนี้ ยังมีผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ทุ่มเทเวลาให้กับการวิจัยเรื่อง ซานตาคลอส โดยพยายามหาความเป็นไปได้ว่าหาก ซานต้า มีอยู่จริง ชายชราผู้ใจดีพร้อมรถลากเลื่อนและกวางเรนเดียร์ของเขาก็สามารถทำงานได้





1 กวางเรนเดียร์ของซานตาครอสเป็นพันธุ์พิเศษ ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมด้วยเทคโนโลยีนาโน สามารถวิ่งไปบนท้องฟ้าได้(จินตาการแกบรรเจิดจริงๆ)

2 บ้านของซานตาคลอสที่ขั้วโลกเหนือมีเรดาห์รับสัญญาณเด็กจากทั่วโลก โดยมีคอมพิวเตอร์คอยประมวลผลจำนวนเด็กดีในแต่ละปี ส่วนที่บอกว่าต้องเป็นเฉพาะเด็กที่นับถือศาสนาคริสต์เท่านั้นถึงจะได้ของขวัญอันนี้ขอแย้ง เพราะซานตาคลอสมีคอนเซ็ปต์ว่าให้ของขวัญแก่เด็กดีทั่วโลก(ไม่เชื่อไปถามไอ้ตี๋ข้างบ้าน มันได้ของขวัญจากซานต้าทุกปี)





3 ที่ว่ากว่าซานตาคลอสจะแจกขวัญให้เด็กทั่วโลกได้ต้องใช้เวลาถึง6เดือน ไม่สามารถทำสำเร็จได้ในคืนเดียวนั้น อันที่จริงก็มีทางเป็นไปได้ ซานต้าของเราใช้วิธีเดินทางผ่านมิติแห่งกาลเวลา โดยโผล่เฉพาะที่ๆจะแจกของขวัญเท่านั้น ไม่ต้องรอนแรมไปทั่วโลก

4 ของขวัญของซานตาคลอสเป็นของขวัญที่ถูกปลูกขึ้นจากพื้นดิน โดยทุกสิ้นปีจะมีการรวมรวมผลผลิตใส่ถุงชนิดพิเศษที่ช่วยย่อขนาดของขวัญให้เล็กลง(ขนไปทีเดียวเลย ไปกลับหลายรอบเหนื่อย) ส่วนกวางเรนเดียร์นาโนนอกจากจะบินได้แล้วก็ยังสามารถรับนํ้าหนักได้เป็นตัน






5 อย่างที่บอกไป ซานตาคลอส ใช้มิติเวลาในการเดินทาง จึงไม่เป็นอันตรายต่อกวางเรนเดียร์ ที่เหาะและวิ่งบนหลังคาบ้านได้สบาย

จากทฤษฏีข้างบน เขาเชื่อว่าหากมีซานตาคลอสจริง ภารกิจการส่งของขวัญให้กับเด็กทั้วโลกก็สามารถทำได้ ขอบคุณงานวิจัยดีๆที่ทำเพื่อเด็กๆทั่วโลก

การมีตัวตนของ ซานตาคลอส หรือไม่ บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่สลักสำคัญอะไร นั้นอาจเป็นการมองเพียงด้านเดียวที่แคบและกรวงเกินไป







ความเชื่อใน ซานตาคลอส นั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับเรื่อง มนุษย์ต่างดาว เทพนิยายในยุโรป โรมิโอ จูเลียต ไซอิ๋ว เมาคลี ทาร์ซาน พญานาค ฯ ในบ้านเราเรื่องบางเรื่องไม่น่าเชื่ออย่าง รูปถ่ายติดผี เปรตลำปาง คลิปผีอนุเสาวรีย์ วัว6ขา ยังมีคนเชื่อบ้างศรัทธาถึงขั้นไปขอหวย







ในประเทศยุโรปเหนือนั้นจะนับถือ St. Nicolas มากครับเพราะมีประวัติในคริตสศาสนา ก่อนถึงวันคริตสมาส ชาวยุโรปเหนือๆ ไล่ตั้งแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสขึ้นไป ผู้คนจะให้ความสำคัญกับ St. Nicolas แต่วัฒนธรรมซานตาคลอสนั้นเป็นของอเมริกา (เหมือนกับวันฮาโลวีน ซึ่งชาวยุโรปแทบจะไม่ฉลองอะไรกันเลย) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซานตาคลอสนั้น เป็นตัวขายสินค้าชื่อดังของอเมริกาเลยครับ ล่าสุด ดูข่าวว่าซานตาคลอสที่อยู่ฟินแลนด์นั้น แท้ที่จริงก็ได้รับเงินอุดหนุนจากบริษัทน้ำดำก้องโลกสัญชาติอเมริกันนี่แหละครับ






ดังนั้น กับแค่การเชื่อใน เรื่องว่ามีชายแก่ใจดีจะมามอบรอยยิ้มให้กับเด็กๆในทุกๆปี ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด ในเมื่อแนวคิดของ ซานตาคลอส ก็คือการสอนให้คนเชื่อในการทำความดี และเชื่อในผลแห่งการทำความดี

คงมีบางคนที่แย้งว่าเรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมของตะวันตก ไม่ควรปลูกฝังในเยาวชน เพราะจะทำให้เด็กๆละเลยประเพณีไทย ซึ่งถ้ามีคนคิดแบบนั้นผมก็ต้องของค้าน






การรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติไม่ใช่สิ่งที่ผิด หากเลือกรับเราแต่สิ่งที่ดีๆมา ก็สมควรที่จะแลกเปลี่ยนกัน อีกอย่างอย่าบอกว่าทุกวันนี้เราไม่ได้รับเอาวัฒธรรมชาติอื่นมา เรื่องบางเรื่องไม่ใช่สิ่งดีก็ยังทำตามกันทั้งบ้านทั้งเมือง

มีคนบอกว่า หากเราเชื่อในสิ่งใดเราก็จะได้เห็นสิ่งนั้น

ผมเชื่อใน ซานตาคลอส แล้วคุณล่ะ?







บ้านซานตาครอส (Santa Claus Village) ตั้งอยู่ตรงเส้น Arctic Circleที่ละติจูด 66 องศา 33 ลิปดา 7 ฟิลิปดาเหนือ กับลองติจูดที่ 25 องศา 50 ลิปดา 51 ฟิลิปดาตะวันออกพอดี.....ภายในหมู่บ้านเหมือนกับเมืองในเทพนิยายในจินตนาการของเด็ก ๆ ช่างเป็นบรรยากาศที่ดีเหลือเกิน








ชาวบ้านที่เมือง "โรวาเนียมี" ประเทศฟินแลนด์ ที่เรียกหมู่บ้านของตนเองว่า เป็นหมู่บ้านของซานตาคลอส หรือ "ฟาร์เธอร์คริสต์มาส" กำลังได้ผลกระทบจากโลกร้อนโดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่มีหิมะท่วมสูงจากพื้นดินแค่ 20 เซนติเมตร




แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเข้ามาหมู่บ้านซานตาคลอสราว 340,000 คน สร้างรายได้ให้กับหมู่บ้านไม่น้อย ซึ่งจำนวนหิมะตกนั้นมีความสำคัญกับหมู่บ้านมาก แม้หิมะสูง 20 เซนติเมตร จะเพียงพอกับการเล่นสโนว์โมบีล และการเลื่อนด้วยสุนัขและกวางเรนเดียร์ แต่สำหรับตามแม่น้ำและทะเลสาบแล้ว มันไม่พอเลย เพราะน้ำไม่จับตัวกันเป็นน้ำแข็งหนาอย่างที่เคยเป็น ทำให้พานักท่องเที่ยวขึ้นไปบนแม่น้ำไม่ได้






การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับเขตแล็ปแลนด์ของฟินแลนด์เป็นอย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยสร้างรายได้ถึง 345 ล้านดอลลาร์ และรายได้ 60% มาจากการท่องเที่ยวในฤดูหนาว คาดว่า ภายในค.ศ. 2050 อุณหภูมิในแถบนี้จะเพิ่ม 3-6 องศาเซลเซียส และภายในค.ศ. 2080 จะเพิ่ม 4-8 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงฤดูหนาวที่เมือง "โรวาเนียมี" จะเพิ่มขึ้นจาก -15 องศาเซลเซียส มาเป็น -8 องศาเซลเซียส



ถ้าหมู่บ้านซานตาคลอสร้อนขึ้นอย่างนี้ ดีไม่ดีเราอาจได้เห็นซานต้าสวมเสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น ในวันหนึ่งข้างหน้าก็เป็นได้ครับ อิอิอิ



เขียนกันมาซะยืดยาว คริสต์มาสปีนี้เราลองมาแอบดูซานตาคลอส ที่Santa Claus Village ในประเทศฟินแลนด์ ผ่านกล้องเวปแคมที่ตั้งอยู่หน้าบ้านลุงซานต้ากันครับ

ลองดูว่า ปีนี้ลุงซานต้ามีกิจกรรมอะไรสนุกๆที่หน้าบ้านบ้าง

ดูในกล้องเวปแคมสดๆ ข้างล่างนี้คร๊าบ





Santa Claus Village,Finland




หากว่าคุณอยากจะคุยหรือขอพรอะไรกับลุงซานต้า เขียนจดหมายหรือ E-mail ตามที่อยู่นี้ได้ครับ

Santa Claus,
Santa Claus Village,
FIN-96930 Arctic Circle,
Finland

หรือส่งอีเมล์ที่ //www.EmailSanta.com





สุขสันต์วันคริสต์มาสคร๊าบ




ขอบคุณข้อมูล
วิกิพีเดีย

























 

Create Date : 25 ธันวาคม 2551
15 comments
Last Update : 25 ธันวาคม 2551 0:03:54 น.
Counter : 10564 Pageviews.

 

 

โดย: โอน่าจอมซ่าส์ 25 ธันวาคม 2551 0:26:23 น.  

 

 

โดย: โอน่าจอมซ่าส์ 25 ธันวาคม 2551 0:26:26 น.  

 

เพลงน่ารักจัง 555

 

โดย: คืนที่ฟ้าไร้ดาว 25 ธันวาคม 2551 0:34:15 น.  

 



"I wish you and your family a Merry christmas
...&...
Have a great time with whatever you are going to do ka"

 

โดย: the river of Aquarius 25 ธันวาคม 2551 0:36:08 น.  

 

Glitter Graphics

Christmas Glitter



MERRY CRISTMAS


ปีใหม่ เปลี่ยนปฏิทินใหม่ เปลี่ยน พ.ศ. ใหม่
ขอให้ สุขกาย สบายใจ ร่างกายแข็งแรง ก้าวหน้าปลอดภัยทั้งการงานการเงิน
เจริญยิ่งๆขึ้นทั้งวิถีโลกและวิถีธรรม
ประสงค์สิ่งใดในทางที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ขอให้สัมฤทธิผลจงทุกประการจ๊ะ

ดูแลสุขภาพนะจ๊ะ


 

โดย: ร่มไม้เย็น 25 ธันวาคม 2551 0:37:15 น.  

 


Merry X'mas & Happy New Year 2009 นะครับ

ผมทำ Postcard สคส. มาฝากด้วยครับ



และมาชวนส่ง postcard สคส. หากันในเทศกาลปีใหม่นี้ครับผม


 

โดย: มิสเตอร์ฮอง 25 ธันวาคม 2551 0:38:12 น.  

 

บางความเชื่อ ถ้าไม่เป็นพิษเป็นภัย แถมยังเป็นแง่บวกให้กับจิตใจ ก็เลือกจะเชื่อตามจินตนาการ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนี่เนอะ

 

โดย: p_tham 25 ธันวาคม 2551 2:06:13 น.  

 





มีความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรงนะค่ะ

 

โดย: ความเจ็บปวด 25 ธันวาคม 2551 2:18:40 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: แค่ฟ้ามีดาว ^^ 25 ธันวาคม 2551 2:49:17 น.  

 

 

โดย: นางฟ้าตกสะพาน 25 ธันวาคม 2551 5:37:44 น.  

 

 

โดย: ปลายเทียน 25 ธันวาคม 2551 9:13:04 น.  

 



คริสมาสต์แล้ว
มีความสุขเยอะ ๆ ค่ะ

 

โดย: โสดในซอย 25 ธันวาคม 2551 10:09:46 น.  

 


ขอบคุณมาก
สำหรับข้อมูลที่ดีเช่นนี้ค่ะ

 

โดย: อุ้มสี 26 ธันวาคม 2551 21:39:31 น.  

 




ดีดีก็เคยเป็นเด็กเกือบน่ารัก แหะ แหะ

ดี.ขอให้พี่มีความสุขตลอดปี 52 นะคะ
สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้
และสมหวังกับทุกอย่างที่คิดนะคะ




 

โดย: d__d (มัชชาร ) 28 ธันวาคม 2551 16:29:08 น.  

 

รููปภาพน่ารักมากค่ะ

 

โดย: น้ำคลอง IP: 27.55.3.180 20 พฤศจิกายน 2555 17:55:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นอกลู่นอกทาง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]








ภาพถ่ายดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยา
ภาพสดๆจากที่ต่างๆทั่วมุมโลก
Ban Na Song BKK, Thailand
Karon Beach , Phuket , Thailand
Federal Highway, Angkasapuri ,Pantai Valley , Malaysia
Delta Estate , Singapore
Malate ,Manila , Philippines
Bandar Seri Begawan , Brunei
Guangxi Guilin, China
달빛무지개분수(Banpo Bridge Fountain )Sin’gilsa-dong , Seoul , South Korea
Hong Kong skyline from Admiralty, China
Shiomidai , Kanagawa , Japan
Cable Beach, Broome, Western Australia, Australia
Keahua Hawaii , USA
Sacramento California, USA
Washington D.C., USA
Manhattan , New York , USA
McCulloch Kelowna, Canada
Niagara Falls , Ontario , Canada
Panama Canal , Bella Vista , Panama
Santiago de Chile , Región Metropolitana , Chile
Fairbanks, Alaska Forecast Arctic
Mar del Plata Buenos Aires , Argentina
Tasiilaq , Østgrønland , Greenland
London Skyline from the Sheraton Park Tower , Knightsbridge , United Kingdom
Trafalgar Square , London , United Kingdom
Eiffel Tower Paris, France
Harstad Nordland , Norway
Halsum , Svalbarð , Iceland
Amsterdam , Netherlands
Vatican City State, Saint Peter's Basilica Borgo , Italy
Berlin, Germany
Чебоксарский залив, Yakimovo, Chuvashia , Russia
Udaipur Lake Pichola , Rājasthān , India
Mount Everest , Junbesi , Sagarmāthā , Nepal
Cape Town Sanddrift, South Africa
Orpen , Richmond , South Africa
Abū Hayl Dubai , United Arab Emirates
Kairo, Egypt
Medhufushi, Maldives
Mawson station Antarctica

Profile Visitor Map - Click to view visits
หนังทุกเรื่องหรือเพลงทุกเพลงในบล็อกนี้ เป็นเจ้าของ ของลิขสิทธินั้นๆตามเจ้าของเดิม นำมาเพื่อแบ่งปันชมกันในหมู่เพื่อนพ้อง ชาวบล็อกแก้งค์เท่านั้นครับ....
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ 2539 หากผู้ใดคิดจะ ลอกเลียน หรือนำส่วนใดส่วนหนื่ง ของข้อความใน Blog แห่งนี้ไปเผยแพร่ ให้นำไปได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาต จขบ. แต่ต้องคัดลอกแจกจ่ายให้ครบ 50 ก็อปปี้ ไม่เช่นนั้น จะมีอันเป็นไป ต่างๆนานา ถึงขั้นชีวิตตกอับ อิอิ หากแต่ว่า..นำชื่อ จขบ. ไปใช้ในทางเสียหายหรือประจาน จะถูกดำเนินคดี ตามที่ กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด นะจ๊ะ
Friends' blogs
[Add นอกลู่นอกทาง's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.